แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 879 พูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงาน

ตอนที่ 879 พูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงาน

ตอนที่ 879 พูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงาน

ทั้งครอบครัวรอนานกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ครอบครัวของเฝิงเยว่จู๋ก็ยังไม่มา

เถียนเถียนหิวจึงส่งเสียงร้องงอแงเป็นครั้งคราว

ไป๋เหยียนโมโหมากจนอยากตบก้นน้อย ๆ ของหล่อน แต่พ่อไป๋ห้ามหล่อนไว้ “นี่มันหกโมงเย็นใกล้จะทุ่มหนึ่งแล้ว นับประสาอะไรกับเถียนเถียน พวกเราเองก็หิวด้วย เถียนเถียนยังไม่ได้กินข้าว และลูกยังจะทุบตีหล่อนอีก”

ใบหน้าไป๋เซี่ยมืดมน “ไม่ต้องรอแล้วครับ เราขอให้บริกรเสิร์ฟอาหารก่อนเลยดีกว่า”

พ่อไป๋มองดูนาฬิกา “รออีกสักสิบห้านาที หากยังไม่มาก็ให้บริกรมาเสิร์ฟอาหารได้เลย”

ทุกคนจึงเฝ้ารอต่อไป

เวลาดำเนินไปกว่าสิบห้านาที ขณะที่ไป๋เซี่ยกำลังจะลุกไปเรียกบริกร ประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก

ครอบครัวของเฝิงเยว่จู๋และผู้สูงอายุวัยหกสิบถึงเจ็ดสิบปีคู่หนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าครอบครัวของหลินม่าย

ทันทีที่แม่เฝิงเข้าไปในห้องส่วนตัว หล่อนก็ขอโทษด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะที่มาสาย”

แม่เฝิงไม่ได้พูดถึงเหตุผลที่เดินทางมาสาย ปล่อยให้พ่อไป๋และครอบครัวของเขาคิดเอาเอง

ไม่มีใครในครอบครัวของพ่อไป๋เป็นอย่างหล่อน ดังนั้นพวกเขาจึงเดาความคิดของหล่อนไม่ได้

วันนี้ครอบครัวเฝิงมาสายมาก และทั้งหมดนี้เป็นเพราะแม่เฝิง

พ่อไป๋เปลี่ยนวันนัดพบระหว่างสองครอบครัว ซึ่งทำให้แม่เฝิงรู้สึกไม่สบายใจมาก โดยคิดว่าพ่อไป๋จงใจให้ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้

แต่หล่อนไม่กล้าสร้างปัญหาอย่างเปิดเผย เพราะกลัวชีวิตคู่ที่ดีของลูกสาวจะเสียหาย

วันนี้หล่อนจึงตั้งใจให้ทั้งครอบครัวมาสายเพื่อเป็นการแก้แค้น

แน่นอนว่าต่อให้พ่อไป๋จะไม่ได้เปลี่ยนวันนัด ตระกูลเฝิงก็ยังคงจะมาสาย แต่พวกเขาจะไม่มาสายขนาดนั้น

ภูมิหลังครอบครัวของตระกูลไป๋และตระกูลเฝิงนั้นแตกต่างกันมาก

แม่เฝิงกลัวว่าเฝิงเยว่จู๋จะถูกกลั่นแกล้งหลังแต่งงานกับตระกูลไป๋ ดังนั้นหล่อนจึงต้องการเอาชนะตระกูลไป๋ในสงครามประสาทระหว่างสองตระกูล

หล่อนต้องการทำให้ตระกูลไป๋เข้าใจว่าพวกเขาต้องยอมก้มหัวสยบให้กับลูกสาว เพื่อให้ลูกสาวได้เชิดหน้าชูตา

พ่อไป๋สามารถไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งประธานสาขาได้ เขาย่อมเป็นอัจฉริยะโดยธรรมชาติ แน่นอนว่าเขารู้ทัน

เขาซ่อนความฉลาดเฉลียวไว้ในรอยยิ้มและกล่าว “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่มีงานทำตอนกลางคืนอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะมาดึกแค่ไหนผมก็รอได้ แต่ลูกสาวคนเล็กของผมต้องไปเรียนในวันพรุ่งนี้ การมาสายของคุณส่งผลกระทบต่อหล่อนมากกว่าครับ ไม่ใช่ผม”

หลินม่ายแอบชื่นชมพ่อไป๋ในใจ

ด้วยท่าทางที่สุภาพและคำพูดที่อ่อนโยน เขาจึงสมควรเป็นผู้นำ

เธอเหลือบมองไปยังตระกูลเฝิง

แม่เฝิงเป็นแม่บ้านที่ไม่มีประสบการณ์ หล่อนจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพ่อไป๋ คำพูดนุ่มนวลแต่เชือดเฉือนอย่างเจ็บแสบของพ่อไป๋ย่อมทำให้หล่อนทนไม่ได้

หล่อนยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนสีหน้าราวกับพลิกหน้าหนังสือ

พ่อไป๋เรียกบริกรทั้งสี่ออกมาและเชิญทุกคนในครอบครัวเฝิงให้นั่งลงอย่างอบอุ่น

นอกจากนี้เขายังถามแม่เฝิงว่าคู่รักวัยชราสองคนที่มาด้วยเป็นใคร

แม่เฝิงแนะนำด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาคือคุณตาและคุณยายของเยว่จู๋ค่ะ เยว่จู๋ได้รับการเลี้ยงดูจากตายายตั้งแต่ยังเด็ก และพวกเขาก็รักหล่อนมาก ตายายของหล่อนกังวลมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นตลอดชีวิตของหล่อน”

หลังจากที่ทุกคนนั่งเรียบร้อยแล้ว พ่อไป๋ก็ขอให้บริกรเสิร์ฟอาหาร

ทุกคนกินและพูดคุยกัน

ในช่วงอาหารค่ำ พ่อไป๋ริเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงานระหว่างไป๋เซี่ยและเฝิงเยว่จู๋

“ผมเพิ่งรู้จากเซี่ยเซี่ยว่า เซี่ยเซี่ยและเยว่จู๋ของคุณคบหากันมาเกือบปีแล้ว เนื่องจากลูกทั้งสองมีความรักต่อกัน และทั้งคู่ก็อายุเกินเกณฑ์ที่แต่งงานได้ตามกฎหมายแล้ว คุณคิดว่าพวกเขาควรจะหมั้นหมายหรือแต่งงานกันดีครับ?”

พ่อเฝิงและแม่เฝิงสบตากัน

แน่นอนว่าพวกเขาต้องการจะแต่งงานทันที

มีแต่เมื่อลูกทั้งสองแต่งงานกันแล้ว ตระกูลเฝิงจึงจะสามารถยึดตระกูลไป๋ไว้ได้อย่างมั่นคง

การหมั้นหมายถือว่าไม่ปลอดภัย เพราะสามารถยุติได้ทุกเมื่อ และท้ายที่สุดตระกูลเฝิงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ

พ่อเฝิงกล่าว “ผมคิดว่าเราควรจะให้พวกเขาแต่งงานกันเหมือนกับที่คุณบอกครับ ลูกทั้งสองได้ผ่านวัยที่บรรลุนิติภาวะแล้ว และหลังจากนั้นอีกสองปี พวกเขาก็น่าจะโตมากแล้ว”

แม่เฝิงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยับยั้งความตื่นเต้นเอาไว้ และพูดอย่างเป็นกันเอง “ฉันคิดว่างานแต่งงานควรจัดขึ้นในวันที่ 1 พฤษภาคม เพราะอากาศอบอุ่นสบาย และเจ้าสาวก็ดูดีในชุดแต่งงานด้วย”

พ่อไป๋ยิ้มและกล่าว “ผมไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ คุณถามเด็กทั้งสองคนก่อนว่าพวกเขาเห็นด้วยหรือไม่ หากพวกเขาเห็นด้วยก็ถือเป็นการตัดสินใจร่วมกัน”

พ่อเฝิงและแม่เฝิงรีบถามไป๋เซี่ยและเฝิงเยว่จู๋ทันที

เฝิงเยว่จู๋หน้าแดงด้วยความเขินอาย ลดศีรษะลงแล้วกล่าว “ฉันแล้วแต่เซี่ยเซี่ยค่ะ”

ไป๋เซี่ยมองไปยังเฝิงเยว่จู๋ด้วยความประหลาดใจ

เขาจะจบการศึกษาจากบัณฑิตวิทยาลัยในฤดูร้อนนี้ และจะได้งานทำในเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม

เขาและเฝิงเยว่จู๋คุยกันแล้วว่า พวกเขาจะแต่งงานกันหลังจากมีงานทำ ดังนั้นวันแต่งงานจึงถูกกำหนดให้เป็นวันชาติ

ไป๋เซี่ยคิดว่าเฝิงเยว่จู๋ได้เล่าเรื่องนี้กับพ่อแม่ของหล่อนไปแล้ว

แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เฝิงเยว่จู๋งทำงานหนักจนไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย

เมื่อเห็นว่าสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เขา ไป๋เซี่ยก็กระแอมอย่างอึดอัด

“เดือนพฤษภาคมอากาศดีเหมาะแก่การแต่งงานก็จริง แต่วันชาติก็อากาศดีเหมือนกันนะครับ มีอากาศสดชื่นในฤดูใบไม้ร่วง หากผมจัดงานแต่งวันชาติ คุณลุงและคุณป้าจะแย้งหรือไม่ครับ?”

เมื่อเห็นว่าพ่อเฝิงและแม่เฝิงดูเศร้าหมอง เขาทำได้เพียงกล่าวเสริม “ในตอนนั้น ผมคงเรียนจบและมีงานทำแล้ว ถึงตอนนั้นผมคงมีหน้าพอที่จะพูด หากแต่งงานวันที่ 1 พฤษภาคม… ผมในฐานะเจ้าบ่าวยังไม่ได้ทำงาน คนอื่นอาจคิดว่าลูกสาวของคุณลุงกับคุณป้าแต่งงานกับคนไม่เอาไหนได้นะครับ”

สิ่งที่เขาพูดมีเหตุผลมาก เป็นเรื่องยากสำหรับพ่อเฝิงและแม่เฝิงที่จะปฏิเสธ

คุณตาเฝิงพูดอย่างเชื่องช้า “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะแต่งงานในวันชาติ แต่ต้องมีการหมั้นหมายไว้ก่อนไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลโคมไฟ เทศกาลไหว้บะจ่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลตังโจ่ย หรือเทศกาลปีใหม่ ต้องมีเนื้อหมูอย่างน้อยแปดชั่ง ขนมยกน้ำชา น้ำตาลทรายแดงและน้ำตาลทรายขาว เห็ดหูหนูขาว และพุทราแดง… ทั้งหมดนี้ต้องมี!

ทุกคนในครอบครัวของหลินม่ายล้วนเข้าใจ ยกเว้นมู่ตงและเถียนเถียนที่ยังเล็กและไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดคุยกัน

ตามประเพณี ผู้ชายที่สัญญาจะแต่งงานควรมอบของขวัญให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงตามธรรมเนียมดั้งเดิมที่คุณตาเฝิงกล่าวถึง

แต่สิ่งเหล่านี้ที่คุณตาเฝิงเสนอมานับว่าดูน่าเกลียดไปหน่อย

กระนั้นพ่อไป๋ยังคงตกลงตามคำขอร้องของคุณตาเฝิง

ความคิดของเขาเรียบง่ายมาก ตราบใดที่เฝิงเยว่จู๋และไป๋เซี่ยสามารถมีความสุขร่วมกันได้ในอนาคต เงินเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีความหมายอะไร

เขาไม่ต้องการสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเด็กสองคนเพื่อผลกำไรเพียงเล็กน้อย

ข้อเสนอของคุณตาเฝิงเป็นเพียงสิ่งล่อใจ

เมื่อตระกูลเฝิงเห็นว่าพ่อไป๋ตกลงอย่างง่ายดาย พวกเขาทั้งหมดมีความสุขมาก และคิดว่าเขาเป็นมิตรอย่างมาก

คุณยายเฝิงถาม “ไม่รู้ว่าฝั่งลูกเขยมีแผนจะจัดการแต่งงานของลูกสองคนอย่างไรหรือ?”

พ่อไป๋วางตะเกียบและคิดอย่างจริงจัง “ไป๋เซี่ยยังเรียนอยู่ระดับบัณฑิตศึกษา ยังไม่ได้ทำงาน และไม่มีเงินเก็บ เยว่จู๋เพิ่งเริ่มทำงานเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นคุณอาจไม่มีเงินออมมากนัก ถึงจะมีเงินเก็บก็อาจไม่เพียงพอที่จะจับจ่ายหรือดูแลสิ่งใดได้ด้วยตัวคนเดียว ปล่อยให้พ่อแม่เป็นผู้จัดการดีกว่า ลูก ๆ ก็แค่หาเงินมาช่วยบ้างเล็กน้อย แล้วทุกอย่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ปล่อยให้พวกเราจัดการกับการแต่งงานด้วยความตื่นเต้นเถอะ เรื่องนี้ผมไม่ได้ล้อเล่น สถานะทางการเงินของครอบครัวเราดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว และครอบครัวของเราจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการแต่งงานเอง กระทั่งสินสอดของเยว่จู๋เราก็จะเป็นฝ่ายเตรียม โดยสินทรัพย์เหล่านี้จะถูกนำมาวางในพิธีแต่งงานเพื่อแสดงให้ผู้อื่นได้เห็น”

คุณยายเฝิงและคุณตาเฝิงได้รับเชิญเป็นพิเศษจากพ่อเฝิงและแม่เฝิงให้ช่วยมาต่อรองราคาสินสอด

ตอนนี้ได้ฟังการจัดการของพ่อไป๋แล้า พวกเขาก็ไม่สามารถเลือกอะไรได้

คุณยายเฝิงคิดว่าพ่อไป๋ไม่ได้พูดถึงสินสอด นางจึงถาม “ฉันไม่รู้ว่าคุณจะให้สินสอดเท่าไหร่สำหรับหลานคนนี้?”

พ่อไป๋กล่าว “ในสถานการณ์ทั่วไปตอนนี้ สินสอดเจ้าสาวส่วนใหญ่อยู่ที่สามพันหยวน ดังนั้นผมขอเสนอห้าพันหยวนครับ”

หลินม่ายอ้าปากค้าง เธอไม่คิดว่าค่าสินสอดหญิงในปักกิ่งจะสูงขนาดนี้!

เจียงเฉิงที่เธอรู้จักและหมู่บ้านใกล้เคียงของเจียงเฉิงก็ให้ค่าสินสอดเจ้าสาวเช่นกัน แต่ไม่มาก อาจเพียงไม่กี่ร้อยในยุคนี้

ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 1960 และ 1970 โดยพื้นฐานแล้วไม่มีสินสอดทองหมั้น มีเพียงผ้าไม่กี่ผืนสำหรับเจ้าสาว

มีเพียงไม่กี่ตระกูลที่สามารถจ่ายค่าสินสอดเจ้าสาวในราคาหลายพันหยวนได้

พ่อไป๋มองไปยังพ่อเฝิงและแม่เฝิงพร้อมสอบถาม “คุณคิดว่าข้อตกลงของผมสมเหตุสมผลหรือไม่ครับ? หากมีบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล โปรดชี้แจงมาได้”

พ่อไป๋เอ่ยอย่างสุภาพมาก

เฝิงเยว่จู๋เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ และพูดเป็นคนแรก “คนอื่นตอนแต่งงานมักจะซื้อแหวนทองให้คู่หมั้น ครอบครัวของคุณไป๋รวยมาก ไม่คิดจะซื้อแหวนทองสามวงให้ฉันหน่อยเหรอคะ?”

พ่อไป๋ยิ้ม “จะไม่ซื้อได้อย่างไรล่ะ? ฉันแค่ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้”

คุณยายเฝิงยัดเนื้อเป็ดเข้าไปในปาก ปรือเปลือกตาขึ้นแล้วกล่าว

“สภาพครอบครัวคุณดีมาก ทำไมซื้อทองให้หลานสาวฉันแค่สามชิ้นเองล่ะคะ? อย่างน้อยซื้อทองรูปพรรณครบชุดก็ยังดี”

เมื่อเห็นความละโมบของตระกูลเฝิง แม่ไป๋ก็รู้สึกไม่พอใจและพูดด้วยความโกรธ “ครอบครัวของเราเพิ่งซื้อบ้านสวัสดิการ และไม่มีเงินมาซื้ออะไรให้ลูกคุณได้มากมายถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เป็นเรื่องยากที่จะซื้อเครื่องประดับทองครบชุด เลยซื้อทองได้เพียงสามชิ้นเท่านั้นล่ะค่ะ หรือไม่คุณก็จัดเตรียมค่าสินเดิมให้กับเยว่จู๋สิ และให้ครอบครัวของเราซื้อเครื่องประดับทองคำครบชุดให้ จะได้ไม่เป็นปัญหา”

เมื่อยายเฝิงได้ยินสิ่งนี้ นางก็พูดพึมพำทันที

เพื่อช่วยให้ลูกสาวของพวกเขาได้รับเครื่องประดับทองคำครบชุด ตระกูลเฝิงจึงตกลงจะเตรียมสินเดิมเอง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ขาดทุน

หลินม่ายแอบยกนิ้วให้แม่ไป๋ หล่อนยังคงเปล่งประกายในช่วงเวลาที่สำคัญ

ในเวลานี้ คุณพ่อเฝิงก็พร่ำบ่น “ดูสิ เซี่ยเซี่ยยังไม่ได้ทำงาน ต่อให้เขาจะมีงานทำ ก็ไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าใดจึงจะซื้อบ้านได้ ลูกสองคนแต่งงานและใช้ชีวิตกัน คุณจะไม่พูดถึงเรื่องใหญ่กว่านี้ที่อาจเกิดในอนาคตเหรอครับ?”

พ่อไป๋ยังคงยิ้ม “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานหรอกครับ แม่ของเซี่ยเซี่ยเพิ่งบอกว่าหล่อนซื้อบ้านสวัสดิการซึ่งเป็นบ้านใหญ่สามห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่นไว้ ผมได้พูดคุยกับลูก ๆ ของผมแล้วว่า เราจะให้ห้องที่ใหญ่ที่สุดเป็นเรือนหอของเซี่ยเซี่ยและเยว่จู๋”

ทุกอย่างพลันเงียบลงในทันใด

เถียนเถียนไม่กินเป็ดย่างด้วยซ้ำ เอาแต่มองดูผู้คนที่โต๊ะด้วยความกลัว

หลังจากนั้นไม่นาน คุณตาเฝิงก็เอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ “คุณมีบ้านตั้งหลายหลังนี่ ทำไมคุณถึงให้ห้องเดียวเป็นเรือนหอสำหรับเด็กสองคน?’

พ่อไป๋ถามด้วยความงุนงง “ผมมีบ้านหลายหลังเหรอครับ? ทำไมผมไม่เห็นรู้เลย”

แม่เฝิงยิ้มพลางกล่าว “อย่าแสร้งทำเป็นสับสนเลยค่ะ ตอนนี้ครอบครัวของคุณอาศัยอยู่ในเรือนสี่ประสาน บ้านใหม่ที่คุณซื้อก็ใช้เป็นเรือนหอของเซี่ยเซี่ยได้”

ใบหน้าของพ่อไป๋เศร้าหมอง “ลูกสาวของผมให้ผมยืมเรือนสี่ประสานเพื่อพักอาศัยชั่วคราว รอให้บ้านสวัสดิการหลังใหม่สร้างเสร็จสิ้นและย้ายเข้าไป ผมก็จะคืนบ้านให้ลูกสาวตัวน้อยของผมที่อยู่อย่างยากลำบากมานานน่ะครับ”

คุณยายเฝิงพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม “มีอะไรจะตอบแทนลูกสาวของเราบ้าง? หล่อนตกเป็นที่ซุบซินนินทาของชาวบ้านตลอดเลยนะคะ”

ใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อไป๋กลายเป็นใบหน้าจริงจังขึ้นมา “คุณต้องการอะไรครับ? จะให้ผมที่ไม่มีบ้านอยู่เข้าครอบครองบ้านของลูกสาวที่แต่งงานแล้วเหรอ แบบนั้นจะเป็นการกดขี่ลูกสาวผมมากเกินไปนะครับ!”

เขาพูดจี้ใจดำจนทำให้พ่อเฝิงและแม่เฝิงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ครอบครัวนี้แปลกๆ นะ ดูเหมือนขายลูกสาวกินเลย ทำให้ผู้แปลคิดว่ายังไงสาวคนนี้ก็ไม่เหมาะกับเซี่ยเซี่ยอะ แต่งไปน่าจะมีปัญหาใหญ่

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

Status: Ongoing

หลินม่ายได้กลับมาเกิดใหม่ในวันแต่งงานของตัวเอง​ และพบว่าทุกคนรอบตัวไม่ว่าจะเป็นครอบครัวตัวเองหรือครอบครัวสามีต่างก็ยังเป็นเศษสวะกันเหมือนเดิม​ แต่ขอโทษเถอะ…หลินม่ายคนนี้ไม่ใช่หลินม่ายคนเดิมแล้ว​ ใครหน้าไหนมารังแกฉัน​ คราวนี้แม่จะซัดให้หงาย​​ จะงัดมารยาสาไถทุกกระบวนมาใช้แก้เผ็ดมันให้หมด! จากนั้นก็จะหย่ากับสามีกะหลั่วแยกตัวออกมาสร้างฐานะแบบสวยๆ​ ไม่ต้องสนใจใครอีกแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท