บทที่ 69 โปรดอยู่ให้ห่างจากข้า อย่าทำให้ข้าร้องไห้กับเจ้า
บทที่ 69 โปรดอยู่ให้ห่างจากข้า อย่าทำให้ข้าร้องไห้กับเจ้า
อาหารทั้งหมดถูกรับประทานโดยผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัส
ผู่ตานรู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โอสถปี้กู่ไม่สามารถเทียบได้เลย
น้ำโอสถสีน้ำตาลเข้มแต่เดิมในอ่างเริ่มใสขึ้นแล้ว และหลงหว่านโหรวก็ดึงมือของนางกลับ “ตอนนี้เจ้าสามารถขยับได้แล้ว เจ้าควรช่วยเหลือตัวเอง เหลือเวลารักษาตัวอีกหกวันเท่านั้น”
“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ขอรับ” ผู่ตานเอนกายไปกับอ่างแช่น้ำ ก่อนโบกมือไล่หลิงเยว่ออกไปราวกับไล่แมลงวัน
คนเนรคุณ!
ตอนที่ข้าป้อนเขาเมื่อครู่ ไม่เห็นเป็นเช่นนี้!
หลิงเยว่พ่นลมหายใจก่อนจะคว้าแขนของหลงหว่านโหรว “ศิษย์พี่เราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
หลงหว่านโหรวดูเหมือนอึดอัดกับความใกล้ชิดเช่นนี้ ทำให้แขนของนางพลันแข็งค้าง หลิงเยว่เองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงคลายแรงมือลงแต่ไม่ได้ปล่อยอีกฝ่าย
หลงหว่านโหรวทำอะไรไม่ถูก ทว่าก็ไม่ได้ผลักหลิงเยว่ออกไป
ทันทีที่ทั้งสองก้าวออกจากหอกลั่นโอสถ กลิ่นหอมในอากาศก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
หมูตุ๋น หมูนึ่ง และกีบเท้าหมูตุ๋นของหลิงเยว่น่าจะพร้อมแล้ว!
ควันโชยพร้อมกลิ่นหอมฟุ้งไปในอากาศ ทำให้หัวใจของหลงหว่านโหรวที่สงบนิ่งเกิดผันผวนขึ้นมา
นับตั้งแต่ศิษย์น้องห้ามาถึง สถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสีสัน
หลิงเยว่เตรียมอาหารใส่จานและวางไว้บนโต๊ะ มีทั้งหมดสิบจาน โดยในจำนวนนี้ เก้าจานเป็นอาหารประเภทเนื้อและมีจานผักเพียงจานเดียวคือยำผักรวม
“ศิษย์พี่ใหญ่เจ้าคะ ข้าทำสิ่งนี้มาเพื่อท่านโดยเฉพาะ เพื่อขอบคุณท่านที่ดูแลข้ามาโดยตลอดเจ้าค่ะ”
ในที่สุดหลิงเยว่ก็หยิบจานใบใหญ่ออกมา มีขาหมูน้ำแดงขนาดใหญ่วางอยู่บนจาน ขณะที่เดินไปรอบ ๆ ขาหมูในจานก็พลันเด้งดึ๋งดั๋ง นางตกแต่งพื้นที่ว่างในจานด้วยชิ้นหมูสามชั้นทอดกรอบ หมูหั่นบางเคลือบน้ำผึ้งย่าง และสารพันผักวิญญาณ
ทั้งดูน่ากินและน่าอร่อยเสียจริง!
หลงหว่านโหรวไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรอยู่สักพัก จนสุดท้ายนางก็พูดว่า “ศิษย์น้องห้าช่างมีน้ำใจนัก”
ในฐานะศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สาม ว่านอวี้เฟิงและติงหลิวหลิ่วอิจฉามากจนตาเปลี่ยนเป็นร้อนผ่าว
เหตุใดพวกเขาไม่ได้เช่นนี้บ้าง!
เหตุใดศิษย์น้องห้าลำเอียงเช่นนี้ พวกเขาก็ดูแลนางเหมือนกันนะ! นางลืมไปแล้วหรือ?
โม่จวินเจ๋อเหลือบมองอย่างอิจฉา “เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าต้องการให้ของขวัญข้าเป็นการตอบแทนหรือ? ข้าก็อยากได้สิ่งนี้เหมือนกัน!”
“ศิษย์น้องหลิง…”
อวี้เจินหยิบผ้าเช็ดหน้ามาจากที่ไหนไม่รู้ ก่อนมองหลิงเยว่ด้วยดวงตาน่าสงสาร ขณะแสร้งทำทีเป็นเช็ดน้ำตา
“อาหารในจานของศิษย์พี่ใหญ่ทั้งหมดก็อยู่บนโต๊ะนะเจ้าคะ พวกท่านสามารถแบ่งมาใส่จานตัวเองก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร?”
“ถูกต้อง เจ้าสามารถตัดขาหมูใหญ่ของข้าเป็นชิ้น ๆ ได้”
“เฮ้อ แต่นี่มัน…”
เนื้อชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งวางตุบตรงหน้าติงหลิวหลิ่วที่ยังต้องการพูด ก่อนนางคีบมากิน จากนั้นดวงตาอันมืดหม่นก็พลันสว่างขึ้น
อร่อยมาก… โดยเฉพาะหนังที่ถูกเคลือบด้วยน้ำปรุงรสเต็ม ๆ บนชั้นไขมันบางนี้ มันไม่เลี่ยนเลย เพียงกัดเข้าไปเบา ๆ ไขมันก็พลันละลายในปาก เนื้อสัมผัสไม่เหนียว หนำซ้ำยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวอีกด้วย
“อื้ม… เจ้าทำมันให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
อวี้เจินชี้ไปที่เนื้อส่วนท้องหมู นางชอบอาหารจานนี้มาก ไม่สิ นางชอบทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะอาหารต่างหาก!
“อ่า หมูทอดพวกนี้กรอบนอกแต่ข้างในชุ่มฉ่ำขนาดนี้ได้อย่างไร!”
“สวรรค์! ลองเอาขาหมูนี้จิ้มน้ำจิ้มดูสิ มันอร่อยนัก!”
“ไม่หรอก กีบเท้าหมูตุ๋นนี้อร่อยมากกว่าอีก ข้าจะนำมันมากินกับข้าว!”
ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงของอวี้เจินและติงหลิวหลิ่ว
อีกสี่คนยังคงหมกมุ่นอยู่กับการกิน และไม่ตอบสนองต่อคำพูดของพวกเขาทั้งสองเลย
[ท่านทำอาหารจากหมูตัวหนึ่งเป็นอาหารเก้าอย่างได้สำเร็จในคราวเดียว ท่านได้รับรางวัลค่าพลังวิญญาณ 9,000 แต้ม อายุขัย +90 วัน ยอดคงเหลือ 33,110 แต้ม อายุขัย 698 วัน]
[ภารกิจหลักที่ 10 : ใช้อาหารวิญญาณแบบพิเศษและวิชาหมื่นชีวางอกเงยอย่างสมเหตุสมผลเพื่อชนะสิบอันดับแรกในการแข่งขันสำนัก ท่านจะได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณ 100,000 แต้ม และอายุขัย +500 วัน!]
หลิงเยว่ตกใจกับรางวัลของภารกิจอันมากมาย ซ้ำยังดูเหมือนว่าจะไม่มีบทลงโทษอีกด้วย!
บางทีระบบอาจลืมไปหรือไม่? ไม่สิ นางต้องไม่ถามไปเพื่อเป็นการเตือนใด ๆ ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหากระบบตระหนักถึงเรื่องนี้ และแจ้งเงื่อนไขเพิ่มอีกครั้ง?
หลิงเยว่ซึ่งเป็นคนแรกที่กินอิ่ม ดังนั้นนางจึงรับหน้าที่ส่งอาหารให้กับมัมมี่ที่อยู่ห้องข้าง ๆ
“ศิษย์พี่สี่ถึงเวลากินข้าวแล้วเจ้าค่ะ!”
หลังจากเคาะประตูและวางกล่องอาหารลงบนพื้น หลิงเยว่ก็หันหลังกลับเตรียมจากไป
การจับฉลากคู่ประลองรอบที่สองจะเริ่มในอีกสามวัน ในช่วงสามวันนี้ นางจะต้องบำเพ็ญอย่างหนักเพื่อให้รากฐานของระดับการบำเพ็ญมั่นคงยิ่งกว่าเดิม สำหรับการฝึกฝนวิชาอื่น ๆ นางคิดว่ามันไม่สามารถก้าวหน้าได้เร็วเท่ากับการต่อสู้จริง หลังจากผ่านการประลองมาสองสามรอบ จึงรู้สึกว่าการใช้วิชาหรือทักษะต่าง ๆ กำลังก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด!
หลิงเยว่ซึ่งไม่มีที่อยู่อาศัยที่แน่นอน ได้ผลักเปิดหอกลั่นโอสถหมายเลขสี่ และตัดสินใจฝึกฝนที่นี่
“สวรรค์! ที่นี่เป็นบ้านสุนัขหรืออย่างไร?”
หลิงเยว่ซึ่งไม่มีที่ไปมุมปากกระตุก ศิษย์พี่สี่ที่บ้าราวกับสุนัขเช่นนั้น ไม่คิดว่าเขาจะไม่มีระเบียบจนห้องของตัวเองเละเทะได้ถึงเพียงนี้
นางกวาดข้าวของที่ระเกะระกะออกไปมุมหนึ่ง แล้วเทหินวิญญาณระดับล่างหนึ่งหมื่นก้อนออกมา ก่อนเปิดค่ายกลรวมวิญญาณ จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิ พลันเข้าสู่สภาวะการบำเพ็ญทันที
แสงทั้งห้าสีพุ่งเข้าสู่ทุกส่วนของร่างกาย แสงสีเขียวโคจรอย่างรุนแรงเพื่อซ่อมแซมร่างกาย แสงสีทองปกคลุมเส้นเอ็น แสงสีน้ำเงินไหลเวียนช้า ๆ ไปตามกระแสโลหิต และแสงสีแดงรวมถึงแสงสีน้ำตาลก็ไหลเวียนไปตามร่างกายเช่นกัน
ดอกไม้ดำน้อยหยั่งรากในตันเถียนของนาง พลางดูดซับปราณ
“ดอกไม้ดำน้อย!”
“มีอะไรหรือ?”
เป็นเสียงของเด็กสาวที่ตอบรับมา!
“ข้าแค่จะบอกว่า ข้าอยากเรียกเจ้ามากินข้าวอยู่ครึ่งค่อนวันแต่กลับไม่เห็นเจ้าเลย ปรากฏว่าเจ้าอยู่ในร่างของข้านี่เอง” หลิงเยว่รู้สึกแปลกใจมาก ด้วยไม่คาดคิดว่าดอกไม้ดำน้อยจะมาอาศัยอยู่ในร่างของนางหลังจากทำพันธะสัญญา!
“ข้าฝากอาหารส่วนของเจ้าไว้ที่หอกลั่นโอสถข้าง ๆ ถ้าเจ้าต้องการ…”
ก่อนที่นางจะพูดจบแสงสีดำก็พุ่งหายไปทันที
หลิงเยว่ “…”
ข้าไม่เคยเห็นดอกไม้ที่ตะกละเช่นนี้มาก่อน!
คนอื่น ๆ จะรู้สึกอย่างไรเมื่อจู่ ๆ ราชาดอกไม้เกล็ดน้ำแข็งก็ปรากฏตัวขึ้นและคว้าอาหารไปเช่นนี้?
หลงหว่านโหรวคว้าราชาดอกไม้ที่พยายามใส่อาหารลงในเกสร ก่อนโยนมันลงบนกล่องอาหารข้าง ๆ “นี่คือส่วนของเจ้า”
ราชาดอกไม้สะดุ้งก่อนจะแปะติดกล่องอาหาร จากนั้นร่างของมันก็พลันบีบตัวจนบางราวกับแผ่นกระดาษ ก่อนลอดเข้าไปในกล่องอาหารตามช่องว่าง
“มันคือ?” อวี้เจินที่เห็นราชาดอกไม้ครั้งแรก ชี้ไปที่กระดูกในมืออย่างสับสน
“สัตว์อสูรที่ทำพันธะสัญญาของหลิงเยว่”
“อ้อ…”
อวี้เจินอิจฉามาก นางยังไม่มีสัตว์อสูรของตัวเองด้วยซ้ำ ไม่ได้การแล้ว! นางเองก็ต้องการที่จะมีมันด้วยเช่นกัน หลังจากนี้เมื่อกลับไปส่งอาหารอร่อย ๆ ให้อาจารย์ นางจะต้องกดดันอีกฝ่ายเสียหน่อยแล้ว!
โม่จวินเจ๋อซึ่งอิ่มแล้ว มองไปทางห้องที่หลิงเยว่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนอยู่ จากนั้นจึงเดินจากไปพร้อมกับกล่องอาหารสำหรับเล่อเหอ
หลิงเยว่ผู้จมอยู่กับการฝึกฝนมีรากฐานการบำเพ็ญที่มั่นคงขึ้น หลังจากวันที่จับฉลากรอบแรก อาการบาดเจ็บทางร่างกายทั้งหมดของนางได้รับการรักษาและปราณก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
“ศิษย์พี่สี่ท่านหายดีแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
ผู่ตานที่กำลังพิงเสาและกินหมูทอดพูด “อืม ไปกันเถิด”
“ศิษย์น้องห้าอยู่ให้ห่างจากผู่ตานเดี๋ยวนี้!”
ติงหลิวหลิ่วรีบเดินเข้ามาขวางระหว่างทั้งสอง จากนั้นหรี่ตามองผู่ตานด้วยสายตาตั้งรับ กระซิบข้างหูของหลิงเยว่ว่า “เขาเป็นคนโชคร้าย ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องจะต้องโชคร้าย!”
หลิงเยว่ “…”
เมื่อเข้าสู่การจับฉลากรอบสองระดับการบำเพ็ญของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดก็มีแต่อยู่เหนือขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้า มีเพียงนางและผู่ตานเท่านั้นที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด ไม่ว่าจะจับฉลากได้คู่ต่อสู้คนใดก็ตาม พวกเขาจะไม่อ่อนแอแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะโชคร้ายเพียงใด ก็คงไม่โชคร้ายมากไปกว่าที่จะเป็นอยู่อีกแล้ว
แต่ติงหลิวหลิ่วไม่ให้โอกาสหลิงเยว่พูด นางคว้าหลิงเยว่แล้วโยนขึ้นไปบนพาหนะวิญญาณของนางแล้วบินออกไปในพริบตา
ทันทีที่ว่านอวี้เฟิงออกมา เขาก็เหมือนหนูเห็นแมวเมื่อตนเห็นผู่ตาน จึงรีบกระโดดขึ้นไปบนอาวุธวิญญาณของเขาแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องสี่ โปรดอยู่ให้ห่างจากข้าที!”
“ไม่!”
ผู่ตานตอบสนองอย่างรวดเร็วและกระโดดขึ้นไปบนอาวุธวิญญาณของว่านอวี้เฟิง ก่อนจับข้อมืออีกฝ่ายแล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย
มันจบแล้ว
ว่านอวี้เฟิงรู้สึกสกปรกยิ่ง