ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 58 ศิษย์พี่ใหญ่เป็นเทพธิดาใช่หรือไม่

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 58 ศิษย์พี่ใหญ่เป็นเทพธิดาใช่หรือไม่

บทที่ 58 ศิษย์พี่ใหญ่เป็นเทพธิดาใช่หรือไม่

มีตัวตนระดับสูงของสำนักเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ใน ‘โรงหนัง’ และหนึ่งในนั้นก็เกี่ยวข้องกับหลิงเยว่เป็นอย่างมาก

ดอกไม้น้อยสีดำของนางยังคงอยู่ในมือของชายคนนั้น

ปิงซู่ลูบไล้ราชาดอกไม้ที่พันข้อมือของเขาอย่างอ่อนโยน และมองดูหลิงเยว่ด้วยรอยยิ้ม

“อีกไม่กี่วันข้าจะคืนมันให้เจ้า”

หลิงเยว่ต้องการพูดอย่างมีน้ำใจว่าเนื่องจากผู้อาวุโสชอบมัน ท่านไม่ต้องคืนมาให้นางก็ได้ ทว่าดอกไม้น้อยสีดำตัวนี้ทรงพลังมากเหลือเกิน นางจึงทนไม่ไหวที่จะสูญเสียมันไป

“ข้าขอขอบคุณผู้อาวุโสปิงเจ้าค่ะ”

หลิงเยว่เปิดกล่องอาหารด้วยรอยยิ้มและนำอาหารทั้งหมดที่อยู่ข้างในมอบให้ผู้อาวุโสและผู้นำยอดเขาคนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาเคยลิ้มรสอาหารว่างของนางมาก่อนแล้ว จึงรับอาหารไปโดยไม่ลังเล

เมื่อราชาดอกไม้ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันมันจะถูกส่งคืนอีกครั้ง กลีบดอกของมันก็พลันร่วงหล่น และรากของมันก็พันข้อมือของปิงซู่แน่นขึ้น

“ลองกินนกย่างจากเจ้านายคนใหม่ของเจ้าก่อนสิ”

ปิงซู่หยิบเนื้อนกย่างชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางบนเกสรตัวผู้ของราชาดอกไม้

ไม่! ข้าไม่อยากกิน! แต่มันมีกลิ่นหอมมากจริง ๆ งั้นข้าจะลองชิมคำเดียว! เพียงคำเดียวเท่านั้น!

ราชาดอกไม้เปิดเกสรตัวผู้ของมันออกดังเช่นปาก และถ้าตั้งใจฟังจะได้ยินเสียงเคี้ยว ปิงซู่ยิ้มด้วยความเอ็นดูเมื่อเขาเห็นสิ่งนี้

หลังจากที่หลิงเยว่ส่งอาหารให้กับเหล่าตัวตนระดับสูงของสำนักแล้ว เด็กสาวก็เดินไปนั่งอยู่ตรงมุมห้อง เพื่อมองดูคู่ต่อสู้ของนางที่ยังคงดิ้นรนอยู่ในมิติลับ

นับตั้งแต่ตัวตนระดับสูงของสำนักได้ลิ้มรสอาหารชุดพิเศษซึ่งมีราคาสองหมื่นหินวิญญาณระดับล่าง พวกเขาก็ไม่คัดค้านที่จะกินอีกต่อไป เมื่อฝึกฝนจนถึงระดับของพวกเขาแล้ว การกินอาหารให้อิ่มท้องก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

ช่างเป็นประสบการณ์พิเศษเหลือเกินที่ได้รับประทานอาหารรสเลิศในขณะรับชมการแข่งขัน

ตัวตนระดับสูงของสำนักคนหนึ่งที่ได้ลิ้มรสผลทางยาของวิหคเนตรม่วงย่างก็อดกินอีกชิ้นหนึ่งไม่ได้ ความรู้สึกของปราณวายุที่โคจรไปทุกส่วนของร่างกายอย่างอ่อนโยนนั้นทำให้เคลิบเคลิ้ม และปราณอันอบอุ่นก็ไหลเวียนไปทั่วร่างกายบวกกับรสชาติที่วิเศษในปาก มันช่างน่าทึ่งนัก!

เมื่อเห็นว่าราชาดอกไม้กินอย่างมีความสุข ปิงซู่ก็กินด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลิ้มรสอาหารวิญญาณเช่นนี้ ถ้าอาหารทั้งหมดในโลกนี้อร่อยเช่นเดียวกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า เหตุใดเขาถึงจะไม่กินมันเล่า?

เมื่อปิงซู่กำลังจะกินชิ้นที่สอง เขาก็คว้าได้เพียงอากาศ เนื้อนกย่างบนโต๊ะทั้งหมดรวมทั้งเนื้อย่างถูกราชาดอกไม้กวาดไปจนเกลี้ยงเสียแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ดอกไม้ที่ในตอนแรกไม่เต็มใจที่จะถูกเขาทิ้ง กลับคลายรากของมันออกแล้วบินไปที่นิ้วของหลิงเยว่แทน มันค่อย ๆ ใช้กลีบดอกของมันลูบไล้เบา ๆ ที่ปลายนิ้วของนางอีกต่างหาก

นี่มัน… กำลังทำตัวออดอ้อนงั้นหรือ?

หลิงเยว่ตกใจกับความคิดของตัวเอง เจ้าดอกไม้นี้มันเคยแกล้งตายในตอนที่นางต้องการความช่วยเหลือมาก่อน มาตอนนี้มันกลับกำลังอ้อนนางหรือ?

กลีบดอกตบปลายนิ้วของหลิงเยว่เบา ๆ และรากของมันก็ชี้ไปยังผู้อาวุโสที่กำลังกินนกย่าง

หลิงเยว่ที่เห็นความตั้งใจของราชาดอกไม้พลันพูดติดอ่าง “จะ… เจ้าอยากกินด้วยหรือ?”

ดอกไม้พยักหน้า

หลิงเยว่ “!!!”

“เนื้อนกย่างหมดแล้ว เอาเป็นอันนี้แทนได้หรือไม่?”

หลิงเยว่ส่งอมยิ้มหลากสีสันให้ราชาดอกไม้ หลิงเยว่อยากรู้ว่ามันจะกินอย่างไร

จากนั้นฉากที่เคยแสดงตรงหน้าปิงซู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิงเยว่

“งั่ม ๆ”

ให้ตายเถอะ มีฟันอยู่ในเกสรตัวผู้ของมันด้วยหรือ?

“อร่อยหรือไม่?”

รากบาง ๆ ของราชาดอกไม้พันรอบข้อมือแน่นและหลวมเป็นจังหวะ ราวกับบอกว่าอมยิ้มนี้หวานอร่อย ถูกใจมันนัก!

หลิงเยว่จึงหยิบขนมดอกบัว ขนมดอกท้อและขนมข้าวหอมหมื่นลี้ออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะป้อนให้กับดอกไม้น้อยสีดำ

ไม่รู้ว่าเหตุใดแม้ทั้งสองจะยังไม่ได้ผูกพันธะสัญญาระหว่างกัน แต่หลิงเยว่กลับสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าดอกไม้สีดำนี้ต้องการอะไร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะราชาดอกไม้ฉลาดเกินไปหรือเพราะนางมีความสามารถในการเข้าใจที่ยอดเยี่ยมกันแน่

อืม… นางขอเข้าใจเป็นอย่างหลังดีกว่า

เป็นเวลาครึ่งเดือนที่หลิงเยว่ยุ่งอยู่กับ ‘โรงหนัง’ และการทำชุดอาหารวิญญาณแบบพิเศษ ส่วนช่วงเย็นจะเป็นช่วงเวลาของการบำเพ็ญ

ความขยันของหลิงเยว่ทำให้ว่านอวี้เฟิงและติงหลิวหลิ่วซึ่งหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาอาหารและการกินตลอดทั้งวันรู้สึกผิดไปชั่วครู่ ดังนั้นพวกเขาจึงพากันใช้เวลาว่างเพื่อทำการฝึกฝนเพิ่มเติม

ขณะที่ทั้งสามคนยุ่งอยู่นั้น การแข่งขันรอบที่สองก็มาถึง

หลิงเยว่รู้สึกกังวลเมื่อรู้ว่านางอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรก และจำเป็นต้องปกป้องสนามประลองของตนเอง นางเกือบจะขอให้ระบบออกสัญญากู้เพื่อซื้อโอสถมากินเพิ่มระดับการบำเพ็ญของนาง

ท้ายที่สุดแล้ว ยกเว้นหลิงเยว่ที่อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหก นอกนั้นคือผู้ที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกจะอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้าไม่ก็สิบ นางเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดตามมาด้วย… ผู่ตาน

หลิงเยว่ไม่จำเป็นต้องเดาเลยว่าจะต้องมีผู้คนมากมายมาท้าแข่งกับนาง แต่ใครใช้ให้นางมีระดับการบำเพ็ญต่ำที่สุดเช่นนี้ ทั้งยังเป็นคนของยอดเขาโอสถด้วยเล่า?

ไม่มีคนโง่คนไหนที่จะไม่ท้าทายนาง

และกฎกติกาก็ไม่มีมนุษยธรรมเลย นั่นคือการไม่จำกัดจำนวนผู้ท้าชิงทุกวัน ซึ่งหมายความว่าหลิงเยว่จะต้องอยู่บนสนามประลองเสมอเพื่อรับการท้าจนกว่านางจะหมดแรงทั้งกายและใจ และถูกถีบกระเด็นลงจากสนามประลองอันดับที่เก้าสิบเก้าของนาง!

แน่นอนว่าหากนางสามารถทนอยู่ได้สิบวัน ก็จะสามารถรักษาอันดับไว้ได้ และเข้าสู่รอบที่สามของการแข่งขันซึ่งเป็นการประลองแบบตัวต่อตัวได้สำเร็จ

มีรางวัลมากมายหากเข้าสู่สิบอันดับแรกได้สำเร็จ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกจะสามารถเป็นตัวแทนของสำนัก เพื่อไปยังสำนักจ้านเจี้ยน และได้เข้าร่วมในการแข่งขันกับทุกสำนักในโลกบำเพ็ญเซียนทั้งหมด!

การแข่งขันระหว่างสำนักที่จัดขึ้นทุก ๆ สิบปีนั้นยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่มีงานใดเทียบได้!

นี่คือเหตุผลที่โม่จวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ที่เป็นศิษย์สายตรงต้องเข้าร่วมในการแข่งขันภายในสำนัก เพื่อแย่งชิงตำแหน่งหนึ่งในสิบอันดับแรก

นางได้ยินมาว่ารางวัลนั้นมีมากมายมหาศาล ผู้ที่ติดหนึ่งร้อยอันดับแรกจะมีโอกาสเข้าสู่มิติลับที่บรรพจารย์ขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่เหลือมรดกทิ้งไว้ในนั้น!

หลิงเยว่รู้ว่าการติดหนึ่งร้อยอันดับแรกไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง แต่คงจะดีไม่น้อยหากนางได้เป็นลูกศิษย์สายตรงของชิงยวนได้สำเร็จ และได้รับมรดกไปพร้อมกัน

โลกภายนอกนั้นอันตราย ทว่าก็น่าตื่นเต้นมากเช่นกัน!

จะขาดอาหารอร่อยในการประลองอันยิ่งใหญ่ของการฝึกฝนเพื่อการเป็นอมตะได้อย่างไร?

“เจ้ายังหัวเราะได้อีกหรือ ดูข้างล่างนั่นสิ!”

ผู่ตานชี้ไปที่ผู้คนที่ยืนรออยู่ด้านล่างสนามประลองหมายเลขเก้าสิบเก้า ซึ่งมีจำนวนคนมากกว่าสนามประลองอื่นสิบเท่า

“เจ้าคงไม่หลงคิดว่าผู้บำเพ็ญที่ยืนรออยู่ข้างล่างนั่นเป็นพวกที่มาให้กำลังใจเจ้าใช่หรือไม่?”

คงจะดีไม่น้อยหากคนเหล่านี้มาให้กำลังใจนางจริง ๆ

หลิงเยว่อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา นางรู้ว่าจะต้องมีคนเข้ามาท้าทายมากมายอย่างแน่นอน ทว่ากลับไม่คาดคิดว่าจะมีคนมากมายถึงเพียงนี้ ภาพเบื้องล่างอย่างกับฝูงชนที่มายืนแออัดเต็มสนามฟุตบอล!

เพียงแค่คนเหล่านี้ถ่มน้ำลาย ก็อาจทำให้นางจมน้ำตายได้

หลิงเยว่มองไปที่สนามประลองหมายเลขเก้าสิบแปดอย่างไม่พอใจ มีคนยืนรอน้อยกว่าเวทีของนางมาก

และเมื่อนางมองไปที่สนามประลองอื่นถัดไปเรื่อย ๆ จำนวนคนก็ยิ่งน้อยลงไปอีก โดยเหลือเพียงสามคนเท่านั้นที่ยืนรออยู่ด้านล่างเวทีหมายเลขหนึ่ง

ทุกคนวิ่งมาอยู่ที่เวทีของนางใช่หรือไม่?

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ

หลิงเยว่เกือบจะร้องไห้ ทว่าผู่ตานกลับหัวเราะออกมา สีหน้าของศิษย์น้องห้าเต็มไปด้วยความน่าสนใจอยู่เสมอ

ยังมีเวลาอีกหนึ่งก้านธูปก่อนจะเริ่มการแข่งขันรอบสอง และจำนวนผู้ท้าชิงที่ลงทะเบียนเพื่อท้าทายสนามประลองหมายเลขเก้าสิบเก้ามีเกินหนึ่งพันคนแล้ว

ขาของหลิงเยว่เริ่มอ่อนแรงหลังจากได้ยินเช่นนั้น

“การแข่งขันในรอบนี้ไม่ได้จำกัดการใช้อาวุธวิญญาณ ค่ายกล ยันต์และโอสถ”

หลงหว่านโหรวกลัวว่าหลิงเยว่จะไม่เข้าใจ ดังนั้นนางจึงพูดอธิบายเพิ่ม “เจ้าสามารถเปิดใช้แผ่นค่ายกลป้องกัน ทั้งยังสามารถกินหม้อไฟข้างในก่อนจะนอนหลับสักตื่นก็ย่อมได้”

เอ่อ…

ศิษย์พี่ใหญ่เห็นสิ่งที่นางทำในมิติลับแล้วแน่ ๆ …

หลิงเยว่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

ในความเป็นจริงนี่เป็นวิธีการที่ดีมากเช่นกัน ทว่าแผ่นค่ายกลป้องกันที่โม่จวินเจ๋อมอบให้ไม่สามารถอยู่ได้ถึงสิบวัน และมันคงทำให้ชิงยวนอับอายแน่นอนถ้าว่าที่ศิษย์คนล่าสุดอาศัยเพียงค่ายกลป้องกันจนถึงวันที่สิบ

“ข้าได้เตรียมของไว้สำหรับเจ้าแล้ว มันจะเกินพอสำหรับสิบวัน” หลงหว่านโหรวยื่นถุงเก็บของให้หลิงเยว่ ดูราวกับนางจะจำอะไรบางอย่างได้อีกครั้ง ก่อนหยิบถุงหินวิญญาณออกมาอีกใบ

“นี่คือหินวิญญาณที่ข้าได้รับจากการขายชุดอาหารวิญญาณของเจ้า รวมทั้งหมดสองแสนหกหมื่นก้อน”

[ท่านทำภารกิจหลักที่ 8 สำเร็จ! ได้รับหินวิญญาณระดับล่างไม่ต่ำกว่า 200,000 ก้อนโดยการขายอาหารวิญญาณก่อนสิ้นสุดการแข่งขันสำนัก ท่านได้รับรางวัลเป็นค่าพลังวิญญาณ 10,000 แต้ม อายุขัย +200 วัน หลังจากหักแต้มผ่อนชำระรายเดือน 2,500 แต้ม แต้ม ค่าพลังวิญญาณคงเหลือ 17,670 อายุขัยคงเหลือ 420 วัน]

หลิงเยว่ “!!!”

ศิษย์พี่ใหญ่เป็นเทพธิดามาโปรดใช่หรือไม่!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท