ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 64 หัวใจที่หายดีแตกเป็นเสี่ยงอีกครั้ง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 64 หัวใจที่หายดีแตกเป็นเสี่ยงอีกครั้ง

บทที่ 64 หัวใจที่หายดีแตกเป็นเสี่ยงอีกครั้ง

อาหารสี่อย่าง และน้ำแกงหนึ่งอย่างขนาดพิเศษทั้งหมดที่ถูกใส่ในภาชนะใบใหญ่ ถูกคนทั้งหกกินจนเกลี้ยง กระทั่งน้ำแกงก็ยังไม่เหลือ ทั้งหมดล้วนถูกเอาไปคลุกกับข้าวจนหมด

ว่านอวี้เฟิงตบท้องอย่างพึงพอใจ ต้องอิ่มท้องด้วยอาหารอร่อย ๆ เท่านั้นถึงจะถือว่าอิ่ม ยาปี้กู่และอะไรพรรค์นั้น… อย่าไปคิดถึงเลยดีกว่า…

“คนสุดท้ายที่มาถึงล้างจาน”

ทันทีที่หลงหว่านโหรวพูด ดวงตาทั้งสี่คู่ก็มองไปยังคนที่มาทีหลังสุด ซึ่งอิ่มแล้วก็คิดอยากจะจากไป

โม่จวินเจ๋อที่ถูกมอง พลันใช้ปราณทำความสะอาดสถานที่ทั้งหมดด้วยใบหน้าไม่แสดงอาการใด ทันใดนั้นโต๊ะก็สะอาดทันที

หลิงเยว่ลูบท้องพลางมองห้อง มันสะอาดมาก แต่ก็ยังรู้สึกแปลกอยู่ดีเมื่อการทำความสะอาดนั้นไม่ได้ใช้น้ำเลย

โม่จวินเจ๋อไม่เพียงล้างจานเท่านั้น เขายังหยิบถุงเก็บของที่มีแผ่นค่ายกลมากมายและยันต์อีกเป็นปึกออกมา แล้วมอบให้แก่หลิงเยว่

“มีเพียงเจ้าและผู่ตานเท่านั้นที่มีระดับการบำเพ็ญต่ำที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันขอบเขตกลั่นลมปราณหนึ่งร้อยอันดับแรก ดังนั้นเจ้าจึงควรพึ่งพาพวกมันให้มากที่สุด”

ผู่ตานผู้ถูกพาดพิง “…”

เขาจะเหมือนกับหลิงเยว่ได้อย่างไรกัน?

ครั้งหนึ่ง… ช่างเถิด ทั้งเหนื่อย เจ็บ และง่วงมาก ผู่ตานหลับตาก่อนจะเริ่มนอนอีกครั้ง

หากเป็นหินวิญญาณหลิงเยว่คงไม่ต้องการมันแน่ แต่นี่มันคือแผ่นค่ายกลและยันต์ซึ่งเป็นของที่นางไม่อาจต้านทานได้ ด้วยหากปฏิเสธ นางจะต้องเจ็บปวดและหายใจไม่ออกอย่างแน่นอน

แต่มันจะดูไร้ยางอายเกินไปที่จะรับมันมาโดยเปล่าเช่นนี้

แต่ระหว่างความเสียดายกับความไร้ยางอาย หลิงเยว่เลือกอย่างหลัง นางไม่รู้ว่าโม่จวินเจ๋อมีสิ่งใดที่ขาดอยู่อีกหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนางควรตอบแทน ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม

‘ระบบ เจ้าคิดว่ามีสิ่งใดที่ข้าสามารถซื้อให้โม่จวินเจ๋อได้ในราคาที่ข้าพอจับต้องได้บ้างหรือไม่’

หลิงเยว่ที่คิดไม่ออกจู่ ๆ ก็ลองถามระบบแบบไม่ได้คาดหวังอะไรมาก

[ท่านสามารถซื้อหนึ่งในวัสดุหลักซึ่งใช้ในการซ่อมแซมสิ่งประดิษฐ์โบราณ ราคาหนึ่งพันล้านแต้ม]

หลิงเยว่ “…”

ระบบบ้านี่คิดได้อย่างไรว่านางสามารถซื้อวัสดุมูลค่าหนึ่งพันล้านแต้มได้?

นางยังไม่ได้จ่ายหนี้เก่าสามล้านแต้มเลยด้วยซ้ำ และตอนนี้นางมียอดคงเหลือเพียงสองหมื่นกว่าแต้มเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม ระบบได้ให้แนวทางแก่หลิงเยว่ จึงให้เด็กสาวทำงานหนักมากขึ้นเพื่อหาหินวิญญาณมาใช้ชำระหนี้ และหลังจากจ่ายหนี้แล้วก็ให้เริ่มเก็บออม เพียงหนึ่งพันล้านแต้มไม่ใช่หรือ จำนวนเท่านี้ควรจะเก็บออมได้ในเวลาสักหลายร้อยหรือหลายพันปีจริงหรือไม่?

แต่สิ่งที่ไม่แน่นอนก็คือตอนนั้นโม่จวินเจ๋ออาจจะไม่รอดจากทัณฑ์สวรรค์หรือไม่ก็ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์เรียบร้อย

หลิงเยว่ใส่ถุงเก็บของเข้าไปในแหวนมิติด้วยใบหน้าเศร้า “ขอบคุณเจ้าค่ะ ในภายภาคหน้าข้าจะมอบของขวัญตอบแทนท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

นางจะซื้อวัสดุนั่นให้ได้โดยเร็วที่สุดก่อนที่โม่จวินเจ๋อจะผ่านทัณฑ์สวรรค์

“ดี”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขารอคอยอย่างคาดหวังกับ ‘ของขวัญ’ ว่ามันจะเป็นของอร่อยอะไร?

“ยังมีอีกหรือไม่? ให้ข้าด้วยสิ”

ติงหลิวหลิ่วควักเอาขวดโอสถออกมาหลายสิบขวดและหินวิญญาณจำนวนมาก แม้ว่านางจะเกลียดผู้ฝึกกระบี่ทุกคน ทว่าชายตรงหน้านี้ก็ยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลและยันต์ที่เก่งกาจด้วย

“หมดแล้ว”

โม่จวินเจ๋อทิ้งคำสองคำนี้ไว้ข้างหลังและเดินจากไป สิ่งของที่เขามีทั้งหมดมอบให้หลิงเยว่หมดแล้วจริง ๆ

“เขา เขา เขา…” ติงหลิวหลิ่วชี้ไปยังร่างที่หายไป ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความโกรธ

ในที่สุดหลิงเยว่ก็แบ่งบางส่วนให้ติงหลิวหลิ่วเพื่อที่ศิษย์พี่สามจะได้รู้สึกดีขึ้น

แน่นอนว่ายันต์และแผ่นค่ายกลที่หลิงเยว่แบ่งไปไม่ได้สูญเปล่า หลิงเยว่ได้รับขวดโอสถหลายสิบขวดและถุงหินวิญญาณถุงใหญ่กลับมา นางตื่นตระหนกมากด้วยไม่คาดคิดว่าหินวิญญาณจะได้มาอย่างง่ายดายเช่นนี้!

หลังจากพักฟื้นได้ไม่กี่วัน การแข่งขันรอบที่สามซึ่งเป็นการประลองกันแบบตัวต่อตัวก็เริ่มขึ้น

ในการแข่งขันรอบที่สามแบบตัวต่อตัว คู่ต่อสู้จะถูกเลือกโดยการจับฉลาก ห้าสิบคนจะถูกสุ่มเลือกจากหนึ่งร้อยอันดับแรก และอีกห้าสิบคนจะถูกจับฉลากโดยห้าสิบแรกที่ถูกเลือกไป

ใครเจอกับใครขึ้นอยู่กับดวงล้วน ๆ

หลิงเยว่จุดธูปเป็นพิเศษ อาบน้ำและสักการะสวรรค์ก่อนมาจับฉลาก หวังให้สวรรค์อยู่ข้างนางเพื่อที่จะได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่ง่ายหรือเป็นมิตรสักหน่อย แต่เมื่อคิดทบทวนอีกที นางก็ตระหนักได้ว่าผู้ผ่านเข้ารอบคนอื่น ๆ ล้วนอยู่ในขั้นสิบหรือไม่ก็เก้าของขอบเขตกลั่นลมปราณ ยกเว้นผู่ตานคนเดียวที่อยู่ในขั้นแปดที่นางสามารถจับฉลากขึ้นมาได้…

แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทุบตีศิษย์พี่ของตัวเอง!

จิตใจพลันแตกสลายโดยสมบูรณ์…

ไม่ว่าจะจับฉลากได้ผู้ใด นางก็ไม่สามารถเอาชนะได้สักคนเลย

เมื่อเปรียบเทียบกับความเศร้าของหลิงเยว่ คู่ต่อสู้ที่อาจถูกนางจับฉลากนั้นตั้งตารอเลยทีเดียว ท้ายที่สุดการต่อสู้กับผู้ที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกก็เทียบเท่ากับการได้ผ่านเข้ารอบแน่ ๆ ใครจะไม่ชอบใจกันเล่า?

“หมายเลขเก้าสิบเก้าขึ้นเวทีเพื่อจับฉลาก!”

หลิงเยว่ผู้โศกเศร้ามีฉลากให้จับเหลืออยู่ตรงหน้านางเพียงสองแผ่น คนอื่น ๆ ถูกเลือกออกไปแล้วเหลือเพียง… หมายเลขสาม และหมายเลขหกสิบแปด

คนแรกได้สำเร็จถึงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบแล้ว และอยู่ห่างจากขอบเขตสร้างรากฐานเพียงก้าวเดียว ในขณะที่คนหลังอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้า

“นางโชคร้ายมาก ไม่ว่านางจะจับใครขึ้นมาได้ก็ไม่มีโอกาสชนะเลย”

“หากจับหมายเลขหกสิบแปดขึ้นมาก็อาจจะมีลุ้น แต่หากนางจับได้หมายเลขสาม… ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ชะตากรรมของนางคงน่าสมเพชเกินไป”

“นางและผู่ตานดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เหลืออยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกจากยอดเขาโอสถ ผู่ตานก็ไม่ได้ดีไปกว่านางเช่นกัน เขาถูกเลือกโดยหมายเลขสิบ ซึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ขั้นสิบของขอบเขตกลั่นลมปราณ…”

ผู้บำเพ็ญที่รับชมอยู่ แม้ปากจะบอกว่าสงสารแต่สีหน้าของพวกเขากลับดูยินดีที่เห็นผลเช่นนี้

หลิงเยว่ลังเลกับกระดาษฉลากสองแผ่นเป็นเวลานาน…

“นับถอยหลังการจับฉลาก สิบ…”

ตราบใดที่การนับถอยหลังไปถึงหนึ่ง ผู้ดูแลการจับฉลากจะช่วยเลือกให้นางเอง

“เจ็ด…”

ทำอย่างไรดี ข้าจะจับเองหรือให้ผู้ดูแลสุ่มจับให้ดีนะ?

“ห้า…”

หลิงเยว่กำลังจะร้องไห้ ในที่สุดนางก็ตัดสินใจเชื่อมั่นในตัวเอง ก่อนหลับตาแล้วยื่นมือออกไปจับกระดาษฉลากทางด้านซ้ายออกมา

ตัวอักษรค่อย ๆ ปรากฏบนกระดาษเปล่า

“หมายเลขหกสิบแปด!”

การจับสลากมีขึ้นในตอนเช้า และการแข่งขันจะเริ่มอย่างเป็นทางการในช่วงบ่าย

ดังเช่นที่ฝูงชนพูดกัน หากนางเจอกับผู้เข้าแข่งขันขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้า อย่างน้อยก็น่าจะมีลุ้นอยู่บ้าง หลิงเยว่รู้สึกโล่งใจกับเรื่องนี้

เมื่อนางกำลังจะจากไป ปิงซู่ก็มาลากเด็กสาวออกไปกลางทาง

“เจ้ายังไม่ได้ทำพันธะสัญญากับราชาดอกไม้หรือ?”

หลิงเยว่พยักหน้า

“เหตุใดจึงไม่ทำเล่า”

“เอ่อ…” หลิงเยว่ไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้ ด้วยรู้สึกว่าการทำพันธะสัญญาหรือไม่นั้น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการสื่อสารระหว่างนางกับดอกไม้ดำนั่นอยู่ดี

“ทำสัญญาเสียก่อนเริ่มแข่งขัน”

ปิงซู่พาหลิงเยว่ไปที่ห้องฝึกซ้อม และเกือบจะบังคับนางให้ไปยืนที่กลางห้อง ราชาดอกไม้ก็ถูกอุ้มไว้ในมือของเขาด้วย

“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหก แม้ว่าด้วยการที่เจ้าฝึกแก่นปราณทั้งห้า จะทำให้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้แบบข้ามระดับได้ แต่อย่างดีที่สุดก็สามารถชนะข้ามระดับได้เพียงสองระดับเท่านั้น หากเจอเข้ากับผู้ที่อยู่ในขั้นเก้า เจ้าจะไม่มีทางเอาชนะได้แน่นอน การทำพันธะสัญญากับราชาดอกไม้จะสามารถพัฒนาระดับการบำเพ็ญ และรับประกันโอกาสในการเข้าสู่สิบอันดับแรกของเจ้าได้”

เข้าใจแล้ว!

หากเป็นกรณีนี้หลิงเยว่ก็เต็มใจ แต่นางไม่รู้ว่าดอกไม้ดำน้อยจะเต็มใจหรือไม่ ต่อให้นางและเจ้าดอกไม้ดำน้อยจะเข้ากันได้ดีในช่วงนี้ก็ตาม

“แน่นอนมันจะพร้อมยินยอม”

ทันทีที่ปิงซู่พูดจบ ของเหลวสีดำหยดหนึ่งก็บินจากเกสรดอกไม้ไปยังหลิงเยว่

ด้านของหลิงเยว่ก็คายหยดแก่นแท้โลหิตสีแดงออกจากร่างไปผสมกับแก่นแท้โลหิตดำจากราชาดอกไม้ จากนั้นเมื่อแก่นแท้โลหิตทั้งสองรวมกันแล้ว มันก็แยกออกจากกันเป็นสองหยด และแต่ละหยดก็กลับไปยังร่างของทั้งสอง

“เสร็จแล้ว!”

หลิงเยว่รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างที่พิเศษอยู่ในร่างกาย ก่อนที่เด็กสาวจะมีเวลาตรวจสอบ ปราณรอบตัวของนางก็หนาแน่นขึ้นและละลายเข้าสู่ร่างกายโดยพลัน

[ท่านบรรลุสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปดได้สำเร็จ ได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณ +1,000 แต้ม อายุขัย +10 วัน ค่าพลังวิญญาณคงเหลือ 26,210 แต้ม อายุขัยคงเหลือ 615 วัน]

บรรลุไปถึงขั้นแปดเลยหรือ!

หลิงเยว่รีบนั่งขัดสมาธิเพื่อปรับรากฐานการบำเพ็ญของนาง นางไม่คิดเลยว่าการเพิ่มระดับจะเป็นเรื่องง่ายเช่นนี้!

เมื่อเห็นหลิงเยว่ที่กำลังมีสีหน้ามีความสุข ปิงซู่ก็รู้สึกปวดหัวจนต้องนวดขมับตัวเอง ทั้ง ๆ ที่นางทำพันธะสัญญากับราชาดอกไม้ระดับแปรสภาพแท้ ๆ แต่ระดับการบำเพ็ญของนางกลับเพิ่มแค่สองขั้นเองหรือ?

ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญทั่วไปมันคงมากเกินพอที่จะทำให้บรรลุจากขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกไปจนถึงขอบเขตสร้างรากฐานช่วงกลางแน่นอน!

เขารู้อยู่แล้วว่าหลิงเยว่แตกต่างจากผู้บำเพ็ญทั่วไป แต่ก็ไม่คาดคิดว่านางจะแตกต่างจากคนอื่นมากเช่นนี้

ดูเหมือนว่าเส้นทางการบำเพ็ญของนางถูกกำหนดให้มีแต่อุปสรรคและความยากลำบากสินะ…

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท