ตอนที่ 30 ท่านหญิงโง่เหลือเกิน
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เมืองหนานหยางโอบล้อมไปด้วยสายลมอันอบอุ่น ดอกไม้ใบหญ้าที่มองเห็นได้ทุกที่ช่วยเพิ่มความสว่างไสวให้กับเมืองอันหม่นหมองแห่งนี้
ลั่วเซิงเดินฝ่าฝูงชนอย่างนิ่งสงบ
คุณชายสามเซิ่งที่เดินอยู่ข้างกายมองมาอย่างสงสัยเป็นครั้งคราว
เขารู้สึกว่าน้องลั่วมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่อธิบายสาเหตุไม่ถูก
คุณชายสามเซิ่งที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กสาวเท่าใดไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าให้ดีขึ้นอย่างไรดี ทันใดนั้น ก็เหลือบมองเห็นพ่อค้าเร่ขายถังหูลู่
ถังหูลู่แต่ละลูกเสียบอยู่บนแท่งไม้ ส่องแสงแวววาวและโปร่งแสงขณะแสงตะวันตกกระทบ ซึ่งน่าดึงดูดใจเสียจริงเชียว
คุณชายสามเซิ่งเดินเข้ามาซื้อถังหูลู่สองไม้และยื่นหนึ่งในนั้นให้กับลั่วเซิง
ลั่วเซิงหยุดเดินมองมาที่เขา
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มสดใส “น้องหญิงกินถังหูลู่สิ รสหวานอมเปรี้ยวไม่เลวเลย”
ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วยื่นไปมือรับถังหูลู่ “ขอบคุณพี่ชายมาก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณชายสามเซิ่งยิ่งดูสดใสขึ้น “ไม่ต้องเกรงใจ น้องหญิงชอบก็ดีแล้ว”
ขณะเอ่ย เขาก็เอาถังหูลู่อีกไม้ยื่นให้หงโต้ว
หงโต้วดีใจอย่างสุดซึ้ง
แม้นางจะไม่ได้อยากกินถังหูลู่เท่าใดนัก แต่เมื่อมีคนนึกถึงตนย่อมสุขใจเป็นธรรมดา
อืม คุณชายสามเป็นคนดี
“จะขอรบกวนพี่ชายช่วยซื้อของให้หน่อยจะได้หรือไม่”
เมื่อมองถังหูลู่ในมือขอเด็กสาว คุณชายสามเซิ่งแทบจะทุบหน้าอกของตน “น้องหญิงอยากได้อะไรพูดมาได้เลย”
ลูกอม ขนมขบเคี้ยว หรือเครื่องแป้ง
“ข้าอยากได้กระดาษเผา”
“เผา เผา… จะเผาอะไร” คุณชายสามเซิ่งแทบจะสำลักน้ำลาย
เขาหูฝาดไปหรือไม่นะ
“เงินกระดาษที่ใช้เซ่นไหว้น่ะ”
คุณชายสามเซิ่งสงบสติอารมณ์พลางเอ่ยปากด้วยความยากลำบาก “น้องหญิงจะเอาเงินกระดาษไปทำอะไรหรือ”
ลั่วเซิงหรี่ตาตอบว่า “เซ่นไหว้ท่านแม่ของข้า ท่านยายเคยเล่าว่าเมื่อท่านแม่ออกเรือน เคยพำนักที่เมืองหนานหยางอยู่พักหนึ่ง ข้ายืนอยู่ที่นี่ตรงนี้ พลันให้นึกถึงสถานที่ที่ท่านแม่ข้าเคยยืนเลยรู้สึกเสียใจขึ้นมา อยากเผากระดาษเงินให้ท่านแม่เพื่อแสดงความกตัญญูน่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง” คุณชายสามเซิ่งเผยความเห็นอกเห็นใจในแววตา และในที่สุดก็พบสาเหตุแล้วว่าเหตุใดลั่วเซิงถึงอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เข้ามายังเมืองหนานหยาง
น้องหญิงสูญเสียแม่ไปตั้งแต่อายุยังน้อย พูดไปแล้วก็น่าสงสารนัก
“พี่ชายยินดีช่วยหรือไม่”
“ได้เลย!”
ลั่วเซิงโค้งคำนับให้กับคุณชายสามเซิ่งเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “รบกวนพี่ชายด้วย ข้าจะพาหงโต้วไปที่ร้านเครื่องแป้งแล้วค่อยไปพบกับพี่ชายที่โรงเตี๊ยมตอนเย็น”
คุณชายสามเซิ่งอ้าปาก
เขาไม่ได้บอกว่าจะแยกเดินกับน้องลั่วสักหน่อย เขาต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของน้องลั่ว เพราะองครักษ์เหล่านั้นถูกทิ้งไว้ที่โรงเตี๊ยม
เมื่อเห็นว่าคุณชายสามเซิ่งนิ่งเงียบ ลั่วเซิงก็ขมวดคิ้ว “พี่ชายอยากไปเดินเล่นร้านเครื่องแป้งกับข้าหรือ”
คุณชายสามเซิ่งส่ายศีรษะอย่างแรง “อะแฮ่ม ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้น น้องหญิงไปเดินเล่นเถอะ ข้าไปซื้อของก่อน”
ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากด้วยความพึงพอใจ “เจอกันตอนเย็น”
หลังจากแยกจากคุณชายสามเซิ่งแล้ว ลั่วเซิงได้พาหงโต้วพุ่งตรงไปที่ร้านเสื้อผ้า หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเด็กหนุ่มพร้อมกับบ่าวปรากฏตัวกลางตลาด
เด็กหนุ่มใบหน้างดงาม แต่ผิวที่ค่อนข้างดำเข้ม ทำให้เขาดูธรรมดาตั้งแต่แรกเห็น
“คุณหนู พวกเราจะไปเที่ยวหอนางโลมด้วยชุดนี้หรือเจ้าคะ” หงโต้วกดเสียงลงต่ำด้วยความตื่นเต้น
แม้ในเมืองหลวง คุณหนูจะไม่เคยพานางไปเที่ยวหอนางโลม แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็ตั้งตารออย่างมาก
ลั่วเซิงจ้องหงโต้วอย่างลุ่มลึก
กล่าวตามตรง นางค่อนข้างอิจฉาคุณหนูลั่ว
สาวใช้ประจำกายนางมองการไปเที่ยวหอนางโลมเป็นเรื่องปกติ เห็นได้ชัดว่าคุณหนูลั่วใช้ชีวิตตามใจปรารถนาเช่นไร
“ก็แค่เดินเล่นเฉยๆ น่ะ”
ลั่วเซิงพาหงโต้วเดินจากต้นซอยไปสุดซอย จากตลาดตะวันออกถึงตลาดตะวันตก เดินแทบจะทั่วทั้งเมืองหนานหยาง ก็พบเข้ากับขอทานเฒ่าผมหงอกที่ถูกขอทานหลายคนทุบตีเข้า
“หากไม่ปล่อย ข้าจะทุบตีไอ้แก่อย่างเจ้าให้ตายคามือ!”
ขอทานเฒ่ากอดอะไรบางอย่างไว้ในอ้อมอก หลับตา ยอมให้ตนถูกขอทานหลายคนเตะต่อยตามอำเภอใจ
“หงโต้ว ไปไล่ขอทานเหล่านั้นที”
หงโต้วพับแขนเสื้อและกำลังจะเดินไป แต่ลั่วเซิงห้ามไว้
“คุณหนูวางใจได้ ขอทานกระจอกพวกนี้ ข้าหนึ่งต่อห้าได้สบายๆ”
ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “เอาเหรียญทองแดงไล่พวกเขาไป จงจำไว้ ใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็อย่าใช้กำลัง”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นขอทานหลายคนแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางหลังจากได้รับเหรียญทองแดง ลั่วเซิงก็เดินเข้าไป
ขอทานเฒ่าเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก พึมพำด้วยริมฝีปากที่แห้งผาก “ขอบคุณคุณชายมาก…”
ลั่วเซิงโบกมือส่งสัญญาณให้หงโต้วช่วยพยุงขอทานเฒ่าลุกขึ้นและพาเขาไปยังแผงน้ำชาที่อยู่ไม่ไกล
ขอทานเฒ่าอัดน้ำชาเต็มปาก สำลักจนตาเหลือก หลังจากดื่มชาทั้งกาถึงหายเหนื่อย
“พวกเขาทุบตีเจ้าเพียงเพราะขาเป็ดครึ่งขางั้นหรือ” ลั่วเฉิงเอ่ยถาม
สิ่งของที่ขอทานเฒ่าปกป้องไว้ในอ้อมอกคือถาดเครื่องลายครามที่แตกร้าวและมีขาเป็ดสีดำอยู่ครึ่งท่อน
ขอทานเฒ่าพยักหน้า
“ท่านพ่อข้าเคยมาที่เมืองหนานหยางและเล่าให้ข้าฟังว่าทุกครอบครัวที่นี่มีชีวิตเจริญรุ่งเรืองร่ำรวย ของตกตามถนนไม่เก็บเป็นของตัวเอง ไม่ค่อยได้เห็นขอทาน เหตุใดยามนี้ถึง…”
ขอทานเฒ่าเหลือบมองลั่วเซิงแล้วถอนใจ “ท่านคงเคยมานานมากแล้ว”
“ใช่ สิบปีกว่าแล้ว”
ขอทานเฒ่าเผยสีหน้าเป็นไปตามคาด ยัดขนมเข้าปากแล้วเอ่ยอย่างคลุมเครือ “เมืองหนานหยางในตอนนี้ ไม่ใช่เมืองหนานหยางเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว”
“อย่างไรหรือ”
ขอทานเฒ่าดื่มน้ำชาหลายอึกแล้วนิ่งเงียบไป
หงโต้วถลึงตา “เจ้าขอทานเฒ่า จะลีลาไม่ตอบคุณชายข้าทำไม!”
“ไม่ได้ลีลานะ แต่พูดไม่ได้…”
ลั่วเซิงใช้แขนเสื้อบังเศษเงินที่ดันไปให้ด้วยสีหน้าเฉยเมย “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน แม้ในเวลานั้นจะพูดไม่ได้ แต่บัดนี้ก็พูดได้แล้ว ท่านลุงช่วยคลายความสงสัยของข้าด้วยเถิด”
จวนเจิ้นหนานอ๋องถูกสังหารทั้งตระกูล ขอเพียงแค่คนเฒ่าคนแก่ในเมืองหนานหยางยังไม่ตายหมด คงไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้
ขอทานเฒ่ารีบเก็บเศษเงินและเล่าว่า “ในอดีต เมืองหนานหยางอยู่ภายใต้การปกครองของเจิ้นหนานอ๋อง วันหนึ่งเมื่อสิบสองปีก่อน จวนอ๋องถูกปิดล้อม ต้องใช้เวลาทั้งคืนในการเข่นฆ่าคนทั้งจวน ชาวเมืองหนานหยาง…สรุปคือนับแต่วันนั้น เบื้องบนก็ไม่เคยเห็นค่าเมืองหนานหยางอีกเลย เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้…”
ลั่วเซิงฟังอย่างเงียบๆ และเข้าใจความหมายของคำพูดขอทานเฒ่า
นับตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้าโจว เสด็จพ่อของนางก็เป็นเจิ้นหนานอ๋องแล้ว จากรุ่นสู่รุ่นได้ดูแลที่ดินโดยเฉพาะเมืองหนานหยางซึ่งเป็นที่ตั้งจวนเจิ้นหนานอ๋องให้เจริญรุ่งเรือง ชาวบ้านส่วนใหญ่ในเมืองหนานหยางก็มีใจโน้มเอียงมาที่จวนเจิ้นหนานอ๋อง ทำให้ราชสำนักไม่ยินดีเท่าใดนัก
เมืองที่ถูกละเลยจึงค่อยๆ เสื่อมถอยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อยู่ดีๆ คิดกบฏได้อย่างไร สงสารก็แต่ชีวิตคนในจวนอ๋องนับหลายร้อยคน แม้แต่ท่านหญิงที่ออกเรือนในวันนั้นก็ไม่รอด…”
ลั่วเซิงบีบมือในแขนเสื้ออย่างแรงและเอ่ยอย่างใจเย็น “รังนกคว่ำไซร้ ย่อมไม่มีไข่ที่สมบูรณ์ ในเมื่อจวนอ๋องทำผิดมหันต์ ท่านหญิงจะรอดได้อย่างไร”
ขอทานเฒ่าส่ายศีรษะ “ท่านพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก กฎหมายยกเว้นหญิงที่ออกเรือน ท่านหญิงผู้นั้นแต่งออกไปยังจวนอ๋องผิงหนาน ไหว้ฟ้าดินแล้ว พอได้ยินว่าที่จวนเกิดเรื่องจึงรีบตามมา สุดท้ายถูกฆ่าตายหน้าประตู…ว่ากันว่าตอนนั้นท่านหญิงยังสวมชุดแต่งงานอยู่เลย ช่างโง่เหลือเกิน…”