ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 29 กลับบ้าน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 29 กลับบ้าน

อารมณ์จะดีได้อย่างไร

ยิ่งเข้าใกล้บ้านมากขึ้น นางก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว วิตกกังวลและร้อนใจ แต่ก็ยังมีความหวังว่าจะมีผู้รอดชีวิตจึงดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก

คุณชายสามเซิ่งถึงกับสำลักและหัวเราะแหบแห้ง “น้องหญิงนี่ล้อเล่นเก่งเหมือนกันนะ”

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาที่ราวกับบ่อน้ำลึก คุณชายสามเซิ่งจึงหัวเราะไม่ออก

ดูแล้วน้องลั่ว…น่าจะไม่มีความสุขจริงๆ แหละ

แต่ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ กลับเมืองหลวงไม่ควรดีใจหรอกหรือ

“แล้ว…ทำไมน้องหญิงถึงอารมณ์ไม่ดีล่ะ”

ลั่วเซิงไม่อาจตอบคำถามของคุณชายสามเซิ่งได้จึงเหลือบมองไปข้างหน้าแทน “ข้าอยากเที่ยวเล่นที่เมืองหนานหยางสักสองสามวัน”

เมืองหนานหยางรึ

คุณชายสามเซิ่งขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

แม้เมืองหนานหยางจะเป็นสถานที่หยุดพักผ่อนถัดไป แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่ถึงสองสามวันนี่

“น้องหญิงมิใช่รีบกลับเมืองหลวงหรอกหรือ เหตุใดถึงอยากอยู่เที่ยวที่เมืองหนานหยางเล่า” คุณชายสามเซิ่งเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา มีข้อสงสัยก็ถามให้กระจ่าง

“ข้าเหนื่อยกับการเดินทางตลอดเวลาน่ะ”

คุณชายสามเซิ่งกะพริบตา “ถ้าอย่างนั้น น้องหญิงหยุดพักที่เมืองหนานหยางหลายวัน อารมณ์ก็จะดีขึ้นใช่หรือไม่”

หากไม่ใช่เพราะปลาทอดที่เขาเฝ้าคะนึงหา บุรุษอย่างเขาจะสนใจอารมณ์ความรู้สึกของน้องหญิงไปทำไม

แน่นอนว่าไม่!

คุณชายสามเซิ่งรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ

เมื่อเห็นว่าคุณชายสามเซิ่งหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ของนาง ลั่วเซิงจึงรู้ความคิดของอีกฝ่ายจึงเอ่ยว่า “ระหว่างที่ข้าเที่ยวเมืองหนานหยาง ไม่ว่าอารมณ์จะดีหรือไม่ ข้าก็จะทำอาหารให้พี่สามกินหนึ่งอย่าง”

นางชอบการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม คุณชายสามเซิ่งอำนวยความสะดวกให้กับนาง นางก็จะตอบแทนด้วยอาหารอันโอชา

คิ้วของคุณชายสามเซิ่งเปี่ยมไปด้วยความสุข “งั้นตกลงตามนี้ พูดแล้วห้ามคืนคำ..”

เมื่อมองเห็นมือที่ยื่นมาของคุณชายสามเซิ่ง ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากขึ้นก็และเอื้อมมือไปตบมือ “ไม่ผิดคำพูดแน่นอน”

ปลายนิ้วอันอ่อนนุ่มของหญิงสาวเย็นเล็กน้อย กลับทำให้คุณชายสามเซิ่งรู้สึกถึงไฟแผดเผาเคลื่อนย้ายออกจากมือของเขา

คุณชายสามเซิ่งหูแดงจนต้องแหงนมองท้องฟ้า

ลืมไปชั่วขณะว่าน้องหญิงเป็นผู้หญิง น้องหญิงคงไม่คิดว่าเขาเอาเปรียบใช่หรือไม่

เมื่อมองลั่วเซิงที่ก้มศีรษะดื่มชาหยาบอย่างสงบนิ่ง ความคิดแปลกๆ ของคุณชายสามเซิ่งก็ผุดขึ้นมา อีกอย่าง อะแฮ่ม บางทีเขาอาจถูกเอาเปรียบอยู่ก็เป็นได้…

แต่เขาเองก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน

คุณชายสามเซิ่งยิ่งคิด หูก็ยิ่งแดง

หงโต้วกลอกตาใส่

เจ้าทึ่มหน้าแดงไปทำไม แค่ความงามเล็กน้อยแค่นี้คิดว่าจะทำให้หัวใจของคุณหนูหวั่นไหวได้อย่างนั้นหรือ

“ไปกันเถอะ” ลั่วเซิงยืนขึ้นและเดินไปที่รถม้า

หงโต้วขึ้นรถม้าและนั่งข้างๆ ลั่วเซิง สังเกตเห็นคุณหนูของตนดูเงียบขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ

“คุณหนู ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”

“คิดถึงบ้านน่ะ” ลั่วเซิงหลับตา “ถึงเมืองหนานหยางแล้วเรียกข้าด้วย”

หลังจากนอนหลับสักตื่นไม่ว่าอย่างไรก็คงพบคำตอบเอง แทนที่จะนั่งวิตกกังวลจนแทบหายใจไม่ออกตลอดทาง

ความเงียบสงบกลับคืนสู่รถม้าอีกครั้ง เสียงล้อรถส่งเสียงดังเอี๊ยดและกลิ่นเครื่องหอมจางๆ ชวนผู้คนอยากนอน

หลังจากไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด รถม้าก็เคลื่อนตัวช้าลง หงโต้วชะโงกศีรษะมองออกไปและเอ่ยอย่างมีความสุขว่า “คุณหนู ถึงเมืองหนานหยางแล้วเจ้าค่ะ!”

ลั่วเซิงรีบลืมตาและมองออกไปข้างนอก

ด้านหน้าคือเมืองที่ดูองอาจและเรียบง่ายเมืองหนึ่ง กำแพงปรากฎรอยด่างดำ หอคอยประตูสูงตระหง่าน อักษรสามพยางค์ ‘เมืองหนานหยาง’ ก็พุ่งเข้ามาในสายตาของนางทันที

ขณะนี้ น้ำตาร้อนๆ ของลั่วเซิงก็คลอคลอง

จวนเจิ้นหนานอ๋อง เมืองหนานหยาง ในที่สุดนางก็กลับบ้านแล้ว

เมื่อเห็นลั่วเซิงร้องไห้ หงโต้วก็ตื่นตระหนกขึ้นมา “คุณหนู ร้องไห้ทำไมหรือเจ้าคะ”

ลั่วเซิงกลั้นน้ำตาเอาไว้และตอบเสียงราบเรียบ “ลมเข้าตาน่ะ พี่สาม เราเข้าเมืองกันเถอะ”

คนทั้งขบวนเข้าเมืองอย่างราบรื่น ลั่วเซิงลงจากรถม้าและเดินเล่นบนตลาดอย่างเงียบๆ

คุณชายสามเซิ่งเดินข้างลั่วเซิงและมองไปรอบๆ อย่างสงสัย “เมืองไม่เล็กนะ แต่กลับไม่คึกคักเอาเสียเลย”

สำหรับเด็กหนุ่มที่ไม่เคยเดินทางไกล เมืองที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวแห่งนี้ทำให้เขาผิดหวังอย่างไม่ต้องสงสัย

ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดไม่จา ทุกย่างก้าวหนักอึ้งอย่างยิ่ง

เมืองหนานหยางเป็นที่ตั้งของจวนเจิ้นหนานอ๋อง ในความทรงจำของนาง เมืองนี้คึกคัก ผู้คนพลุกพล่านและมีชีวิตชีวามาโดยตลอด ไม่เหมือนกับตรงหน้าที่เห็นได้ชัดว่ามีผู้คนเดินผ่านไปมาจำนวนมาก แต่กลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

ราวกับจังหวะของเมืองนี้ดูหนักอึ้งไปหมด

นี่ไม่ใช่เมืองหนานหยางในความทรงจำของนาง

ทันใดนั้น ลั่วเซิงก็หยุดเดินและมองตรงไปยังที่ไหนสักแห่ง

คุณชายสามเซิ่งเหลือบมองตาม

นั่นคือจวนขนาดใหญ่ที่ประตูปิดไว้อยู่ สิงโตหินสองตัวยืนเงียบเชียบอยู่หน้าประตู ร่างสิงโตที่เต็มไปด้วยฝุ่นเกาะบ่งบอกถึงความทรุดโทรมของจวนแห่งนี้กับผู้คนที่สัญจรไปมา

ลั่วเซิงจ้องทางเดินหินสีเขียวที่เดิมทีควรส่องแสงสว่างไสวตรงหน้าประตู ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม

คนสัญจรเดินผ่านหน้าลั่วเซิง ทันใดนั้นเองนางก็คว้าชายเสื้อของเขาไว้

ชายหนุ่มตกใจกับการเคลื่อนไหวกะทันหันของลั่วเซิง ขณะที่กำลังจะด่าออกมากลับพบสาวน้อยที่ดวงตางดงามแต่แฝงไปด้วยความเศร้า

คำด่าทอถูกชายหนุ่มกลืนลงไป

“ที่นี่คือที่ใดหรือ” เด็กสาวเอ่ยถามเสียงเบา

ชายหนุ่มมองไปยังจวนอ๋องที่ทรุดโทรม สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “อดีตเคยเป็นจวนเจิ้นหนานอ๋องมาก่อน ดีที่สุดคือแม่นางอย่าเข้าใกล้สถานที่โชคร้ายเช่นนี้เลย”

“โชคร้ายรึ”

“จะไม่ให้โชคร้ายได้อย่างไร ฟังคนเฒ่าคนแก่เขาพูดกัน ในอดีตเจิ้นหนานอ๋องสมคบคิดกับศัตรู คิดก่อกบฏเป็นความผิดมหันต์ ผู้คนนับร้อยถูกประหารชีวิต ผ่านมานานมากแล้ว ทางเดินหินสีเขียวยังเปื้อนสีแดงอยู่เลย…”

เสียงแควกดังขึ้น ชายเสื้อของชายหนุ่มถูกดึงจนฉีกขาด

ชายหนุ่มจ้องชายเสื้อครึ่งท่อนในมือของเด็กสาวถึงกับตกตะลึง “แม่นางใจร้อนขนาดนี้ไม่ดีเลยนะ…”

แม้แม่นางจะดูงดงาม แต่สมองดูเหมือนผิดปกติ…

“น้องสาวขี้เล่นน่ะ พี่ชายอย่างได้ถือโทษโกรธนางเลย” เมื่อเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ คุณชายสามเซิ่งจึงรีบยัดเงินเหรียญใส่มือของเด็กหนุ่มแล้วไล่เขาไป

ลั่วเซิงยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ คำพูดของชายหนุ่มก้องอยู่สมองของนางไม่หยุด

สมคบคิดกับศัตรู ก่อกบฏ ผู้คนนับร้อยถูกประหารชีวิต…

กลิ่นคาวหวานสายหนึ่งทะลักขึ้นมาในลำคอ ทำให้ดวงตาของนางพร่ามัว เริ่มมองเห็นจวนตรงหน้าไม่ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทางเดินหินสีเขียวที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มนั่น

“น้องหญิง เจ้าเป็นอะไรหรือ”

ลั่วเซิงไม่ตอบและเดินตรงไปที่รถม้า

เมื่อเห็นร่างของลั่วเซิงหายเข้าไปในประตูรถม้า คุณชายสามเซิ่งก็มองไปที่หงโต้วด้วยความสับสน “คุณหนูของเจ้าเป็นอะไรกันแน่”

ดูไม่สบอารมณ์เอาเสียมาก…

หงโตวครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “อาจเป็นเพราะเมืองทรุดโทรม บ้านพัง คนก็อัปลักษณ์ เลยผิดหวังมากกระมัง”

คุณชายสามเซิ่งนิ่งเงียบไป

นอกจากที่สาวใช้พูด ดูเหมือนจะไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลไปกว่านี้แล้ว

แล้วพวกเขาควรพักค้างคืนที่เมืองหนานหยางหรือไม่

เมื่อแหงนมองท้องฟ้า คุณชายสามเซิ่งก็ตัดสินใจว่า ช่างเถอะ ดึกแล้ว ฝืนพักที่นี่ก่อน

หลังจากพบโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเมืองแล้ว คนทั้งขบวนจึงรีบตามไป

รถม้าจอดที่หน้าโรงเตี๊ยม แต่ลั่วเซิงกลับไม่ได้ลงจากรถม้า

คุณชายสามเซิ่งจ้องหงโต้วที่นั่งอยู่นอกรถม้าด้วยสายตาสงสัย

หงโต้วกลอกตาใส่ด้วยความโกรธ

มองนางทำไม ไม่เห็นหรือว่านางก็ถูกคุณหนูไล่ออกมานั่งข้างนอก

คุณชายสามเซิ่งสกระแอมไอผ่านม่านรถ “น้องหญิง หากเจ้าไม่ชอบที่นี่ พวกเราก็รีบเดินทางต่อเถอะ”

จู่ๆ ก็ไม่ยอมออกมา ความคิดของสตรีคาดเดายากเช่นนี้เลยหรือ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ม่านสีเขียวอ่อนที่ปักลายไม้ไผ่ถูกยกขึ้น ลั่วเซิงก้มศีรษะลงจากรถม้า

นางเดินไปตรงหน้าคุณชายสามเซิ่ง สีหน้ากลับคืนสู่ความสงบนิ่งคงเดิม “ข้าชอบมาก พักที่นี่เถอะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท