ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 242 เมฆดำบดบังจันทร์ คืนล่าสังหาร

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 242 เมฆดำบดบังจันทร์ คืนล่าสังหาร

วันที่สอง

อัจฉริยะพันธมิตรเจ็ดสำนักหยุดการประลองอย่างหาได้ยาก คนที่เหลือทั้งหมดแทบจะจับจ้องไปที่กรมปราบพิฆาตท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก

ต่างนิ่งเงียบ

ต่างสูดลมหายใจลึก

ยิ่งไปกว่านั้นสายตายังฉายความระแวดระวังและตื่นตะลึงอย่างรุนแรงออกมา

เกิดอะไรขึ้นในกรมปราบพิฆาตพวกเขาไม่รู้

แม้ค่ายกลสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจะไม่มีผลกับซือหม่าหรู แต่การสกัดกั้นสภาพแวดล้อมไม่ให้เข้าแทรกแซงมีผลกับทุกคน ดังนั้นการต่อสู้เมื่อวานนี้คนนอกจึงมองไม่เห็นทุกอย่างในนั้น

มีเพียงผู้นำระดับสูงในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตและองค์ชายองค์หญิงที่รายชื่ออยู่ในอันดับเท่านั้นถึงจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ทว่านอกจากยอดเขาลำดับเจ็ด หกยอดเขาที่เหลือความจริงแล้วก็มองไม่เห็นเช่นกัน เพราะ…นายท่านเจ็ดแทรกแซง

ดังนั้น สิ่งที่คนทั้งหลายที่อยู่นอกยอดเขาลำดับเจ็ดได้เห็นคือซือหม่าหรูลอยเข้าไป จากนั้นไม่นานเท่าไร การสกัดกั้นจากกรมปราบพิฆาตก็สลายไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ ลูกศิษย์กรมปราบพิฆาตที่กระจายตัวอยู่ข้างนอกกลับมา การดำเนินงานของทั้งกรมปราบพิฆาตทุกอย่างกลับสู่ปกติ

ยังคงไล่ล่าจับกุมกลุ่มนกเขาราตรีต่อไป ยังคงส่งนักโทษจำนวนมหาศาลเข้ามา

มีเพียงซือหม่าหรูหายตัวไป ซือหม่าหลิงน้องชายของนางก็ยังคงถูกคุมขังไม่ได้ปล่อยตัวออกมา

ส่วนเรือกระดูกขาวที่ท่าเรือลำนั้น ในขณะที่ไร้ความเคลื่อนไหวสูญเสียการควบคุม ก็สลายไปเอง

ภาพนี้ทำให้อัจฉริยะเหล่านี้ของพันธมิตรเจ็ดสำนักจิตใจเกิดคลื่นยักษ์ท่วมฟ้ากันทุกคน พวกเขาตอนนี้พลันรู้สึกว่าการไปท้าประลองยอดเขาอื่นๆ ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

ไม่ว่าจะไปท้าประลองอย่างไร กรมปราบพิฆาตท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกล้วนเหมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงใจพวกเขา

ซือหม่าหลิงถูกกรมปราบพิฆาตสยบ เห็นได้ชัดว่าพี่สาวของเขาก็ถูกสยบเช่นกัน ส่วนหวงอี้คุนสำนักโลกันต์ทมิฬที่ไปท้าประลองยอดเขาลำดับเจ็ดก็หายตัวไป ก่อนหายตัวไปได้บอกกับคนอื่นๆ ว่าเขาจะเป็นผู้จัดการเรื่องที่เกี่ยวกับสวี่ชิงแห่งกรมปราบพิฆาตเอง

ทั้งหมด…ล้วนเกี่ยวข้องกับสวี่ชิง!

ดังนั้นกรมปราบพิฆาตที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกในสายตาลูกศิษย์พันธมิตรเจ็ดสำนักเสมือนถ้ำพยัคฆ์ ดั่งสระมังกร ในขณะเดียวกับที่ลึกลับเกินหยั่งก็มีอันตรายที่ไม่อาจจินตนาการได้

เดิมเป้าหมายพันธมิตรที่ส่งพวกเขามาคือให้พวกเขาอาศัยการท้าประลองครั้งแล้วครั้งเล่ากำราบเจตจำนงของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต ทำให้ในใจของพวกเขามีเมล็ดพันธุ์ความยำเกรงต่อพันธมิตรเจ็ดสำนัก

และในทีแรกพวกเขาก็ทำได้แล้วจริงๆ จากการท้าประลองแต่ละครั้ง ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตต่างเงียบงัน ในใจยิ่งหวาดหวั่น กระทั่งว่ามีจำนวนหนึ่งที่ลองคบค้ากับพวกเขาแล้ว

แต่ตอนนี้ ในขณะเดียวกับที่พวกเขาสยบลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ถูกกรมปราบพิฆาตสยบเช่นกัน

“สวี่ชิงคนนี้กำลังรบที่แท้จริงอยู่ระดับใดกันแน่!”

“ซือหม่าหรูยังไปไม่กลับ แม้ที่มาจะไม่ใช่ร่างจริงของนาง แต่ก็มีกำลังรบไฟชีวิตสี่ดวงครึ่ง นางที่สยบพวกเราได้ง่ายๆ กลับถูกกรมปราบพิฆาตสยบ”

“ยอดเขาลำดับเจ็ด…นี่ถึงจะเป็นสาขาหลักของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเช่นนั้นหรือ”

“ศิษย์พี่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องยังไม่ไปก็ดี…”

ในขณะเดียวกับที่อัจฉริยะพันธมิตรเจ็ดสำนักตื่นตะลึง ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตหลังจากที่จับตามองทุกอย่างนี้ก็ต่างเกิดคลื่นซัดโหมจิตใจเช่นกัน ในสายตาของพวกเขา สวี่ชิงและยอดเขาลำดับเจ็ดตอนนี้โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียว

เหมือนแสงเจิดจ้าทางหนึ่งที่สาดส่องมายังท้องฟ้าที่ค่อนข้างหมองหม่นในใจของลูกศิษย์ยอดเขาอื่นๆ

ในขณะเดียวกับที่ยามเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับอัจฉริยะแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ความคิดที่ว่าไม่อาจสู้ได้ชนะประเภทนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็มีความปรารถนาในยอดเขาลำดับเจ็ด ยิ่งเกิดความเคารพนับถือเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดสูงมาก

กระทั่งว่ามีข่าวลือบางอย่างแพร่ไปในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในตอนนี้ ข่าวลือกันว่าสถานการณ์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ในนั้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือจะมีตำแหน่งเจ้าสำนักเกิดขึ้น!

สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจนถึงตอนนี้มีเพียงเจ้ายอดเขา ไม่มีเจ้าสำนัก

ลูกศิษย์ของยอดเขาทั้งเจ็ดความจริงแล้วฟังคำสั่งจากเจ้ายอดเขาของตัวเอง สำหรับยอดเขาอื่นๆ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ยอมรับสักเท่าไร ต่างดูแลปกครองกันเอง มีเพียงเรื่องใหญ่เท่านั้นถึงจะร่วมมือกัน

ตอนนี้…การมาเยือนของพันธมิตรเจ็ดสำนักก็เหมือนค้อนยักษ์อันหนึ่งทุบยอดเขาต่างๆ ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจากทั่วทุกสารทิศ ความรู้สึกเหมือนพายุฝนตั้งเค้าแบบนั้น ทำให้ลูกศิษย์ทั้งหมดภายใต้ความกดดันจากโลกภายนอกจิตใจสั่นคลอน ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมา

แต่ความกดดันเช่นนี้ดูจากอีกชั้นหนึ่งแล้วก็เหมือนกับการตีเหล็ก ทำให้พวกไร้ประโยชน์ที่แฝงอยู่ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตหลายปีมานี้เหล่านั้นถูกสั่นคลอนจนเปิดเผยออกมาเอง

และเรื่องทั้งหมดนี้เมื่ออยู่ในสายตาของต่างเผ่าและพันธมิตรของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่มาเยือน พวกเขามองไปลึกกว่านั้น มองเห็นถึงการหยั่งรู้จิตใจมนุษย์ของบรรพจารย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตท่านนั้น

นี่คือยืมมือของพันธมิตรเจ็ดสำนักมาฝึกฝนสำนักของตัวเอง

พันธมิตรเจ็ดสำนักเห็นได้ชัดว่ามองจุดนี้ออกเช่นกัน ดังนั้นเรื่องที่อัจฉริยะสำนักต่างๆ ไม่ท้าประลองต่อก็ไม่ได้เร่งเหมือนอย่างก่อนๆ แต่คำสั่งโยกย้ายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตกลับส่งออกไปจากพันธมิตรเจ็ดสำนักไม่ขาดสาย

พวกเขาต้องการโยกย้ายเจ้ายอดเขาต่างๆ โดยเฉพาะยอดเขาลำดับเจ็ด

พวกเขายังเรียกองค์หญิงองค์ชายทั้งหมด โดยเฉพาะองค์หญิงองค์ชายและผู้อยู่ในอันดับรายชื่อของยอดเขาลำดับเจ็ดให้เดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ มอบหน้าที่ต่างๆ ให้

คำสั่งโยกย้ายพวกนี้ถูกเสี่ยเลี่ยนจื่อยื้อเอาไว้

แต่พันธมิตรเจ็ดสำนักครั้งนี้เหมือนจะเด็ดขาด คำสั่งแต่ละคำสั่งเข้มงวดขึ้น จนถึงสุดท้ายกระทั่งว่าในคำพูดมีเจตนาข่มขู่ คล้ายว่าหากไม่ฟังคำสั่ง พันธมิตรเจ็ดสำนักคิดจะใช้กำลังเข้าสยบ

โดยเฉพาะสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุดในพันธมิตรเจ็ดสำนักตอนนี้ บรรพจารย์ของพวกเขากระตุ้นของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนัก สร้างเป็นภัยคุกคามร้ายแรง

และในขณะเดียวกับที่การกระตุ้นของของวิเศษเวทต้องห้ามสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าพร้อมปะทุขึ้นทุกเมื่อ หุบเขาประกายวิญญาณสำนักบนแห่งยอดเขาลำดับสอง และสำนักสมบัติจำนงฟ้าสำนักบนแห่งยอดเขาลำดับหก ทั้งสองสำนักนี้ก็กระตุ้นของวิเศษเวทต้องห้ามเช่นกัน คล้ายว่ากำลังร่วมข่มขู่

ขณะเดียวกัน นอกจากคำสั่งโยกย้ายแล้ว ในขณะเดียวกับที่มีคำสั่งลงมาสั่งให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตส่งบรรณาการสินสงครามจากเผ่าสิงซากสมุทรมาครึ่งหนึ่งแล้ว พันธมิตรเจ็ดสำนักยังจะตั้งศูนย์กิจการนอกสำนักบนเกาะที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตยึดครองอีกด้วย

ศูนย์ใช้ชื่อว่ากิจการนอกสำนัก แต่ความจริงแล้วคือสอดส่องจับตามอง

ระดับบนจับตามองบรรพจารย์ ระดับล่างสอดส่องลูกศิษย์

เพียงชั่วพริบตา ทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เกิดความไม่มั่นคงอีกครั้ง

แต่ว่าสวี่ชิงไม่ได้สนใจ ด้านหนึ่งเขาไม่คิดว่าผู้นำระดับสูงของสำนักแต่ละคนที่ไต่ขึ้นมาจากการเลี้ยงกู่จะรับมือกับเรื่องนี้ไม่ได้

อีกด้านหนึ่งคือเรื่องอย่างระหว่างสำนักกับสำนักไม่อาจมองจากภายนอกอย่างเดียวได้ ภายใต้การเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์มหาศาลปานนี้ ใจคนคดเคี้ยว ยิ่งไม่ต้องมองถึงคำพูดภายนอกเลย

“พันธมิตรเจ็ดสำนักก็ใช่ว่าจะสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว” สวี่ชิงพึมพำเสียงเบา จากเรื่องของสำนักล่าสิ่งประหลาดเขาก็มองจุดนี้ออกแล้ว ความจริงนี่ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องสมเหตุผล

นอกจากนี้สมาธิของสวี่ชิงในตอนนี้ส่วนมากอยู่ที่ศึกษาค้นคว้าแมลงสีดำและการรวบตาข่ายกลุ่มนกเขาราตรี

และจากการประกาศใช้กฎห้ามออกจากเคหสถานยามค่ำคืนในช่วงนี้รวมกับการโจมตีที่ดำเนินต่อไป ความสามารถในการเคลื่อนไหวของกลุ่มนกเขาราตรีในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ถูกบีบคั้นกดดันจนถึงขีดสูงสุด

การรวบตาข่ายสุดท้ายในราตรีสามสี่วันหลังจากนั้นในที่สุดก็มาถึง

ฐานกบดานทั้งห้าของกลุ่มนกเขาราตรีในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตถูกสืบออกมาอย่างกระจ่างแจ้ง

คืนนี้สมาชิกของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต เหล่าสมาชิกผู้เยี่ยมยุทธ์ออกเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นดาบคมห้าเล่ม บุกสังหารไปยังฐานกบดานทั้งห้าของกลุ่มนกเขาราตรีพร้อมกัน

ในขณะเดียวกัน ลูกศิษย์กรมปราบพิฆาตมากกว่านั้นแยกย้ายกันไปในเมืองหลัก ในขณะที่ควบคุมให้การประกาศใช้กฎห้ามออกจากเคหสถานดำเนินไปอย่างเข้มงวดจนขีดสุด ภารกิจของพวกเขาคือจับกุมกลุ่มนกเขาราตรีที่หนีกระจัดกระจายไปหลังจากที่ฐานกบดานถูกทำลาย ทำการปิดคดี

นี่ก็คือแผนรวบตาข่ายกลุ่มนกเขาราตรีโดยรวม

จากลมราตรีที่พัดมา จากเงาของสวี่ชิงที่เดินออกมาจากกรมปราบพิฆาตแห่งท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก ในยามที่เงาร่างของลูกศิษย์กรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดหลายพันคนประเดี๋ยวเลือนรางประเดี๋ยวชัดเจนทยอยปรากฏขึ้นข้างหลังเขา เสียงของสวี่ชิงประดุจเป่าแตรบดขยี้กลุ่มนกเขาราตรีดังขึ้น

“กรมปราบพิฆาตออกล่า หลังจากคืนนี้ สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจะไม่มีกลุ่มนกเขาราตรีเหลือแม้เพียงคนเดียว!”

เสียงของสวี่ชิงฉายความเย็นเยือก ดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ

“ขอรับ!”

ลูกศิษย์กรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดหลายพันคนเอ่ยปากพร้อมกัน เสี้ยวขณะต่อมาสวี่ชิงอยู่ข้างหน้า เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว รองเจ้ากรมทั้งหลายข้างหลังนำกองของตัวเอง คนจำนวนหลายพันพุ่งตรงไปยังพื้นที่เป้าหมายในราตรีนี้

คืนนี้ลมแรง เมฆดำบดบังดวงจันทร์

ทุกที่ที่ลูกศิษย์กรมปราบพิฆาตผ่าน ร้านค้าทุกร้านล้วนปิดประตูสนิท ยิ่งมีโรงเตี๊ยมแต่ละแห่งที่เดิมเปิดตอนกลางคืนก็ต่างอกสั่นขวัญแขวน ช่วนนี้พวกเขาไม่สามารถทำการค้าได้ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่หลังจากปิดประตูแล้วก็แอบมองเงาร่างของสมาชิกกรมปราบพิฆาตผ่านไปอยู่ไกลๆ

ในสายลมยามค่ำคืน สวี่ชิงที่ห้อตะบึงอยู่ข้างหน้าสุด ผมยาวของเขาปลิวพริ้ว มองความมืด มองทุกอย่างรอบๆ สวี่ชิงพลันนึกถึงคืนที่สองที่ตนเพิ่งมาถึงสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในตอนนั้น

เขาในตอนนั้นเดินอยู่บนถนนอย่างระแวดระวัง มองสมาชิกกรมปราบพิฆาตแต่ละคนๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในใจมีทั้งความระแวดระวัง มีทั้งหวาดระแวง และมีความอิจฉา

และเขาในตอนนี้อยู่ข้างหน้า กรมปราบพิฆาตหลายพันคนข้างหลังยิ่งเป็นสมาชิกจากเขตอื่นๆ ในเมืองหลัก สมาชิกแต่ละกรมล้วนปฏิบัติภารกิจรวบตาข่ายภารกิจนี้

“สามปีแล้ว” สวี่ชิงพึมพำในใจ เร่งความเร็วยิ่งกว่าเดิม

และข้างหลังเขา สมาชิกกรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดทุกคน สายตาทุกคู่ที่มองมาล้วนแต่แฝงด้วยความฮึกเหิม นี่คือหลักการเอาตัวรอดในโลกโลกาวินาศ นี่คือความเคารพบูชาที่ผู้อ่อนแอมีต่อผู้แข็งแกร่ง

ในขณะเดียวกัน…รอยเท้าแต่ละก้าว ที่สวี่ชิงก้าวไป ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาไล่ตาม

เมื่อสามปีก่อนสวี่ชิงก็เหมือนกับพวกเขา เป็นเพียงแค่สมาชิกคนหนึ่ง

สามปีหลังจากนั้นสวี่ชิงเป็นเจ้ากรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดแล้ว!

ลมกลางคืนแรงขึ้นกว่าเดิม

เวลาไม่นานนัก สวี่ชิงมองคฤหาสถ์ใหญ่หลังหนึ่งไกลๆ ที่นี่มีพื้นที่ไม่เล็กเลย เคยเป็นกิจการแห่งหนึ่งของยอดเขาลำดับสี่ ภายหลังถูกคนซื้อไปทำเป็นหอนางโลม

แต่จากการประกาศใช้กฎห้ามออกจากเคหสถานยามค่ำคืน ที่นี่ก็ไม่ได้ทำการค้าแล้ว ค่อยๆ เงียบเหงา แสงไฟในนั้นก็หมองหม่น ในคืนนี้มีเพียงแค่แสงริบหรี่เท่านั้น

“ฆ่า!” สวี่ชิงเอ่ยอย่างราบเรียบ ชั่วขณะต่อมา สมาชิกกรมปราบพิฆาตหลายพันคนข้างหลังจิตสังหารปะทุ พุ่งตรงไปที่คฤหาสถ์แห่งนั้นพร้อมกัน เพียงพริบตาในนั้นก็ดังสนั่นหวั่นไหว เงาร่างของสมาชิกกลุ่มนกเขาราตรีแต่ละสายมาพร้อมด้วยความตื่นกลัว คิดจะแยกย้ายกันไป แต่สมาชิกกรมปราบพิฆาตที่ล้อมพวกเขาเอาไว้มีจำนวนมากกว่า

เสียงฆ่าสังหารดังห้องไปทั่วทันที กลิ่นคาวเลือดลอยมาตามลม

สวี่ชิงไม่ได้ลงมือแต่ยืนอยู่กลางอากาศ ดวงตาเย็นชาจ้องเพ่งทุกอย่าง ในขณะเดียวกันนี้ ข้อมูลทำลายล้างจากฐานกบดานกลุ่มนกเขาราตรีสามสี่แห่งอื่นๆ และจากกรมอื่นๆ ก็รายงานมายังสวี่ชิงทางนี้โดยทันที

“เจ้ากรมสวี่ ฐานกบดานที่สามรวบตาข่ายราบรื่น กำลังรวบรวมตัวเลข!”

“ฐานกบดานที่สองทุกอย่างราบรื่น สังหารหัวหน้าศัตรูระดับสร้างฐานได้ จำนวนพรรคพวกหลงเหลือรายงานต่อกองตรวจสอบแล้ว กำลังทำการล้างสังหารพื้นที่ทั้งหมด”

“ฐานกบดานที่ห้าปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์”

“ขอความช่วยเหลือ! ฐานกบดานที่สี่สงสัยว่ามีผู้บำเพ็ญสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าแห่งพันธมิตรเจ็ดสำนัก ยิ่งกว่านั้นคือมีกลุ่มนกเขาราตรีระดับสร้างฐานไฟชีวิตสามดวง!!”

แทบจะในขณะเดียวกับที่สวี่ชิงเห็นข้อมูลข้อความสุดท้ายนี้ ท้องฟ้าที่ไกลก็มีสัญญาณขอความช่วยเหลือของกรมปราบพิฆาตระเบิดขึ้น

สวี่ชิงเงยหน้าทันที ร่างเคลื่อนไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เพียงพริบตาความเร็วก็ปะทุขึ้น ทั้งคนทรงพลังไร้เทียมทาน พุ่งตรงไปยังพื้นที่ที่ส่งสัญญาณช่วยเหลือ ในตอนที่พุ่งไปข้างหน้า วิหคทองที่แผ่นหลังปรากฏออกมา ปีกทั้งสองสยาย หางเพลิงดุจเคราปลิวพริ้วดุจปุยนุ่น เงยหน้าคำราม ก่อเป็นทะเลเพลิง

มองไกลๆ สวี่ชิงที่อยู่บนท้องฟ้าในเสี้ยวขณะนี้คลุมผ้าคลุมไหล่เพลิง ประดุจเหยี่ยวโฉบเหยื่อ สายอัสนีบาตฟาดผ่า ไม่อาจต้านทานได้!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท