ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 19 โจ๊กเทพเซียน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 19 โจ๊กเทพเซียน

หมอหวังโค้งตัวลงต่ำ “คุณหนูวางใจได้ นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ”

หมอหลี่ตกใจ ไม่เข้าใจว่าหมอหวังเหตุใดถึงนอบน้อมกับลั่วเซิงเช่นนี้ แต่ระหว่างที่เขาเลื่อมใสหมอหวังที่ปรุงยาลดไข้สำเร็จอย่างบ้าคลั่งก็โค้งตัวลงต่ำตาม

ฮูหยินใหญ่และคนอื่นๆ “…”

ปกติไม่เคยเห็นหมอเหล่านี้มีท่าทีที่นอบน้อมเช่นนี้มาก่อนเลย

หมอ โดยเฉพาะหมอมีชื่อเสียงบางคนจะมีความหยิ่งทะนง เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลสูงศักดิ์จะไม่นอบน้อมเช่นนี้…นี่ดูเหมือนจะออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ

ในขณะที่ทุกคนตกตะลึง ลั่วเซิงกลับเดินจากไปพร้อมกับหงโต้ว

ฮูหยินใหญ่สั่งให้ซวงเยี่ยไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งว่าลั่วเฉินไข้ลดแล้ว ท่านจะได้โล่งใจแล้วเอ่ยกับพวกคุณชายใหญ่เซิ่งว่า “พวกเจ้ากลับกันไปก่อนเถิด อย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของน้องชาย”

“ขอรับ”

พวกคุณชายใหญ่เซิ่งเดินออกจากเรือน มองเห็นว่าลั่วเซิงสองนายบ่าวเดินอยู่ด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน ในใจก็สับสนขึ้นมา

เซิ่งจยาอวี้ยกชายกระโปรงวิ่งตาม “ช้าก่อน!”

ลั่วเซิงหยุดเดินและหันศีรษะกลับมา

เซิ่งจยาอวี้มองสาวน้อยในชุดกระโปรแดงที่มีแววตานิ่งสงบแล้วพูดไม่ออก

ณ เวลานี้ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมองของนางทันที นี่ใช่ลั่วเซิงที่นางรู้จักหรือไม่นะ

บางที…นางอาจไม่รู้จักพี่สาวหลานนอกที่มาจากเมืองหลวงเลยก็ได้

“น้องหญิงเรียกข้าทำไมหรือ” ลั่วเซิงเอ่ยถามเสียงราบเรียบ

ลั่วเซิงไม่ใช่ว่าจะมองไม่ออกถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของเซิ่งจยาอวี้ แค่นางไม่ใส่ใจ

สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซิ่งจยาหลานหรือเซิ่งจยาอวี้ก็ไม่ต่างกันมาก คนหนึ่งจ้องทำร้ายคนอื่นจนโดนเอาคืนถึงตาย อีกคนชอบชวนทะเลาะ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

แต่หากการชวนทะเลาะกลายเป็นทำร้ายคน นางก็พร้อมเอาคืนให้ถึงตาย

ส่วนอารมณ์ความรู้สึกอื่นก็ไม่ปรากฏให้เห็น

ลั่วเซิงคิดเช่นนี้พลางเหลือบมองประตูเรือนของลั่วเฉินที่อยู่ไกลออกไป

สำหรับเมืองจินซา นางเป็นเพียงแขก หนึ่งเดียวที่อาลัยคือลั่วเฉิน

นี่คือสิ่งที่นางติดค้างคุณหนูลั่ว

“ยานั่น…” เซิ่งจยาอวี้เอ่ยปาก โดยลืมไปชั่วขณะว่าจะถามอะไร

“ลดไข้ได้” ลั่วเซิงเอ่ยรวบรัดชัดเจนและเดินผ่านเซิ่งจยาอวี้ไป

เซิ่งจยาอวี้ตกตะลึงชั่วครู่ ถึงกระทืบเท้าเอ่ยเสียงเบา “ใครจะถามเรื่องนี้เล่า!”

“น้องหญิงใหญ่เป็นอะไรไปหรือ” คุณชายใหญ่เซิ่งที่ตามมาเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล

“ไม่มีอะไร ข้ากลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ”

เซิ่งจยาอวี้เดินไกลออกไปหลายจั้ง ได้ยินเสียงกระซิบของคุณชายสี่เซิ่งจากทางด้านหลัง “ทำไมรู้สึกว่าตอนพี่หญิงใหญ่พบพี่สาว ถึงชอบอารมณ์เสียเลยเล่า”

เซิ่งจยาอวี้เนื้อตัวแข็งทื่อ อยากวิ่งเข้าไปหยิกแก้มของน้องชาย แต่เมื่อนึกถึงความคิดเห็นนี้ก็โกรธจนกลืนน้ำลายและจากไปอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ถึงเรือน ทางฮูหยินใหญ่ก็ให้คนมาเชิญเซิ่งจยาอวี้

“ท่านแม่ ท่านเรียกหาข้าทำไมหรือ”

แม่ลูกไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม ฮูหยินใหญ่ให้ซวงเยี่ยอยู่รับใช้เพียงคนเดียวจากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “จยาอวี้ เมื่อวานนี้เจ้าเห็นกับตาตัวเองว่าพี่สาวของเจ้าซื้อยาจากร้านยาจี้ซื่อถังใช่หรือไม่”

“ลูกเห็นกับตาของตัวเองจริงๆ เจ้าค่ะ” เซิ่งจยาอวี้ไม่พอใจกับคำพูดของคุณชายสี่เซิ่งอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดที่เคลือบแคลงใจของท่านแม่ก็ยิ่งอารมรณ์ร้อนขึ้นมา

ฮูหยินใหญ่ตบแขนปลอบเซิ่งจยาอวี้ “แม่ไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้า แค่มีบางอย่างคิดไม่ตก”

“ท่านคิดเรื่องอะไรไม่ตกหรือเจ้าคะ”

“ตำรับยานั่น หมอหวังมอบให้นางหรือ”

เซิ่งจยาอวี้ตอบโดยไม่คิด “แน่นอนสิเจ้าคะ นางไม่ได้บอกเองหรือว่าหมอหวังเป็นคนปรุงยา”

ฮูหยินใหญ่ยกถ้วยน้ำชาบนโต๊ะน้ำชาแล้วใช้นิ้วถูถ้วยเบาๆ “นึกไม่ถึงว่าหมอหวังจะปรุงยาวิเศษออกมาได้ แต่เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

ยาวิเศษเช่นนี้เพียงพอแล้วสำหรับทำให้หมอคนหนึ่งเป็นที่รู้จัก และช่วยเหลือคนป่วยได้จำนวนนับไม่ถ้วน หมอหวังไม่มีเหตุผลที่จะต้องเก็บมันเอาไว้ไม่นำมาใช้

“บางทีอาจ อาจเพิ่งปรุงสำเร็จ…น้องเล็กโชคดีได้ใช้พอดี”

ฮูหยินใหญ่ส่ายศีรษะ “ต่อให้บังเอิญเพียงใด หมอหวังที่อยู่ประจำร้านยาชุนซิ่งจะไปซื้อยาที่ร้านจี้ซื่อถังได้อย่างไร อีกทั้งยังให้พี่สาวเจ้าไปซื้อเองด้วย”

เซิ่งจยาอวี้ถูกถามจนนิ่งไป

นางนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้นางเรียกลั่วเซิงโดยไม่รู้ตัว ที่แท้ก็เพราะรู้สึกว่าตรงนี้ผิดปกติ!

หลังจากครุ่นคิด เซิ่งจยาอวี้ก็เอ่ยการคาดเดาของตนออกมา “ท่านแม่…หรือว่า…ตำรับยานั่นเป็นของลั่วเซิง…”

ฮูหยินใหญ่จ้องบุตรสาวอย่างลุ่มลึกและพยักหน้า “เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอย่างนั้น จยาอวี้ พี่สาวของเจ้าเป็นลูกสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เห็นมามากย่อมรอบรู้เป็นธรรมดา เกรงว่าของที่นางไม่สนใจ กลับเป็นของล้ำค่าของคนอื่น จากนี้ไป เจ้าอย่าดูแคลนนาง มิเช่นนั้นจะขายหน้าเอาได้”

เซิ่งจยาอวี้พยักหน้า “ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว”

ลั่วเซิงกลับถึงเรือน สั่งให้หงโต้วคุมชิงหงกับหันชุ่ยทำความสะอาดห้องครัวแล้วเริ่มเคี่ยวโจ๊ก

ใส่ข้าวเหนียวและขิงลงไปเคี่ยวในหม้อดิน รอน้ำเดือดค่อยใส่ต้นหอมและรอให้ข้าวเละค่อยเติมน้ำส้มสายชู

กลิ่นแปลกๆ สายหนึ่งโชยออกมา

หงโต้วจ้องลั่วเซิงเคี่ยวโจ๊กกับมือจึงค่อนข้างตกใจ “คุณหนู ท่านกำลังต้มโจ๊กหรือเจ้าคะ”

ไม่ใช่ต้มยาพิษใช่หรือไม่

ปลายจมูกสัมผัสกลิ่นแปลกประหลาด หงโต้วตกตะลึง “กินได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ลั่วเซิงจ้องนางและเอ่ยเสียงเบา “ต้มให้น้องชายข้ากิน”

หงโต้วเอามือทาบอกด้วยความโล่งใจ

ขอบคุณฟ้าดินที่คุณหนูมีน้องชาย!

เมื่อนึกถึงลั่วเฉินที่นอนป่วยอยู่บนเตียง สาวใช้เองก็ทนเห็นเขากินไม่ได้ “คุณหนู ท่านใส่ทั้งขิงและต้นหอม ยังเติมน้ำส้มสายชูอีก รสชาติคงไม่ค่อยดีนัก…”

ลั่วเซิงขมวดคิ้ว

การเติมน้ำส้มสายชูดูค่อนข้างแปลก…

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นางก็อธิบายอย่างนุ่มนวล “รสชาติอาจไม่ดี แต่โจ๊กนี้มีสรรพคุณให้เหงื่อออกและขับไล่ความเย็น เหมาะกับเขา”

ขณะสองนายบ่าวพูดคุยกัน โจ๊กก็เคี่ยวเสร็จ

ลั่วเซิงสั่งหงโต้ว “เอาโจ๊กเทพเซียนไปให้คุณชายเล็ก”

“โจ๊กเทพเซียนรึเจ้าคะ” หงโต้วดูมึนงง

ลั่วเซิงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ชื่อเรียกของโจ๊กนี้น่ะ”

หงโต้วสีหน้าสับสน เหลือบมองกล่องอาหารและชื่นชมว่า “เหมาะมากเลยเจ้าค่ะ”

ก็คงมีเพียงเทพเซียนที่ไม่รังเกียจกระมัง

แต่นี่คุณหนูของพวกนางเคี่ยวเองกับมือเลยนะ!

หงโต้วถือกล่องอาหารไปอย่างสง่าผ่าเผย

ลั่วเซิงไม่ได้พักผ่อน แต่กลับเลือกหม้อดินขนาดกลาง เตรียมเคี่ยวโจ๊กเนื้อ

เคี่ยวโจ๊กใช้น้ำบ่อดีที่สุดและใช้ไฟเบาเคี่ยวทั้งคืน พรุ่งนี้เช้าก็ยกไปให้ลั่วเฉินได้พอดี

ลั่วเซิงกำลังเตรียมส่วนผสม ตั้งแต่ตื่นนอนก็วุ่นวายจนตอนนี้ถึงจะเงียบสงบบ้าง

นางชอบทำอาหาร เปลี่ยนส่วนผสมธรรมดาให้กลายเป็นอาหารชั้นเลิศ

นางอาจไม่ได้ชื่นชอบตั้งแต่แรก เริ่มตั้งแต่เมื่อใดกันนะ

ลั่วเซิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง

ท่านแม่ร่างกายอ่อนแอ กินยาก จวนอ๋องมีแม่ครัวเข้าออกมากกว่าหมอเสียอีก

มีทั้งแม่ครัวจากห้องเครื่องของราชสำนักและยอดฝีมือที่แฝงตัวอยู่ในหมู่ปวงชน

น่าจะวันเกิดปีนั้นของท่านแม่ นางที่ยังเด็กเห็นท่านแม่กินอาหารว่างที่นางทำได้มากกว่าปกติ ทำให้นางชื่นชอบการทำอาหารนับตั้งแต่นั้นมา

หลังจากนั้นก็กลายมาเป็นความคุ้นชิน นางหลงใหลกับการเข้าครัว หวังเพียงว่าท่านแม่จะกินอาหารฝีมือนางได้มากขึ้น ร่างกายก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

อืม ลั่วเฉินกินอาหารฝีมือนางได้มากขึ้น ร่างกายก็จะแข็งแรงขึ้นแน่นอน

รอให้เขาอ้วนท้วนสมบูรณ์ นางก็จะไปจากที่นี่

ลั่วเซิงหลุดเข้าไปในจินตนาการอันสวยงาม

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท