ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 15 ความเจ็บป่วยมาเยือน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 15 ความเจ็บป่วยมาเยือน

ลั่วเซิงเดินผ่านไปอย่างฉับไว ปล่อยให้พี่น้องทั้งสี่ยืนมองหน้ากันแล้วความอึดอัดก็ปรากฏ

คุณชายรองเซิ่งเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ฟังสิ่งที่นังหนูนั่นพูดสิ ขอบคุณพี่ชายและน้องชายมากที่มาส่งน้องชายข้ากลับเรือน พวกเราสนิทสนมกับน้องชายมากกว่านางชัดๆ คำพูดนี้ฟังแล้วขัดหูจริงๆ”

คุณชายใหญ่เซิ่งเหลือบมองคุณชายรองเซิ่งย่างไม่เห็นด้วย “น้องหญิงพูดไม่ผิดนะ น้องรองอย่าจู้จี้จุกจิกมากนักเลย”

คุณชายรองเซิ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มลุ่มลึก “พี่ใหญ่ เมื่อก่อนตอนเรียกน้องลั่ว พี่จะเรียกแซ่ของนางด้วย ตอนนี้ทำไมถึงเรียกน้องหญิงได้อย่างสนิทสนมเช่นนี้เล่า”

ใบหน้าของคุณชายรองเซิ่งขรึมลง “น้องรองอย่าพูดจาเหลวไหล กลับเป็นเจ้าที่ควรขอโทษน้องหญิงนะ”

“ขอโทษเรื่องอะไร” คุณชายรองเซิ่งสะบัดพัดพับ เพื่อปกปิดความไม่สบายใจ

คุณชายสามเซิ่งกำชับอย่างหวังดี “พี่รอง ก่อนหน้านี้พี่เข้าใจผิดคิดว่าน้องลั่วทำร้ายน้องหญิงรองอย่างไรเล่า”

เมื่อเอ่ยอ้างถึงเซิ่งจยาหลาน บรรยากาศก็อึมครึมลงทันที

คุณชายสี่เซิ่งถามเสียงเบา “พี่ใหญ่คิดว่าท่านย่าจะลงโทษน้องหญิงรองอย่างไรหรือ”

สมาชิกในสกุลเซิ่งนั้นเรียบง่ายและสมัครสมานสามัคคี แม้พี่น้องทั้งสี่จะไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่เซิ่งจยาหลานมากนัก แต่ก็มีความรักและความห่วงใยไม่น้อย

คุณชายใหญ่เซิ่งนิ่งเงียบไปพักใหญ่และลูบศีรษะของน้องเล็ก “เรื่องของผู้ใหญ่ พวกเราอย่ายุ่งเลย”

ขณะที่เขาพูด สายตาของเขากวาดมองเหล่าน้องชายด้วยดวงตาที่ลุ่มลึกและเอ่ยอย่างจริงจัง “น้องชายทั้งสามดูเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่าง อย่าทำผิดซ้ำรอยน้องหญิงรองเป็นอันขาด”

“ขอรับ” คนทั้งสามขานตอบพร้อมกัน

คุณชายใหญ่เซิ่งสังเกตเห็นว่าบ่าวรับใช้ในเรือนลั่วเฉินมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงกำมือป้องปากแล้วไอเสียงเบา “ไปกันเถอะ”

หากพวกเขาอยู่ต่อ อีกฝ่ายคงเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาอาลัยอาวรณ์น้องลั่ว

สำหรับคุณชายใหญ่เซิ่งแล้ว การแสดงของลั่วเซิงในวันนี้ ทำให้เขารู้สึกดีกับนางมากขึ้น และเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางใหม่ แต่ไม่ได้อยากเป็นลูกเขยหลานนอกแต่อย่างใด

สี่พี่น้องจากไปอย่างรวดเร็ว บ่าวที่เฝ้าเรือนครุ่นคิดในใจ วันนี้คุณชายทั้งสี่ดูแปลกไปจากเดิม หรือเป็นเพราะพบกับคุณหนูหลานนอกเข้า

หากพูดกันตามตรง แม้คุณหนูหลานนอกจะดูโหดเหี้ยมอำมหิต แต่กลับมีรูปลักษณ์ที่แสนงดงาม

บ่าวมองไปทางประตูเรือนและครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของยา ซึ่งเป็นกลิ่นที่ลั่วเฉินคุ้นเคย

“คุณชาย คุณหนูหลานนอกมาขอรับ”

เมื่อลั่วเฉินได้ยินบ่าวรับใช้รายงานก็ขมวดคิ้วทันที

บอกแล้วว่าลั่วเซิงไม่ต้องมาส่งแล้วนางจะมาทำไม

เมื่อเห็นว่าลั่วเฉินนิ่งเงียบไปพักใหญ่ บ่าวจึงเอ่ยว่า “ให้ข้าเชิญคุณหนูหลานนอกกลับดีหรือไม่ขอรับ”

ลั่วเฉินกลอกตาใส่บ่าวและเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ใครให้เจ้าคิดเองเออเอง เชิญนางเข้ามา”

บ่าวอุตส่าห์อยากประจบประแจงจึงทำได้เพียงขานตอบด้วยความขมขื่นและรีบให้คนไปเชิญเข้ามา

ม่านไม้ไผ่โบกสะบัดเล็กน้อย ลั่วเซิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับหงโต้ว

“ท่านมาทำไม” ลั่วเฉินถามออกมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “มาดูว่าเจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง”

ลั่วเฉินหันหน้าหนี “ท่านไม่ใช่หมอสักหน่อย มาแล้วจะมีประโยชน์อะไร”

เมื่อเห็นลั่วเฉินดูมีชีวิตชีวา ลั่วเซิงจึงไม่ได้กะอยู่นาน “ถ้าอย่างนั้น เจ้าพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่

ลั่วเฉินมุมปากกระตุก

นี่คือท่าทางของคนที่มาเยี่ยมคนป่วยอย่างนั้นหรือ ไม่เห็นความจริงใจเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นลั่วเซิงหันหลังกลับและเดินไปทางม่านไม้ไผ่ ลั่วเฉินจึงตะโกนว่า “ช้าก่อน”

ลั่วเซิงหยุดเดิน “น้องเล็กมีอะไรหรือ”

คำว่า ‘น้องเล็ก’ ทำให้ลั่วเฉินรู้สึกไม่คุ้นชิน เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยกับหงโต้วและบ่าวที่รออยู่ในห้องว่า “พวกเจ้าทั้งสองถอยออกไปก่อน”

หงโต้วเหลือบมองลั่วเซิง เห็นนางพยักหน้าเล็กน้อยจึงหันหลังเดินจากไป โดยไม่ลืมลากบ่าวออกไปด้วย “ไม่ได้ยินที่นายหญิงสั่งหรือ หูตาให้มันไวหน่อย”

การตอบสนองที่เชื่องช้าเพียงนี้ ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้คุณหนู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแย่งชิงตำแหน่งเดินเที่ยวตลาด ซึ่งเมืองจินซาแห่งนี้ไม่มีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อเอาเสียเลย

สาวใช้ยืนอยู่ที่เรือนระเบียงครุ่นคิดอย่างเศร้าตรม นางโหยหาความเจริญของเมืองหลวงนัก

ภายในห้อง หลงเหลือเพียงสองพี่น้องที่มองหน้ากันกันอยู่

ลั่วเซิงไม่อยากเสียเวลาไปกับการคาดเดาจึงเอ่ยถามตรงประเด็น “น้องเล็กมีอะไรจะพูดกับข้าหรือไม่”

ลั่วเฉินที่พิงอยู่ข้างฉากกั้นห้องนิ่งเงียบ

ลั่วเซิงไม่เร่งเร้าเขาและรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากอย่างเงียบๆ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ ลั่วเฉินก็ถามออกมาว่า “ท่านว่ายน้ำเป็นใช่หรือไม่”

ลั่วเซิงเลิกคิ้วโดยไม่ตั้งใจ

คำถามของลั่วเฉินค่อนข้างน่าสนใจ

ทันใดนั้น ลั่วเฉินก็เขยิบเข้ามาใกล้ ดวงตาแฝงไปด้วยการหยั่งเชิง “ตอนนั้นข้าจมลงไปในทะเลสาบ ท่านผลักข้าไปที่หงโต้ว ทำให้ไม่เหลือใครช่วยท่าน แต่ท่านกลับปลอดภัยดี…”

เมื่อฟังลั่วเฉินชี้ให้เห็นจุดน่าสงสัยอย่างเงียบๆ ลั่วเซิงก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่

น้องชายของคุณหนูลั่วฉลาดไม่เบา และยิ่งไปกว่านั้นคือขณะเผชิญหน้ากับพวกฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกลับไม่แสดงความรู้สึกอันใดต่อหน้าผู้อื่น

ต้องทราบก่อนว่าเขาอายุเพียงสิบสามเท่านั้น

“ท่านหัวเราะอะไร”

“ข้ามีความสุขน่ะ” เมื่อเห็นสายตาอันสงสัยของเด็กหนุ่ม ริมฝีปากของลั่วเซิงก็โค้งขึ้นเล็กน้อย “ดีใจที่น้องเล็กไม่เห็นคนอื่นดีกว่าญาติพี่น้อง”

ลั่วเฉินชักสีหน้า “ข้าแค่ไม่อยากให้เรื่องมันซับซ้อน ข้าเห็นเซิ่งจยาหลานผลักท่านลงทะเลสาบกับตาของตัวเอง ไม่ว่าท่านว่ายน้ำเป็นหรือไม่ ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่นางจงใจทำร้ายท่านได้ หากข้าพูดมาก อาจมีผลต่อความคิดของพวกท่านยาย”

ลั่วเซิงกะพริบตา “ถ้าเช่นนั้น แล้วน้องเล็กโมโหเรื่องอะไร”

เมื่อลั่วเฉินถูกจี้ถาม เขาตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อท่านว่ายน้ำเป็น จะทำท่าทางเหมือนจะจมน้ำตายไปทำไม ไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องจริงหรอกหรือ”

ใครจะเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นกัน ลั่วเซิงดูไม่เหมือนกุลสตรีสูงศักดิ์เอาเสียเลย!

ลั่วเฉินยิ่งคิดยิ่งโมโห โดยเฉพาะเมื่อเขานึกถึงการกระทำที่ตนกระโดดลงไปช่วยนางก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่เขลาสิ้นดี

“พอแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่” ลั่วเซิงลูบศีรษะลั่วเฉินแล้วเปิดประตูออกไปอย่างใจเย็น

ลั่วเฉิน “…” นางลูบศีรษะเขาอีกแล้ว!

“ฝูซงงง” ลั่วเฉินตะโกนเรียก

บ่าวที่ไม่ถูกชะตากับหงโต้วรีบวิ่งเข้ามาและเอ่ยว่า “คุณชายมีอะไรให้รับใช้หรือขอรับ”

ลั่วเฉินใบหน้ามืดมน “พรุ่งนี้หากคุณหนูหลานนอกมาอีกก็เอาไม้กวาดไล่กลับไป!”

ฝูซงขานรับ แต่หัวใจกลับเต้นแรง

เมื่อครู่นี้ คุณชายยังรำคาญที่เขาคิดเองเออเองอยู่เลย บัดนี้เหตุใดถึงเปลี่ยนใจอีกแล้ว

หากพรุ่งนี้เขาไล่คุณหนูหลานนอกออกไปจริงๆ คนที่ถูกไล่ออกคงเป็นเขาแน่

ช่างเถอะ ปัญหาของวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

เพียงคืนเดียว ในจวนสกุลเซิ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย คุณหนูรองหายไปแล้ว

ข่าวลือหนึ่งที่แพร่สะพัดในหมู่บ่าวรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องวงในคือ คุณหนูหลานนอกผลักคุณหนูรองลงทะเลสาบยังไม่พอ ยังข่มขู่ว่าจะไปฟ้องแม่ทัพใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางเลือกจึงต้องส่งคุณหนูรองไปหลบซ่อนตัว

จุ๊ๆ มีเหตุผลแบบนี้เสียที่ไหน คุณหนูหลานนอกก่อเรื่องใหญ่ในเมืองหลวงจึงถูกส่งมาหลบซ่อนตัวที่จวนท่านตา แต่สุดท้ายกลับไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ยังบีบบังคับให้คุณหนูรองต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นอีก

หงโต้วดึงแขนเสื้อขึ้น เงยหน้าดื่มชาเย็นสงบสติอารมณ์

“เป็นอะไรหรือ”

“ท่านไม่รู้หรอกว่าบ่าวรับใช้พวกนี้พูดจาเกินไป บ่าวเพิ่งทุบตีสาวใช้แม่เฒ่าที่เฝ้าประตูสองมาเอง” พูดถึงตรงนี้ หงโต้วก็เหลือบมองลั่วเซิงอย่างรู้สึกผิด

คุณหนูค่อนข้างแตกต่างจากในอดีต คงไม่โกรธนางใช่หรือไม่

“ชนะหรือไม่”

หงโต้วลืมความรู้สึกผิดไปชั่วขณะและตบหน้าอกอย่างแรง “แน่นอน”

ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย “ชนะก็ดีแล้ว คุณชายเล็กเป็นอย่างไรบ้าง”

เมื่อเอ่ยถึงลั่วเฉิน หงโต้วก็คิ้วขมวด “บ่าวไปถามมาแล้ว กลางดึกคุณชายตัวร้อน ขณะนี้หมอก็ยังอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท