เอาจริงๆนะ เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่เนี่ย… ถ้าเขาไม่รู้จักเบเรต์เขาก็คงไม่กล้ามาขอคำแนะนำกันแบบนี้แน่ ต้องรีบนึกให้ออกแล้วสิ…
‘รู้ใช่ไหมครับว่าผมชื่ออะไร?’ ถ้าเกิดเขาถามแบบนี้ขึ้นมาล่ะก็บรรลัยแน่นวล
ผมคิดขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับพ่อหนุ่มผมแดงและฟังเรื่องราวของเขาอย่างมีนํ้าอดนํ้าทน
“จริงๆแล้วผมได้รับมอบหมายให้ดูแลร้านใหม่ตามคำขอของคุณพ่อน่ะครับ”
“เอ๊ะ ด้วยอายุเท่านี้น่ะเหรอ!?”
“ค ครับ ครอบครัวของผมเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารใหญ่ๆอยู่หลายแห่งเลย ด้วยเหตุนี้ก็เลย….”
“อย่างนี้นี่เอง สาเหตุมาจากครอบครัวงั้นเหรอ เพราะงั้นถึงได้เรียนเรื่องนี้มาตั้งแต่ ม.ต้นเลยสินะ”
“ตามนั้นเลยครับ”
(ผมรู้สึกว่ามันคล้ายกับเรื่องที่เอเลน่าเล่าชอบกลๆ แต่ว่าคงคิดไปเองแหละมั้ง คิดไปเองแหละ ใช่มั้ยนะ?)
ผมสีแดง ดวงตาสีม่วง ทางกายภาพแล้วมีความเชื่อมโยงกับเอเลน่าอยู่ แต่ถ้าจะบอกว่าหน้าเขาคล้ายกันมันก็พูดได้ไม่เต็มปาก
…..ถ้าหากพยายามค้นหาตัวตนของเขาระหว่างนี้ไปด้วย ผมคงรู้สึกแปลกๆแหง
ตอนนี้พักเรื่องตัวตนของเขาไว้ก่อนดีกว่า เพื่อที่การให้คำปรึกษานี้จะได้ไม่ติดขัด
“เอาล่ะ เกริ่นมาพอสมควรแล้ว เรามาเริ่มเข้าสู่เนื้อหาหลักของเราในวันนี้กันดีกว่า” TN:อาเร๊ ทำไมเสียงนายอาร์มมันลอยเข้ามาในหัวกันนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
“ครับ ขอรบกวนด้วยนะครับท่านเบเรต์ จะให้เริ่มจากตรงไหนก่อนดีเหรอครับ?”
“ถ้างั้นก็เริ่มจากเรื่องที่นายกำลังคิดคอนเซปร้านประเภทไหนอยู่ไหนหัวก่อนเลย ฉันจะได้เข้าใจภาพรวมได้มากขึ้น”
“เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาก็เริ่มพูด
“คอนเซปหลักของร้านอาหารที่ผมคิดคือ ร้านที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกประเภท ถ้าเป็นไปได้ก็อยากตั้งราคาที่เป็นมิตรให้ได้มากที่สุด และก็เรื่องการจัดการกับของเหลือในแต่ละวัน มีสามอย่างนี้ครับที่ผมกำลังติดปัญหาอยู่ ”
“อย่างนี้นี่เอง ถ้าเป็นเรื่องการรองรับลูกค้าทุกประเภทกับราคาอาหารฉันคงบอกอะไรไม่ค่อยได้เนื่องจากมันเป็นปัญหาทางด้านกลไกของตลาดและบุคลากรด้วย แต่ว่า เรื่องการจัดการของเหลือนี่มันยังไงนะ?”
นี่เป็นส่วนที่ผมติดใจมากที่สุด
คิ้วของเขาขมวดเป็นปมเพราะว่าเขาน่ารู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่ยากที่สุดเช่นกัน
“แน่นอนว่าอาหารย่อมมีวันหมดอายุ และก็ต้องมีของเหลือในแต่ละวันควบคู่กันไป แต่ร้านอาหารที่พ่อกับแม่ผมดูแลอยู่นั้นเลือกที่จะกำจัดมันทิ้งไปเฉยๆ ผมต้องการเปลี่ยนวิธีการแบบนั้นครับ”
“อธิบายวิธีแบบเป็นรูปธรรมให้หน่อยได้ไหม?”
“ถึงจะบอกไม่ได้ทุกอย่าง แต่ว่า ผมอยากจะให้พ่อครัวทำอาหารออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนวัตถุดิบมันจะเสียแล้วก็แจกจ่ายให้กับผู้ที่ต้องการรับอาหารฟรี ผมคิดอย่างนี้ครับ”
“อืมม แจกฟรีสินะ อย่างนี้นี่เอง…”
เขาพูดออกมาด้วยความรู้สึกแรงกล้า แต่ผมก็แสดงท่าทีไม่ได้เห็นด้วยกับเขา100% ถ้าถามว่าทำไมเหตุผลก็ง่ายๆ เพราะเขาใจดีเกินไป
“แน่นอนว่าแนวคิดแบบนั้นมันก็ดี สามารถช่วยคนที่อดยากได้ด้วย แต่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะแนะนำในฐานะร้านอาหารนักหรอกนะ”
“เอ๊ะ”
“ฉันจะพูดในมุมที่เป็นร้านอาหารนะ ข้อแรกเลย การทำแบบนั้นมันไม่ได้มีผลกระทบต่อยอดขาย ทางร้านจะไม่ได้ประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น กลับกันการทำแบบนั้นมันก็มีแต่จะเพิ่มภาระของแรงงานเสียเปล่าๆ ขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนี้ แต่มันไม่มีรางวัลอะไรให้กับความใจดีนั่นหรอกนะ แถมไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าจะมีแต่ชื่อเสียงดีๆสำหรับร้านอาหารที่แจกของฟรีให้กับคนยากไร้แบบนี้”
“….?”
เขาเอียงหัวเล็กน้อย ก็ไม่น่าแปลกหรอกที่เขาจะไม่รู้เรื่องพวกนี้เพราะเขายังเด็กอยู่
ตัวผมเองก็คงแนะนำเขาแบบนี้ไม่ได้แน่ ถ้าไม่ได้กลับชาติมาเกิด
“ถ้าคนที่นายให้อาหารฟรีไป เกิดไปสร้างข่าวลือแย่ๆประมาณว่า ‘ฉันกินอาหารของร้านนี้แล้วก็ท้องเสีย’ หรือ ‘อาหารร้านนี้มันมีพิษ อย่าไปกินนะ!’ แบบนี้ แล้วอย่างนี้นายจะรับผิดชอบผลที่ตามมายังไง? แน่นอนว่าเป้าหมายของคนที่ทำแบบนี้ก็คือเงินนี่แหละ มันง่ายที่จะสร้างข่าวลือ แต่มันไม่ง่ายนะที่จะแก้ข่าวลือน่ะ และถึงแม้ว่านายจะเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ แต่ว่าข่าวลือมันก็ยังคงเป็นข่าวลืออยู่อย่างนั้น ซึ่งแบบนั้นมันจะส่งผลเสียโดยตรงกับร้านของนายแน่ๆ”
“เอ๊ะ!! ”
“มีผู้คนมากมายที่ชอบใช้ประโยชน์จากความหวังดีของผู้อื่น บนใบโลกนี้น่ะไม่ได้มีแต่คนดีหรอกนะ พวกเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆน่ะเขารู้ดี ถึงแม้การกำจัดของเหลือทิ้งไปเลยมันจะดูสิ้นเปลือง แต่ว่านะ ถ้าร้านอาหารนั้นไปไม่รอดขึ้นมา แล้วพนักงานทุกชีวิตของร้านล่ะ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ”
“….”
“ที่ฉันพูดนี่มันอาจจะฟังดูโหดร้ายนะ แต่ว่าอุดมคติที่นายใฝ่ฝันน่ะมันอ่อนหัดเกินไป ไม่สิ หรือว่าที่นายตั้งใจเรียนขนาดนี้ก็เพื่อทำให้อุดมคตินั้นเป็นจริงอย่างนั้นรึเปล่า? ”
“…..ครับ”
เขาทำเสียงอ่อยและพยักหน้า ที่ผมพูดนี่คงไปจี้ใจดำเข้าสินะ
“แล้ว พอรู้แบบนี้แล้วนายเริ่มรู้สึกอยากจะทิ้งอุดมคตินั่นไปแล้วรึยังล่ะ? เห็นได้ชัดว่ามันจะมีปัญหาต่างๆตามมาอีกบานแน่”
“….ถ้าผมไปปรึกษากับคุณพ่อแล้วโดนปฏิเสธมา ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้นั่นล่ะครับ”
“งั้นเหรอ แต่ถ้านายยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะก็ นายก็โดนปฏิเสธอย่างแน่นอน”
“อะ…เรื่องนั้น ยังไม่ลองเลยจะรู้ได้ยังไงกันล่ะครับ! ”
ชั่วขณะนั้น ราวกับกลั้นอารมณ์ที่พุ่งพล่านไว้ไม่อยู่เขาก็ลุกพรวดขึ้น
ผมจ้องมองเขาเงียบๆ ราวกับไม่สะทกสะท้านเพื่อทำให้เขาใจเย็นลง จากนั้นเขาก็นั่งลงเงียบๆด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ขออภัยด้วยครับ….”
“อะฮ่าๆๆ เป็นครั้งแรกเลยรึเปล่านะ ที่นายแสดงท่าทีแบบนี้กับฉัน”
“อุ…”
บอกไว้ก่อนผมไม่ได้ขู่เขาหรืออะไรหรอกน้า ที่พูดนั่นเป็นคำชมต่างหาก จากใจจริงเลยด้วย
“ฉันรับรู้ได้แล้วล่ะ ความรู้สึกอันแรงกล้าของนายน่ะ นายอยากจะทำให้อุดมคตินี้เป็นจริงให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม งั้นสินะ?”
“ค -ครับ…..”
“ถ้าอย่างนั้น การที่นายยอมแพ้เพราะเพียงแค่ท่านพ่อของนายปฏิเสธมามันก็ยิ่งอ่อนหัดไปใหญ่เลย ถ้าเรื่องแค่นี้ก็ยังไม่สามารถยืนหยัดสู้ให้ถึงที่สุดได้ อุดมคติที่นายวาดฝันไว้มันก็ไม่มีทางเป็นจริงหรอก มันก็เหมือนกับนายเอาโคลนเน่าๆไปปาหน้าใส่พ่อของนายที่มอบความไว้วางใจให้ดูแลร้านใหม่นั่นแหละ ”
“ผ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้นนะ!!”
“ถ้างั้นนายพอใจกับการบริหารธุกิจแบบหุ่นเชิดของพ่อนายรึเปล่าล่ะ? นั่นมันเป็นร้านของนาย แล้วนายคิดว่ามันคุ้มค่าพอมั้ยที่จะเปิดร้านที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเอง? มันจะไปรอดรึเปล่า? ถ้าทุกอย่างยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ นายก็ต้องทิ้งวัตถุดิบอันมีค่าอย่างสูญเปล่าในทุกๆวัน นายจะสามารถยอมรับมันได้รึเปล่า? จะไม่นึกเสียใจทีหลังแน่นะ? ”
“น่ะ– นั่นมัน….”
เหตุผลที่ผมพูดบางทีมันอาจจะไม่ถูก100%ก็ได้ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าร้านอาหารของครอบครัวเขานั้นแท้จริงแล้วเป็นแบบไหนกันแน่
ถึงอย่างนั้น ในเมื่อนายมาขอคำแนะนำจากผม ผมก็จะให้คำแนะนำอย่างจริงจังและตรงไปตรงมาที่สุดเช่นกัน
“นายเป็นคนที่กล้าหาญมากเลยนะ ถึงแม้จะตัวคนเดียวก็ยังกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆที่รุมเร้ามาขนาดนี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนายควรเรียนรู้ที่จะพึ่งพาคนรอบตัวเอาไว้บ้างนะ หลังจากนี้มันจะยิ่งมีแต่กำแพงที่สูงขึ้นและก็สูงมากยิ่งขึ้นไปอีกแน่ ”
“….”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ก็คือการปรึกษากับพ่อแม่ของตัวเองที่บริหารธุรกิจเหมือนกันอยู่ แทนที่จะมัวเสียเวลาไปกับการหาคำแนะนำที่ตื้นเขินของคนอื่น สู้เอาเวลาไปขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงจะดีกว่า แผนการของนายมันก็ยังคงฝังรากอยู่ในใจนายตลอดไป เพราะงั้น ถ้าเป็นไปได้นายควรจะเริ่มลงมือให้ไวและใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่ามากที่สุด”
แค่พูดน่ะมันง่าย ผมรู้ การที่จะให้เขาไปพูดอะไรแบบนั้นมันต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก แต่ว่า การทำธุรกิจมันยิ่งต้องใช้ความกล้ามากกว่านั้นอีกแน่นอน
ถ้าเราหยุดที่เดินไปข้างหน้าในสถานการณ์แบบนี้ ครั้งต่อๆไปก็คงจะเป็นเช่นเดิม
“นายอายุยังน้อยยังไม่มีประสบการณ์ ฉันรู้ เพราะงั้นฉันถึงบอกว่าการปรึกษากับพ่อแม่และเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกท่านถึงเป็นทางเลือกที่ดีไง ถ้าขนาดพวกระดับสูงยังทำให้อุดมคติของตนเป็นจริงไม่ได้ ฉันว่าก็ไม่มีใครในโลกนี้ทำได้แล้วล่ะ”
“เอ๊ะ!! ”
“ใช่ไหมล่ะ? ”
“อะ ครับ! เป็นอย่างที่ท่านเบเรต์พูดไว้เลยครับ! ”
คำพูดสุดจะคมบาดใจของผม บางทีอาจจะโดนใจเขาอยู่เหมือนกัน ถึงได้ทำหน้าสดใสและนํ้าเสียงร่าเริงเสียขนาดนั้น
“ก็นะ แต่ถ้าเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับพ่อของนายก็คงโดนโกรธแหง เผลอๆอาจจะโกรธยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้อีกนะ ไหวรึเปล่า?”
“ครับ ไม่เป็นไรหรอก เพราะตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผมตอนนี้คือการที่ไม่สามารถทำตามอุดมคติของตัวเองได้”
ทันทีหลังจากที่เขาตอบกลับ เขาก็ยิ้มกว้างอย่างมั่นใจให้ผมราวกับได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ จงจำความอวดดีของนายนั่นไว้ให้ขึ้นใจล่ะ หลังจากนี้ก็พยายามเข้านะ”
“ครับ!! ”
ถึงแม้ว่าบรรยากาศจะตึงเครียด แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ต้องขอบคุณความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาเลย
(ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ของเขาแล้วล่ะนะ แต่ว่าถ้าเขากล้าเผชิญหน้าอย่างจริงจังมันจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ เพราะจริงๆแล้วการที่ได้รับมอบหมายงานใหญ่ขนาดนี้ให้กับเด็กอายุเท่านี้ พวกเขาคงจะมั่นใจในศักยภาพของลูกชายตัวเองมากเป็นแน่)
สุดท้ายแล้วผมก็ต้องปล่อยให้คนอื่นรับช่วงต่อ แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนี่นา นอกจากจะฝากให้พ่อแม่ของเขาจัดการ
“ผมจะกลับไปค้นคว้าต่อแล้วครับ จะต้องหาข้อมูลเพิ่มเพื่อที่จะได้ไปพูดโน้มน้าวกับคุณพ่อให้ได้”
“ดีแล้วล่ะ”
“ท่านเบเรต์ครับ บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่ลืมแน่นอน สักวันหนึ่งผมจะตอบแทนคุณอย่างแน่นอน”
“ครับๆ ไว้ถ้าเปิดร้านแล้วเดี๋ยวฉันจะแวะไปหานะ”
“ช่วยมาให้ได้เลยนะครับ! เรื่องในครั้งนี้ขอบคุณมากจริงๆนะครับ ”
เขาลุกขึ้นและโค้งคำนับอย่างสุภาพ พร้อมพูดว่า ‘ขอตัวก่อนนะครับ’ และเดินจากไป
“…..”
ด้วยเหตุนี้….การปรึกษาปัญหาชีวิตก็จบลงด้วยประการฉะนี้แล
(สรุปแล้วพ่อหนุ่มหน้ามนต์คนนี้เป็นใครกันนะ….สุดท้ายก็นึกไม่ออกตั้งแต่ต้นจนจบเลยแหะ เฮ้ออ ไว้ค่อยไปถามลูน่าเอาดีกว่า! )
ถ้าเขาค้นคว้ามาเยอะขนาดนั้นก็คงมาใช้ห้องสมุดหลายครั้งพอดูแหละ พูดอีกนัยนึงคือ ลูน่าที่อยู่ห้องสมุดตลอดเวลาก็น่าจะรู้จักเขาไม่มากก็น้อยล่ะนะ
นั่นคือแสงแห่งความหวังเดียวที่ผมจะได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
ผมเงยหน้าขึ้นและมุ่งหน้าตามหาลูน่าซึ่งเป็นจุดประสงค์เดิมที่มาห้องสมุดในวันนี้อยู่แล้ว..
“ห้องสมุดไม่ใช่สถานที่สำหรับปรึกษาปัญหาชีวิตนะคะ เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด”
“นะ!? ”
เธอโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงและทำท่าประสานมือไว้ข้างหลัง มองมาที่ผมด้วยดวงตาสีทองที่ดูง่วงนอนเช่นเคย
เจอกันครั้งแรกของวัน แต่กลับไม่มีคำทักทายเลย.. เมื่อวานก็เหมือนกัน
“ลุ -ลูน่า…หรือว่า ฟังอยู่เหรอ?”
“ถ้าพูดดังซะขนาดนั้น ต่อให้ไม่อยากฟังก็ยังได้ยินอยู่ดีนั่นแหละค่ะ ยิ่งห้องสมุดเงียบสงบแบบนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่”
“อะ อะฮ่าๆๆ ขอโทษนะที่ไปรบกวนเวลาอ่านหนังสือของเธอ”
“ถ้าสำนึกผิดแล้วก็ไม่เป็นไรค่ะ”
ความจริงข้อนั้นไม่สามารถโต้แย้งได้เลย
ผมเกาแก้มแกรกๆและพูดขอโทษเธอ และเธอก็ยกโทษให้แทบจะในทันที
“แล้ว คุณคิดว่าเขาจะไหวรึเปล่าคะ?”
“เขา? อ่อ ฉันว่ามันก็น่าจะไปได้สวยอยู่นะ? เพราะเขามีแววตาที่มุ่งมั่นมากเลย”
“….งั้นเหรอคะ”
ลูน่าพึมพำขณะหันไปทางที่ชายหนุ่มผมแดงเดินจากไป
“อ๊ะ”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นภาพอันน่าทึ่ง
ผมมองเห็นได้แว๊บๆเนื่องจากลูน่าบังเอิญเปลี่ยนท่าทางเล็กน้อย
ที่อยู่ในมือเป็นหนังสือเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจซึ่งซ่อนเอาไว้ข้างหลัง…
มีกระดาษโพสต์อิทหลายแผ่นติดตามหนังสือ…
(ร -หรือว่าลูน่าเองก็พยายามช่วยเขาเหมือนกัน—)
นี่มันไม่มีทางเป็นแค่เรื่องบังเอิญไปได้แน่
เมื่อผมเห็นความใจดีของเธอ ผมก็อดจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอไม่ได้…..