ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 80 เจ้าคือความหวังเดียวของยอดเขาโอสถ!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 80 เจ้าคือความหวังเดียวของยอดเขาโอสถ!

บทที่ 80 เจ้าคือความหวังเดียวของยอดเขาโอสถ!

มีนักกลั่นโอสถจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ใต้สนามประลองของผู่ตาน รอบบริเวณเต็มไปด้วยคนใส่ชุดคลุมสีเขียว

หลิงเยว่จึงเข้าใจสิ่งนี้ได้ทันที ท้ายที่สุดแล้วมีเพียงผู่ตานเท่านั้นที่เป็นผู้เข้าแข่งขันขอบเขตกลั่นลมปราณของยอดเขาโอสถ และแม้จะมีนักกลั่นโอสถห้าคนที่แข่งอยู่ในสนามประลองของพวกขอบเขตสร้างรากฐาน แต่การต่อสู้ของผู้ที่อยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานนั้นมีการเคลื่อนไหวเร็วเกินไปสำหรับคนที่อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณ ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่นี่แทน

นักกลั่นโอสถขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด ต่อสู้กับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบ

“ผู้ฝึกกระบี่อย่างท่านโหดร้ายเช่นนี้หมดเลยหรือเจ้าคะ?”

ในเวลานี้ผู่ตานมีบาดแผลเต็มร่างไปหมด เสื้อคลุมถูกฉีกจนลุ่ยจากกระบี่ และใบหน้าก็เละเทะเสียจนผู้คนไม่อาจมองตรง ๆ ได้

“ไม่…”

อย่างน้อยก็ไม่ใช่โม่จวินเจ๋อ เขาจะไม่ทำให้คู่ต่อสู้ทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็น

หลิงเยว่ถอนหายใจ เมื่อใดกันจะได้เห็นนักกลั่นโอสถทุบตีผู้บำเพ็ญคนอื่นเพียงฝ่ายเดียวบ้าง?

“ดูราวกับว่ายอดเขาโอสถของเราจะถูกทำลายล้างในครั้งนี้เสียแล้ว”

“ศิษย์พี่ศิษย์น้องในขอบเขตสร้างรากฐานก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก ปีนี้ยอดเขาโอสถของเราคงทำได้เพียงเท่านี้”

“ใครใช้ให้เราเป็นนักกลั่นโอสถที่อ่อนแอกันเล่า?”

สถานการณ์ที่น่าสังเวชของผู่ตานทำให้เหล่าศิษย์ด้านล่างสนามประลองหมดสิ้นความหวัง อย่างไรก็ตาม ในฐานะตัวแทนของยอดเขาโอสถและแขกประจำของภูเขาจองจำ ผู่ตานผู้ซึ่งต่อสู้เพื่อเข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยความแข็งแกร่งของขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด เขาจะไม่รีบยอมแพ้และจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด

มังกรไฟขนาดยักษ์ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และร่างสีแดงที่อยู่ในสภาพยับเยินก็ยืนอยู่บนหัวมังกรพร้อมถือกระบี่ยาวอยู่ในมือ

ดวงตาของหลิงเยว่เป็นประกายเมื่อได้เห็นฉากหนึ่งชายหนึ่งมังกรเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่ โดยหนึ่งกระบี่ถูกปกคลุมด้วยไฟอันเจิดจ้า อีกหนึ่งกระบี่ถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำมืด ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจมากเสียจนนางไม่มีเวลากินอาหารวิญญาณในมือด้วยซ้ำ

“ศิษย์พี่สี่ของเจ้ากำลังจะถูกทุบตีอีกครั้ง”

มองด้วยตาเนื้อมันอาจดูราวกับว่าสองคนบนสนามประลองนั้นทัดเทียมกัน แต่จริง ๆ แล้วผู่ตานนั้นเสียเปรียบกว่ามาก ด้วยการสู้ข้ามขั้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โม่จวินเจ๋อจึงส่ายหัว พลางกินเนื้อวัวทอดอีกชิ้นหนึ่ง

แน่นอนว่าทันทีที่โม่จวินเจ๋อพูดจบ ผู้ฝึกกระบี่ก็ใช้ความแข็งแกร่งตัดมังกรไฟออกเป็นส่วน ๆ ด้วยกระบี่ของนาง ผู่ตานเสียการทรงตัวทันทีเมื่อไม่มีหัวมังกรให้เหยียบ จนเกือบจะร่วงลงบนสนามประลอง แต่โชคดีที่เขากลับมาทรงตัวได้ในอากาศเสียก่อน

กระบี่ยาวของผู่ตานลุกเป็นไฟ และร่างสีแดงก็เริ่มโจมตีสวนกลับ

“ศิษย์พี่ผู่ สู้ สู้!”

“ผู้บำเพ็ญสายปราณสู้ระยะประชิดกับผู้ฝึกกระบี่ นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ?”

“เอาไฟเผานางให้ตายเสีย! หรือไม่ก็เลียนแบบผู้บำเพ็ญมารนั่นก็ได้! ทุบตีนางให้ตายด้วยต้นไม้อย่างไรเล่า!”

หลิงเยว่พูดไม่ออก

นี่ทุกคนกำลังพูดถึงนางใช่หรือไม่?

เหล่านักกลั่นโอสถที่รับชมรู้สึกลุ้นระทึกไปตาม ๆ กัน เมื่อเห็นว่าผู่ตานพยายามต่อสู้ และยังต้องรีบรุดไปข้างหน้าเพื่อโจมตีผู้ฝึกกระบี่หญิงคนนั้นด้วย

“ท่านคิดว่าศิษย์พี่สี่ของข้าจะชนะได้หรือไม่เจ้าคะ?”

โม่จวินเจ๋อไม่พยักหน้าหรือส่ายหัว มันก็ยากที่จะบอกได้

ตอนที่ผู่ตานกำลังจะถูกเตะลงจากสนามประลอง ปราณในอากาศรอบ ๆ กลับควบแน่นอย่างกะทันหัน ก่อนพวกมันจะพุ่งเข้าสู่ร่างของผู่ตานที่สะบักสะบอมอย่างบ้าคลั่ง

เขาบรรลุถึงระดับกลางระหว่างการต่อสู้จริง ๆ!

ผู้ฝึกกระบี่กัดฟันกรอด กระบี่ในมือของนางกลายเป็นพลังกระบี่สามสายพุ่งไปหาผู่ตาน นี่เป็นโอกาสเดียวของนางแล้ว!

“ตูม!”

กำแพงไฟหนาปิดกั้นพลังกระบี่ทั้งสามสายเกือบจะในทันที ร่างสีแดงที่นอนอยู่บนพื้นค่อย ๆ ลุกขึ้น โดยถือน่องไก่ทอดไว้ในมือและเริ่มกินอย่างสบายใจ

“มันจบแล้ว!”

ขณะที่มีน่องไก่คาอยู่ในปาก ผู่ตานก็ทำท่ามุทราอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มังกรไฟสามตัวจะปรากฏขึ้นและกลืนผู้ฝึกกระบี่แทบจะในทันที

“ศิษย์พี่สี่บรรลุไปอยู่ในขั้นเก้าแล้วหรือเจ้าคะ?” หลิงเยว่บีบข้อมือของโม่จวินเจ๋อไว้แน่น ขณะจ้องมองไปยังศิษย์พี่สี่ที่กำลังได้เปรียบอยู่บนสนามประลองอย่างตั้งใจ

“ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบและใกล้จะไปถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว” โม่จวินเจ๋อเหลือบมองมือที่จับข้อมือของเขาแล้วตอบด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง

สวรรค์! มันเป็นการบรรลุถึงสองขั้นครึ่งในคราวเดียว!

ต้องเช่นนี้สิศิษย์พี่สี่ของนาง!

หลิงเยว่รู้สึกภาคภูมิใจแทนผู่ตาน

“เอาเลยศิษย์พี่! โยนนางลงจากสนามประลองเลยเจ้าค่ะ!”

หลิงเยว่เอามือป้องปากเป็นโทรโข่งแล้วตะโกนเสียงดังท่ามกลางฝูงชน

พวกนักกลั่นโอสถที่รับชมอยู่ต่างก็บ้าคลั่งเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรร่างสีแดงที่อยู่บนสนามประลองก็คือความหวังเดียวสำหรับศิษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณของยอดเขาโอสถ!

“ศิษย์พี่ผู่ ท่านช่างเก่งกาจนัก!”

“กรี๊ด! ศิษย์พี่ผู่ท่านมีเสน่ห์เหลือเกิน ข้าตกหลุมรักท่านเสียแล้ว!”

“ฆ่า ๆ เอาเลย!”

เห็นได้ชัดว่าพวกนักกลั่นโอสถได้ใจเร็วเกินไป เหตุเพราะจู่ ๆ เงาสีดำที่แตกสลาย กลับทะลุผ่านกำแพงไฟ ก่อนจะกลายเป็นกระแสกระบี่แทงร่างสีแดงในทันที

ผู่ตานตอบสนองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสกัดกั้นการโจมตีที่รวดเร็วราวกับกระสุน ขณะเดียวกันมังกรไฟก็กลืนเงาสีดำอีกครั้ง

เงาดำถูกกระแทกออกไปจากสนามประลองด้วยมังกรไฟสามตัวฟาดหางของพวกมันพร้อมกัน

“หมายเลขเก้าสิบแปด… ชนะ!”

เสียงโห่ร้องดีใจดังจนหูอื้อ เหล่านักกลั่นโอสถพากันกรีดร้องอย่างตื่นเต้น ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปบนสนามประลอง เพื่อโยนร่างสีแดงสะบักสะบอมขึ้นไปในอากาศ

ผู่ตานที่ยังมีสติดีในตอนแรก หลังจากถูกโยนขึ้นไปบนอากาศเขาก็พลันอาเจียนออกมาเป็นเลือด ก่อนจะเป็นลมหมดสติไป

ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องดีใจก็หยุดลง จากนั้นยารักษาก็ถูกยัดเข้าเต็มปากของผู่ตานราวกับเป็นของไร้ค่า

หลิงเยว่ต้องการแทรกตัวเข้าไปหาศิษย์พี่สี่ที่น่าสงสาร แต่เด็กสาวก็ถูกเบียดออกไปในทันที นางไม่เห็นโม่จวินเจ๋ออีกต่อไปแล้ว ทว่าพริบตาต่อมาโม่จวินเจ๋อก็เหยียบกระบี่ของเขา จากนั้นจึงค่อยฉุดร่างของผู่ตานขึ้นแบกแล้วบินหายจากไป

โม่จวินเจ๋อลืมนางไปแล้วหรือ??

มือของหลิงเยว่ที่ยื่นออกไปในอากาศแข็งค้าง หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งกระบี่ก็บินวกกลับมาอีกครั้ง โม่จวินเจ๋อจับมือของนางและหายตัวไปบนท้องฟ้าด้วยกัน

“เหตุใดแผ่นหลังของเด็กสาวนั่นดูเหมือนหลิงเยว่นัก?”

“ข้าได้ยินมาว่านางมีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์อาโม่ ด้วยตอนนี้พวกเขาปรากฏตัวพร้อมกันและพาศิษย์พี่ผู่ออกไป นางน่าจะเป็นหลิงเยว่อย่างแน่นอน!”

“น่าจะใช่อาจารย์อาโม่นั่นแหละ กระบี่เหมันต์เร้นลับก็หน้าตาเช่นนั้น!”

พวกนักกลั่นโอสถรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าความหวังเดียวของยอดเขาโอสถถูกพาไปโดยสองคนนี้ แต่เมื่อลองย้อนคิดดูอีกครั้ง จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้บำเพ็ญมารใช้ประโยชน์จากอาการบาดเจ็บสาหัสของผู่ตานและฆ่าเขาเล่า?

ไม่ ๆ ๆ อาจารย์อาโม่ก็อยู่ด้วยเช่นนี้ หลิงเยว่คงไม่กล้าลงมือแน่!

หลิงเยว่ไม่กล้าจริง ๆ และนางก็ไม่มีโอกาส ‘ลงมือ’ ด้วย เมื่อประตูถูกปิดใส่หน้าเด็กสาว โดยโม่จวินเจ๋อพาผู่ตานเข้าไปในห้องเพื่อรักษา

“เป็นอย่างไรบ้าง สาหัสมากหรือไม่ มีโอสถเพียงพอหรือไม่ ข้ายังมีอีกเยอะนะเจ้าคะ!”

ประตูถูกเปิดต่อหน้าหลิงเยว่อีกครั้ง และครั้งนี้โม่จวินเจ๋อที่เปิดประตูจากด้านในก็หันหน้าไปทางผู่ตาน ซึ่งมีบาดแผลเต็มตัวจนไม่สามารถขยับได้

จะดีกว่าหากเขาไปหาคนที่เหมาะสมกว่ามารักษา ผู่ตานอาจจะตายได้จริง ๆ หากเขาลงมือรักษาเอง

“ข้าป้อนโอสถฟื้นฟูและโอสถห้ามเลือดให้เขาแล้ว เขาจะยังไม่ตายในเร็ว ๆ นี้แน่”

โม่จวินเจ๋อตั้งใจจะปิดประตูแล้วหันกลับไป ก่อนจะพบว่าผู้อาวุโสใหญ่เดินช้า ๆ เข้ามาโดยเอามือไพล่หลัง

หลิงเยว่สังเกตเห็นเช่นกัน “ท่านผู้อาวุโสใหญ่! โปรดช่วยดูศิษย์พี่สี่ของข้าทีเจ้าค่ะ!”

โดยปกติแล้วศิษย์พี่ใหญ่จะเป็นคนดูแลอาการบาดเจ็บ แต่วันนี้ไม่เห็นหลงหว่านโหรวแม้แต่เงาเสียด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้ว่าหลงหว่านโหรวไปอยู่ที่ใด

ทันทีที่ผู้อาวุโสใหญ่มาถึง หลิงเยว่ก็ดึงเขาเข้าไปในหอกลั่นโอสถ ราวกับว่าถ้าเขาเดินช้าลงอีกหน่อย โอสถจะเย็นลงทันที

“เขายังไม่ตายเสียหน่อย!”

“แต่เขากำลังจะตายนี่เจ้าคะ!” หลิงเยว่พูดขณะกำลังเข้าไป แต่ถูกคนข้างในผลักออก หนำซ้ำยังมีคนข้างนอกดึงไว้อีก ทำให้ครั้งนี้นางถูกประตูปิดลงใส่หน้าอีกครั้ง

อะไรกัน! นางแค่อยากเข้าไปดูว่าตอนนี้ศิษย์พี่สี่ของนางบาดเจ็บขนาดไหนก็เท่านั้นเอง!

เหตุใดพวกเขาทั้งสองจึงมาห้ามนางเช่นนี้?

หลิงเยว่รู้สึกหดหู่ใจ

“มีความแตกต่างระหว่างชายหญิง”

“ครั้งที่แล้วก็เป็นข้าที่ช่วยพี่รองพันแผล ท่านยังไม่พูดเลยว่าชายหญิงมีความแตกต่างกัน?”

ตอนนั้นที่หลิงเยว่พันแผล ว่านอวี้เฟิงยังสวมเพียงกางเกงตัวในเท่านั้น

โม่จวินเจ๋อเงียบไป

คราวนี้ผู่ตานได้รับบาดเจ็บมากจนไม่สามารถใส่กระทั่งกางเกงตัวในได้ ดังนั้นหลิงเยว่จึงไม่เหมาะที่จะเข้าไปนัก

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า… ครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บตรงนั้นหรือเจ้าคะ!?”

ดวงตาของหลิงเยว่เบิกกว้าง รู้สึกว่าความจริงถูกเปิดเผยแก่นางแล้ว

โม่จวินเจ๋อ “…”

“ไม่ใช่”

“ท่านตรวจสอบมันด้วยหรือเจ้าคะ?”

การจับจ้องของหลิงเยว่ที่ราวกับว่า ‘ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้’ ทำให้โม่จวินเจ๋อพูดไม่ออก

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท