ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 67 เขากำลังโอ้อวดหรือ เขากำลังโอ้อวดจริง ๆ!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 67 เขากำลังโอ้อวดหรือ? เขากำลังโอ้อวดจริง ๆ!

บทที่ 67 เขากำลังโอ้อวดหรือ? เขากำลังโอ้อวดจริง ๆ!

ในหอกลั่นโอสถ ชายสองคนกำลังจ้องมองกัน

คนหนึ่งเป็นเหมือนรูปปั้นน้ำแข็งถือช้อน ไม่พูดจาอะไร ในขณะที่อีกคนมองไปข้างหน้าด้วยสายตามืดหม่นเช่นกัน

หลิงเยว่เห็นฉากนี้เมื่อนางกลับเข้ามา

“พวกท่านกำลังทำอะไรกันเจ้าคะ?”

“เขาไม่กิน” รูปปั้นน้ำแข็งที่มีชีวิตพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสับสน

“ศิษย์พี่รอง ท่านบาดเจ็บเกินไปจนไม่อยากกินอาหารหรือเจ้าคะ?”

“ไม่ใช่” ว่านอวี้เฟิงกลับมามีสติอีกครั้งและมองไปที่โม่จวินเจ๋อ “ข้าเพียงไม่อยากกินจากเขา”

หลิงเยว่ “…”

เหตุใดถึงกินไม่ได้ กลับกัน หากเป็นนางคงกินได้สองชามโดยไม่หยุดหากมีหนุ่มหล่อมาป้อนให้เช่นนี้!

หรืออาจเป็นเพราะสัญชาตญาณการแข่งขันของผู้ชายใช่หรือไม่? ศิษย์พี่รองคงอิจฉามากจนไม่อยากอาหารเมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าที่หล่อเหลากว่าของโม่จวินเจ๋อ…

หลิงเยว่รู้สึกว่าตัวเองน่าจะคิดถูกแล้ว มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ!

ด้วยความโกรธ โม่จวินเจ๋อจึงดื่มแกงเองทั้งหมดในชามและยังนำอาหารร้อน ๆ มากินต่อหน้าว่านอวี้เฟิงด้วย

“ทำตัวอย่างกับเด็ก!”

หลิงเยว่และว่านอวี้เฟิงพูดพร้อมกัน

โม่จวินเจ๋อที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเด็กยังคงไม่แยแส

“ศิษย์น้องดูเขาสิ…” ว่านอวี้เฟิงกุมหน้าอกของเขา “พาเขาออกไปเร็ว ๆ เถิด ไม่อย่างนั้นบาดแผลที่เพิ่งหายดีของข้าคงกลับมาทรุดหนักอีกครั้งเป็นแน่!”

แม้ว่านางจะรู้ว่าศิษย์พี่รองกำลังแสร้งทำ ทว่าผู้ป่วยก็เป็นศิษย์พี่ของนาง ดังนั้นหลิงเยว่จึงหยิบอาหารไปและพา ‘เด็กชาย’ ที่กำลังกินอย่างมีความสุขออกไป

“ท่านกินตรงนี้ก็แล้วกัน”

ที่ทางเดิน หลิงเยว่หยิบโต๊ะตัวเล็กออกมา แล้ววางอาหารไว้ จากนั้นจึงรีบเข้าไปในหอกลั่นโอสถหมายเลขหนึ่ง

โม่จวินเจ๋อ “…”

ง่ำ ง่ำ…

“เฮ้! ข้ากินด้วยสิ!”

อวี้เจินที่กำลังเดินกะโผลกกะเผลกพลางกุมหน้าอกของนางเข้ามาเห็นโม่จวินเจ๋อ… และอาหารอยู่บนโต๊ะเล็ก ดวงตาพลันเป็นประกาย ก่อนเดินอย่างรวดเร็ว แล้วเอื้อมมือมาหยิบปีกไก่เพื่อจะกินแต่กลับถูกตีออกไปโดย…

… คู่ตะเกียบ

“ชิ้นนี้ของข้า ถ้าอยากกินเจ้าก็เข้าไปเอาเองเสีย”

เมื่อได้ยินว่ายังมีอีกอวี้เจินก็พลันชะงัก ก่อนรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัวหมายเลขสาม ไม่สิ มันคือหอกลั่นโอสถหมายเลขสาม นางตักแกงไก่ใส่ชามใหญ่ เกี๊ยวน้ำอีกชามโต ตามด้วยเกี๊ยวนึ่งหนึ่งเข่งและปีกไก่ตุ๋น เอ่อ… ไม่สิ นางแค่แบ่งออกมาบางส่วนเท่านั้น

“นี่! ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ” หลังจากกินปีกไก่ตุ๋นชิ้นหนึ่ง อวี้เจินก็เลียนิ้วของนางและมองดูโม่จวินเจ๋อด้วยดวงตาที่สดใส นางมองเขาทั่วแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นร่องรอยการบาดเจ็บใดเลยตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใช่แล้ว” โม่จวินเจ๋อยื่นหลังมือของเขาออกมาให้ดู

แทบจะในทันทีที่สีหน้าของอวี้เจินนั้นเหมือนกับสีหน้าของหลิงเยว่ทุกประการ

กระดูกปีกไก่ในมือเกือบจะเขวี้ยงใส่ชายที่อยู่ตรงหน้า นี่น่ะหรือที่เรียกว่าการบาดเจ็บ!

ผู้ชายคนนี้โอ้อวดนัก!

“หลิงเยว่อยู่ที่ใดหรือ?”

“นางกำลังช่วยคนอยู่”

หลิงเยว่กำลังช่วยคนอยู่จริง ๆ นางกำลังพันแผลให้ผู่ตานที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด ภายใต้คำสั่งของหลงหว่านโหรวจนอีกฝ่ายแทบจะกลายเป็นมัมมี่อยู่แล้ว

“ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนโหดร้ายถึงเพียงนี้เลยหรือ?”

หลิงเยว่คิดถึงบาดแผลจากกระบี่บนร่างกายของติงหลิวหลิ่วก่อนหน้านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผู่ตาน ในตอนนี้มันดูแย่ยิ่งกว่าเสียอีก

หลิงเยว่เคยพบกับผู้ฝึกกระบี่มาก่อน แต่ในเวลานั้นนางซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลป้องกัน และไม่ได้เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยตรง ดังนั้นเด็กสาวจึงยังไม่ได้สัมผัสกับความโหดร้ายที่แท้จริงของผู้ฝึกกระบี่

โชคดีจริง ๆ ที่นางไม่จับได้คู่ต่อสู้เป็นผู้ฝึกกระบี่!

หลงหว่านโหรวไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่หลิงเยว่พันผ้าให้ผู้บาดเจ็บแล้ว หลงหว่านโหรวก็ใส่ผู่ตานลงในถังแช่น้ำโอสถ

หลิงเยว่ “…”

แล้วพันแผลเช่นนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร?

“ตอนนี้เขาไม่สามารถต้านทานน้ำโอสถได้โดยตรง มันจะดีกว่าถ้าพันแผลให้เขาก่อนเพื่อทุเลาฤทธิ์ยาบางส่วน”

เข้าใจแล้ว

“ออกไปก่อนเถิด เท่านี้พอแล้ว”

หลงหว่านโหรวจับผู่ตานด้วยมือข้างหนึ่ง และประทับฝ่ามือที่หุ้มด้วยแสงสีเขียวอีกข้างไว้บนแผ่นหลังของผู่ตาน นางใช้ปราณธาตุพฤกษาเพื่อช่วยให้ผู่ตานดูดซับยาได้ง่ายขึ้น

ภายใต้การบำบัดพร้อมกันสองทางด้วยปราณพฤกษาและการแช่น้ำโอสถ เปลือกตาของผู่ตานที่หมดสติก็เริ่มขยับจากนั้นค่อย ๆ ลืมขึ้น เขาหันหน้าไปทางใบหน้าของคนที่อยู่รอบ ๆ ดวงตาที่เป็นกังวลเหล่านั้น เมื่อเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้ว ความกังวลก็กลายเป็นความประหลาดใจ

“ศิษย์พี่สี่ ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ!”

“เจ็บหรือหิว อยากกินอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะปรุงให้ท่านเอง”

ผู่ตานเปิดปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มันก็กลับกลายเป็นเสียงครวญครางอู้อี้

คงจะเจ็บปวดมาก ศิษย์พี่สี่ที่น่าสงสาร… หลิงเยว่เห็นใจและรู้สึกเป็นทุกข์

“ท่านอยากกินเนื้อใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ผู่ตานพยักหน้าขณะกำลังกัดฟัน อดทนต่อความเจ็บปวด

หลิงเยว่ออกจากหอกลั่นโอสถพลางลูบคาง ด้วยรู้สึกว่าเวลานี้นางควรคิดสูตรอาหารใหม่ ปัจจุบันเด็กสาวสามารถทำอาหารวิญญาณที่มีฤทธิ์เป็นยาได้เพียงหกชนิดเท่านั้น และมีสูตรอาหารมากมายหลายสูตรให้ผลเช่นเดิม

หลิงเยว่คิดถึงโอสถระดับต่ำ พลันบังเกิดความคิดที่จะทำอาหารวิญญาณที่มีผลในการหยุดเลือดและความเจ็บปวดขึ้นมา

“ศิษย์น้องหลิง!!!”

เสียงเรียกนี้ทำให้หลิงเยว่สะดุ้งและหูอื้อแทบจะในทันที แต่หลังจากเห็นว่าเป็นอวี้เจินที่มีตาเหมือนแพนด้าข้างหนึ่งและใบหน้าบวมอีกข้างหนึ่ง นางก็ไม่ตกใจอีกแล้ว หนำซ้ำยังหัวเราะออกมาเสียงดังเสียอีก

อวี้เจินรู้สึกขัดใจ

นางเป็นเช่นนี้แล้วยังจะมาหัวเราะใส่อีก!

ข้าต้องกินปีกไก่เพิ่มเพื่อชดเชยหัวใจดวงน้อยที่บาดเจ็บ!

“อิ่มแล้วหรือเจ้าคะ?” หลิงเยว่มองโม่จวินเจ๋ออย่างจริงจัง

“ยังเหลืออีก…”

ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยคำว่า ‘นิดหน่อย’ หลิงเยว่ก็ดึงเขาเข้าไปในห้องครัวหมายเลขสาม เอ้ย! หอกลั่นโอสถหมายเลขสาม

“ข้าจะทำอาหารสูตรใหม่ ท่านช่วยล้างผักให้ทีเจ้าค่ะ”

ส่วนผสมจำนวนมากกองอยู่ตรงหน้าโม่จวินเจ๋อ แต่เมื่อเขากำลังจะใช้ปราณทำความสะอาดวัตถุดิบ ก็ถูกหลิงเยว่หยุดไว้

“ล้างด้วยน้ำเถิดเจ้าค่ะ!”

การล้างวัตถุดิบด้วยปราณยังไม่ถูกยอมรับโดยหลิงเยว่ที่เป็นแม่ครัวหัวโบราณ นางอาจจะยอมรับได้ในภายภาคหน้า แต่ไม่ใช่ในตอนนี้

อวี้เจินถือชามเกี๊ยวและมองดูความโชคร้ายของโม่จวินเจ๋อ ดีแล้ว คนเกียจคร้านคนนี้สมควรถูกทรมาน!

โม่จวินเจ๋อทำตามคำแนะนำด้วยสีหน้าไม่แสดงออก

ยังเหลือเวลาอีกประมาณเจ็ดวัน ก่อนการจับฉลากคู่ประลองรอบสองจะเริ่มขึ้น และว่ากันว่ายังมีคนที่ยังไม่ได้ลงจากสนามประลองรอบนี้ด้วย

นี่คือสิ่งที่หลิงเยว่ไม่คาดคิด การต่อสู้สามวันสามคืน หรือเจ็ดวันเจ็ดคืนสำหรับโลกนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ส่วนนางกับเจียงจือเชียนต่อสู้กันเพียงสองวันเท่านั้น

“จะกินอันนี้ด้วยหรือ?”

หลิงเยว่ที่กำลังหลงอยู่ในความคิด ถูกพากลับมาได้สติด้วยคำถามของโม่จวินเจ๋อ

หลิงเยว่ไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางเหยียดหยามที่ชายหนุ่มแสดงต่อกีบเท้าหมู “มันอร่อยนะเจ้าคะ เพียงล้างแล้วผ่าครึ่งก่อนหั่นเป็นชิ้น ๆ ให้ข้าทีเจ้าค่ะ”

อวี้เจินจำได้ว่ากีบเท้าคู่ใหญ่เหล่านี้เป็นกีบเท้าของหมูดำดิน นางรับไม่ได้จริง ๆ เห็นได้ชัดว่าตัวของหมูดำดินนั้นเต็มไปด้วยเนื้อ ทว่าเหตุใดหลิงเยว่กลับเลือกส่วนที่สกปรกที่สุดและไม่มีเนื้อมากินเช่นนี้?

“ศิษย์น้องหลิง ไม่ใช่ว่าเรามีวัตถุดิบเหลือเยอะเลยไม่ใช่หรือ เหตุใดเราต้องกินเจ้าสิ่งนี้ด้วยเล่า?”

โม่จวินเจ๋อเห็นด้วยอย่างยิ่ง

“ข้าอยากกินมันเท่านั้น หากพวกท่านรับไม่ได้ก็เพียงดูข้ากินเฉย ๆ ก็พอเจ้าค่ะ”

กีบเท้าหมูตุ๋น กีบเท้าหมูเปรี้ยวหวาน กีบเท้าหมูย่าง… เพียงคิดสูตรเหล่านี้ ก็ทำให้หลิงเยว่อยากหัวเราะใส่ศิษย์พี่สองคนนี้เหลือเกิน อย่ามาขอกินทีหลังก็แล้วกัน!

หม้อขนาดใหญ่ที่ใส่น้ำแกงสำหรับตุ๋นที่เตรียมไว้เป็นพิเศษ ถูกนำไปตั้งบนไฟเพื่อเตรียมปรุงอาหาร

เนื้อหมูดำดินบางส่วนถูกเอามาใช้ทำลูกชิ้น บางส่วนเอามาทำแกง บางส่วนนำไปทอด หรือตุ๋นก็อร่อยเช่นกัน!

ในเมื่อคิดจะทอดแล้วก็ต้องทอดหมูสามชั้นกรอบไปด้วยเลย

วัตถุดิบหลักของวันนี้คือหมูดำดิน!

โม่จวินเจ๋อและอวี้เจินซึ่งยังรั้งอยู่ในห้องครัวหมายเลขสาม ต่างตกใจกับกลิ่นต่าง ๆ มากมาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพิ่งกินอิ่มไปเมื่อครู่ แต่กลับรู้สึกหิวขึ้นมาอีกแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับกีบเท้าหมูย่างสีแดงทอง ตอนนี้กลิ่นหอมที่ออกมาจากกีบเท้าหมูย่าง แทบจะทำให้พวกเขาน้ำลายสอยาวออกไปสามพันลี้

นอกจากนี้ยังมีหม้อตุ๋นขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นฉุนอื่น ๆ อีกด้วย กลิ่นหอมยิ่งนัก!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท