ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 20 หอมจริงๆ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 20 หอมจริงๆ

หงโต้วไปกลับเรือนอีกครั้ง ทำให้ฝูซงตื่นตกใจ “เจ๊หงโต้ว มาอีกแล้วหรือ”

หงโต้วดีดหน้าผากฝูซงอย่างไม่เกรงใจ “เรียกว่าหงโต้ว ไม่ก็เรียกพี่ก็พอแล้ว หากยังเรียกเจ๊หงโต้วอีก จะโยนเจ้าออกไปซะ!”

ฝูซงหดคอ ตกใจจนแทบร้องไห้ออกมา “พี่หงโต้ว พี่มาด้วยเหตุอันใดหรือ”

“คุณชายเล็กตื่นหรือยัง”

“เพิ่งตื่น” ฝูซงแอบเหลือบมองกล่องอาหารในมือหงโต้ว รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา

“นี่ คุณหนูเคี่ยวโจ๊กเทพเซียนมาให้คุณชาย รีบยกเข้าไปให้คุณชายกินตอนร้อนๆ เร็ว” ฝูซงตกใจกับความน่าเกรงขามหงโต้วจึงรีบนำโจ๊กเข้าไป

“นี่คืออะไรหรือ” กลิ่นประหลาดดึงดูดความสนใจของลั่วเฉิน

ไข้ของเขาเพิ่งลด ริมฝีปากแห้งแตก แต่สีหน้าดูไม่แย่

ฝูซงตอบว่า “หงโต้วเอามาให้ บอกว่าคุณหนูหลานนอกเคี่ยวโจ๊กเทพเซียนเองกับมือ ให้ท่านกินร้อนๆ”

“ยกออกไป” ลั่วเฉินชักสีหน้าเอ่ย

ฝูซงรีบยกถาดออกไปอย่างรวดเร็ว

เขารู้อยู่แล้วว่าคุณชายจะไม่กิน เพราะโจ๊กของคุณหนูหลานนอกดูน่ากลัวกว่ายาพิษเสียอีก

เมื่อเห็นบ่าวไม่เกลี้ยกล่อมแม้แต่คำเดียว ลั่วเฉินสีหน้าพลันมืดมนแล้วตะโกนว่า “ช้าก่อน”

ฝูซงจ้องลั่วเฉินอย่างสงสัย

“เหตุใดถึงเรียกโจ๊กเทพเซียน”

“ข้าน้อยก็ไม่รู้เหมือนกัน หงโต้วเรียกแบบนี้ขอรับ”

ลั่วเฉินเหลือบมองชามลายครามในมือของฝูซงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “เอามาให้ข้าดูซิ”

ฝูซงคิดดูแล้ว ชื่อโจ๊กที่แปลกเช่นนี้ควรดูสักหน่อย

“คุณชายเชิญดู” ฝูซงเปิดฝาชามอย่างระมัดระวัง

กลิ่นฉุนพุ่งใส่จมูก

ลั่วเฉินคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว จ้องชามโจ๊กขาวและรู้สึกว่าเป็นไปตามที่คาดคิดไว้

บัดนี้ เขาเชื่อแล้วว่าเป็นฝีมือของลั่วเซิง กลิ่นแย่เพียงนี้ บ่าวรับใช้คงทำแบบนี้ไม่ได้แน่

เมื่อเห็นสีหน้าของลั่วเฉินไม่สู้ดี ฝูซงรีบเอ่ย “ข้าน้อยจะยกโจ๊กออกไปเดี๋ยวนี้”

เมื่อมองไปที่ถาดในมือของฝูซง ลั่วเฉินก็ตะโกนขึ้นอีกครั้งและชักสีหน้าเอ่ย “ยกมาให้ข้าชิมที”

ฝูซงสงสารจับใจ รีบเอ่ยว่า “หงโต้วกลับไปแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าคุณหนูจะรู้ว่าท่านไม่ได้กินโจ๊ก และกลับมาหาเรื่องท่าน คุณชายท่านอย่าทรมานตัวเองเลยขอรับ”

“ข้ากลัวนางมาหาเรื่องข้างั้นหรือ” ลั่วเฉินเลิกคิ้วขึ้น สีหน้ามืดมนกว่าเดิม

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะยกโจ๊กออกไปนะขอรับ”

“ข้าจะลองชิมดูซิว่าจะกินยากแค่ไหนเชียว” ลั่วเฉินเห็นบ่าวไม่ค่อยฉลาดจึงเอ่ยอย่างสุดทน

ฝูซงตกตะลึงและยื่นโจ๊กให้ยังงุนงง

ลั่วเฉินลองชิมหนึ่งคำ ด่าทอว่าไม่อร่อย ชิมอีกคำก็ด่าทอว่าไม่อร่อย

ฝูซงจึงกำชับด้วยความหวังดี “คุณชาย ท่านชิมจะหมดชามแล้ว”

“ไสหัวออกไปซะ!” ลั่วเฉินโกรธจัด

เขาไม่เคยกินโจ๊กรสชาติแย่ขนาดนี้มาก่อน จะประหลาดใจหน่อยไม่ได้เลยหรือ

ลั่วเฉินที่ไข้ลดและเหงื่อออกนอนหลับสนิท ลืมตามาก็อีกวันแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งและคนอื่นๆ ต่างผลัดกันมาเยี่ยมเยียน

หลังจากแตะหน้าผากของลั่วเฉิน ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งรู้สึกชื่นใจขึ้นมา “ไข้ลดก็ดีแล้ว ครั้งนี้โชคดีที่มีหมอหวัง”

เมื่ออยากกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้อง ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งเอ่ยต่อ “เฉินเอ๋อร์ เจ้าล้มป่วยครั้งนี้ พี่สาวเจ้ากังวลมาก ยาลดไข้ที่หมอหวังปรุงก็ได้พี่สาวเจ้านี่แหละที่คอยป้อนให้เจ้ากิน”

เหตุการณ์ที่ลั่วเซิงไปตลาดซื้อยาด้วยตัวเอง ฮูหยินใหญ่ไม่ได้เอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง เพราะลูกสาวสะกดรอยตามคนอื่น เป็นเรื่องน่าอับอายสิ้นดี

ณ เวลานี้ ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะยกยอหมอหวังว่าเป็นหมอเทวดาไปแล้ว

แต่ถึงขั้นเป็นหมอเทวดาเลยคงไม่อาจเป็นไปได้ ยังมีหลี่ฟังไห่หมอเทวดาแห่งยุคอยู่ หมอในใต้หล้าล้วนไม่คู่ควรกับสมญานามนี้

นั่นคือเทพเซียนตัวเป็นๆ ที่มีชีวิตและเลือดเนื้อ

หลังจากได้ยินคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง ลั่วเฉินก็อดนึกถึงโจ๊กเทพเซียนรสชาติแย่ชามนั้นไม่ได้

ลั่วเซิงนี่กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีแล้วจริงหรือ

ขณะครุ่นคิด ลั่วเซิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับหงโต้ว

หลังจากทักทายฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งแล้ว ลั่วเซิงก็เหลือบมองลั่วเฉินพลางถามว่า “กินข้าวเช้าหรือยัง”

ลั่วเฉินชักสีหน้าและตอบเสียงแผ่ว “ข้าเพิ่งกินยา”

ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “พอดีเลย ข้าเคี่ยวโจ๊กมาให้น่ะ”

มุมปากของลั่วเฉินกระตุกและตอบอย่างเย็นชา “ไม่กิน”

เมื่อวานที่กินโจ๊กชามนั้น ไม่ได้ไว้หน้าลั่วเซิง แต่แค่ประหลาดใจ

“เมื่อคืนเจ้ากินโจ๊กที่ข้าส่งมาให้หรือไม่” ลั่วเซิงเอ่ยถาม

“รสชาติแย่มาก”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งเห็นบรรยากาศอึมครึมจึงส่งเสียงไอและถามว่า “เซิงเอ๋อร์ต้มโจ๊กเป็นด้วยหรือ”

“เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงตอบสั้นๆ ได้ใจความและเอ่ยปากถามว่า “ท่านยายกินอาหารเช้าแล้วหรือยังเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งหายใจติดขัดในทันใด

คำถามนี้ตอบยากนัก

แน่นอนว่านางกินอาหารเช้าแล้ว แต่หลานนอกไม่ได้ออกไปก่อเรื่องและอยู่เรือนเคี่ยวโจ๊กแทน ควรให้กำลังใจสักหน่อยใช่หรือไม่

หลังจากชั่งใจอย่างรวดเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งยิ้ม “ข้ายังไม่ได้กิน”

ลั่วเซิงจ้องไปที่ใบหน้าบึ้งตึงของลั่วเฉินและโค้งริมฝีปากยิ้ม “หากท่านยายไม่รังเกียจ อยากลองชิมหรือไม่เจ้าคะ”

มุมปากของลั่วเฉินกระตุก

ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกัดฟันตอบตกลง เด็กหนุ่มที่โกรธจัดก็ชิงเอ่ยปากก่อน “จะให้ท่านยายกินโจ๊กที่ข้าไม่อยากกินได้อย่างไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งผ่อนคลายลง

“เอามา” ลั่วเฉินราวกับเสียสละเพื่อท่านยาย

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง แอบชมหลานชายว่าเป็นเด็กกตัญญู ไม่เสียแรงที่รักและเอ็นดูมานานหลายปี

ลั่วเซิงพยักหน้าให้กับหงโต้ว

หงโต้วยกชามโจ๊กออกจากกล่องอาหารและส่งมอบให้กับฝูซงอย่างคล่องแคล่ว

ชามลายครามโทนสีเย็นมีน้ำมันของโจ๊กสีขาวลอยอยู่ โดยมีเนื้อลูกชิ้นขนาดลูกเต๋าผสมกับหน่อไม้ เห็ด และถั่วสน ส่งกลิ่นหอมโชยจนน้ำลายไหล

เมื่อมองยังโจ๊กเนื้อชามนี้ ฝูซงอดเบิกตากว้างไม่ได้

นี่มันไม่เหมือนกับโจ๊กชามเมื่อวานนี่!

ลั่วเฉินส่งเสียงไอเบาๆ เพื่อเตือนฝูซง

ฝูซงรู้สึกตัว รีบยกโจ๊กไปตรงหน้าของลั่วเฉิน

ลั่วเฉินคิ้วขมวดและชิมไปหนึ่งคำ ใบหน้าพลันแข็งทื่อขึ้นทันที

แม้ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งจะอายุมาก แต่กินเก่งและสิ่งที่ชอบที่สุดคือการกิน ด้วยประสบการณ์อันช่ำชองนางมองความพิเศษที่ซ่อนอยู่ในโจ๊กเนื้อแสนธรรมดาชามนี้ออกอย่างรวดเร็วจึงอดถามไม่ได้ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”

เมื่อคืนลั่วเฉินเผชิญกับโจ๊กอาบยาพิษ วันนี้ยังโดนกรอกยาเพิ่มอีกหนึ่งชาม เวลานี้ต่อมรับรสถูกชำระล้างด้วยเมล็ดข้าวเหนียวนุ่มกับเนื้อสัตว์รสชาติหอมหวาน

หอมจริงๆ!

“พอกินได้ขอรับ” พอลั่วเฉินพูดจบก็กินโจ๊กอย่างสง่า แต่จะสง่าเพียงใดก็กินคำต่อคำไม่หยุด ชามลายครามขนาดไม่ใหญ่นักเห็นก้นชามอย่างรวดเร็ว

หมดแล้วหรือ

ลั่วเฉินมองชามอันวางเปล่าอย่างเขินอาย

เขาถูกร่ายมนตร์ใส่ใช่หรือไม่ เหตุใดถึงกินหมดโดยไม่รู้ตัวเช่นนี้

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งจ้องชามโจ๊กที่ก้นชามสะอาดสะอ้าน เกิดสงสัยในตัวหลานนอกผู้นี้เป็นครั้วแรก เมื่อครู่นี้ หลานชายไม่ใช่กินโจ๊กแทนนางเพราะความกตัญญู แต่เพราะอร่อยเลยอยากกินคนเดียวกระมัง…

“ดูแล้วน้องเล็กยังพอกินลง ถ้าอย่างนั้นกลางวันข้าจะให้หงโต้วส่งโจ๊กมาให้” ลั่วเซิงลุกขึ้น ไม่ได้เผยรอยยิ้มเย้ยหยันหลังจากเห็นลั่วเฉินกินโจ๊กจนหมดชาม

เด็กอายุสิบสองสิบสามปากไม่ตรงกับใจ นางไม่จำเป็นต้องกัดไม่ปล่อยให้คนต้องอับอาย

“ไม่เป็นไร ฝูซงจะไปเอาที่ห้องครัวเอง”

เสียงไอดังขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น ช่วงกลางวันให้หงโต้วส่งโจ๊กมาที่เรือนฝูหนิงสักชาม ยายอายุมากแล้ว ฟันไม่ค่อยดี กินอย่างอื่นไม่ค่อยได้”

ลั่วเฉิน “…” เขาจำได้ว่าท่านยายชอบกินเอ็นมากมิใช่หรือ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท