ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 35

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 35

หงโต้วหัวเราะคิกคัก “คนขายเต้าฮวยจะมีทรัพย์สินอะไร ตบรางวัลให้นางด้วยถั่วทองสองเม็ดยังดีกว่าเสียเวลาไปเก็บทรัพย์สินเสียอีก”

คุณชายสามเซิ่งเผยรอยยิ้มที่แข็งทื่อ

มีข่าวลือในจวนว่าแม่เฒ่าที่ซักผ้าได้รางวัลเป็นทองใบหนึ่งถุงจากน้องหญิงหลานนอก เดิมทีเขาไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว

จนกระทั่งซิ่วเย่ว์ตามกลับโรงเตี๊ยม คุณชายสามเซิ่งก็ราวกับฝันไปและถือโอกาสที่ลั่วเซิงไม่สนใจ คว้าตัวหงโต้วมาถามว่า “เพราะชอบกินเต้าฮวยที่ท่านยายขี้เหร่ทำเนี่ยนะ ถึงกับต้องพาคนกลับเมืองหลวงเลยหรือ”

“มิใช่เหตุผลนี้แล้วจะเป็นอย่างไรได้ล่ะ” หงโต้วย้อนถาม

ความตรงไปตรงมาของสาวใช้ทำให้คุณชายสามเซิ่งหายใจติดขัดจึงหลุดปากถามออกมาว่า “หากพบหนุ่มรูปงามเข้าก็จะพาไปด้วยงั้นหรือ”

หงโต้วครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายศีรษะ

คุณชายสามเซิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัวแล้วฟังหงโต้วเอ่ยต่อ “ชายหนุ่มรูปงามมีอยู่มากโข คุณหนูของเราถูกใจคนไหนถึงจะพากลับน่ะเจ้าค่ะ”

คุณชายสามเซิ่ง “…” นึกไม่ถึงว่าเขาเคยคิดจะแต่งงานกับน้องลั่วเพียงเพราะอาหารอันโอชะ น่าหนักใจจริงๆ

“คุณชายรีบเก็บของเร็วเจ้าค่ะ คุณหนูของพวกข้าจะออกเดินทางวันนี้”

คุณชายสามเซิ่งพยักหน้าอย่างสับสน

ในห้องพัก ซิ่วเย่ว์จ้องลั่วเซิงพลางถามว่า “ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่”

เมื่อคืนนางนอนไม่หลับทั้งคืน ความแคลงใจนี้แทบจะทำให้นางเป็นบ้า

นางถึงขั้นคิดว่าสาวชุดดำคือท่านหญิง วิญญาณของท่านหญิงมาหานาง แต่ทุกสิ่งในวันนี้ทำลายความหวังอันลมๆ แล้งๆ ของนางลง

เด็กสาวตรงหน้าดูเด็กกว่าท่านหญิงเล็กน้อย รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันเลยสักนิด ยกเว้นดวงตาอันสดใสและสงบนิ่ง

ลั่วเซิงกับซิ่วเย่ว์สบตากันและย้อนถามอย่างเฉยเมย “แล้วเจ้าล่ะ เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร ทำไมถึงยอมไปกับข้า”

ซิ่วเย่ว์ถูกต้อนถาม

นางไม่อาจตอบคำถามนี้ได้

ทุกคนในจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกปิดล้อมและประหารชีวิตในข้อหากบฏ แต่นางคือผู้รอดชีวิตที่ไม่อาจมองเห็นแสงตะวัน หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง คงไม่มีใครออกตามหาท่านอ๋องน้อยแล้ว

ทว่าเมื่อคืนนี้ การกระทำของเด็กสาวตรงหน้าเหมือนกับท่านหญิงมากจนสงสัยว่าหญิงสาวผู้นี้มีความเกี่ยวโยงกับท่านหญิง

สัญชาตญาณบอกกับนางว่าหากติดตามคนผู้นี้ บางทีอาจพบโอกาสที่ตามหามานานกว่าสิบสองปี

ลั่วเซิงจ้องใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของซิ่วเย่ว์ แล้วยิ้มเล็กน้อย “ดูสิ เจ้ายังอธิบายไม่ได้เลยว่าทำไมถึงเต็มใจมากับข้า ไม่ต้องถามว่าข้าเป็นใคร ข้าบอกได้เพียงว่าติดตามข้า วันหนึ่งวันใดก็จะพบคำตอบ”

นางไตร่ตรองดีแล้วว่าการเปิดเผยสถานะที่แท้จริงของนาง ไม่ใช่เรื่องชาญฉลาด

มนุษย์ย่อมต้องระวังตัวเป็นธรรมดา การเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้ให้ใครสักคนฟัง จะมีแต่ความสงสัยเท่านั้น

แทนที่จะพยายามให้ซิ่วเย่ว์ยอมรับว่านางคือท่านหญิงชิงหยาง สู้ให้อีกฝ่ายค้นหาความจริงด้วยตัวเองดีกว่า พอถึงวันนั้นคอยเปิดเผยตัวตน ทุกอย่างก็จะประจวบเหมาะเอง

ซิ่วเย่ว์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามออกมาว่า “เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”

ลั่วเซิงมองออกนอกหน้าต่าง

ใบตองนอกหน้าต่างมีสีเขียวขจีราวกับมรกต โบกสะบัดอย่างอิสระ

“ไปเมืองหลวง” ลั่วเซิงตอบ

เมืองหนานหยางถูกรถม้าทิ้งห่างไปไกล คุณชายสามเซิ่งที่ขี่ม้าอยู่แหงนมองท้องฟ้าและปาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก

เพิ่งเข้าสู่เดือนสาม แต่การเดินทางในวันที่ท้องฟ้าโปร่งเช่นนี้ก็ร้อนไม่เบา

คุณชายสามเซิ่งที่ลำคอเริ่มแสบร้อนมองเห็นโรงน้ำชาริมถนนอยู่ตรงหน้าจึงดึงบังเหียนและเขยิบเข้าหารถม้า “น้องหญิง ข้างหน้ามีโรงน้ำชา พวกเราจิบน้ำชากันสักหน่อยก่อนเดินทางต่อดีหรือไม่”

คำตอบของลั่วเซิงก็มาจากรถม้าอย่างรวดเร็ว “ได้”

คนทั้งขบวนหยุดอยู่หน้าโรงน้ำชา หากนับรวมองครักษ์ ม้านั่งยาวหลายตัวก็ถูกจับจองหมดแล้ว

คนขายใบชาเช็ดโต๊ะอย่างคล่องแคล่วและรินชาให้กับพวกลั่วเซิงและคนอื่นๆ ด้วยกาทองแดงปากยาว

ถ้วยสำหรับดื่มชาเป็นถ้วยลายครามหยาบๆ ทั่วไป ชาคือชาหยาบ แต่คุณชายสามเซิ่งกลับไม่รังเกียจ ยกดื่มเสียงดังจนเห็นก้นถ้วย ลำคอก็รู้สึกดีขึ้น

“น้องหญิงไม่ดื่มหรือ” เมื่อเห็นลั่วเซิงถือถ้วยลายครามหยาบไว้โดยไม่มีทีท่าว่าจะดื่ม คุณชายสามเซิ่งจึงอดถามไม่ได้

ในเวลานี้ ลั่วเซิงมีกะจิตกะใจดื่มน้ำชาที่ไหนเล่า ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่คนกำลังเดินตรงมายังโรงน้ำชาต่างหาก

เขาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ความสุขุมเย็นชาของชายหนุ่มปรากฏบนหว่างคิ้วของเขา แต่กลับไม่ขาดความปราดเปรียวของเด็กหนุ่ม โดยเฉพาะดวงตาคู่หนึ่งที่ราวกับหยกดำสีเข้มที่เข้ากับผิวสีซีดได้เป็นอย่างดี เพียงเหลือบมองก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาและน่าเกรงขาม

คุณชายสามเซิ่งมองตามสายตาของลั่วเซิง อดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมา

ชายหนุ่มผู้นี้หล่อเหลานัก หล่อไม่น้อยไปกว่าซูเย่าเลย

แย่แล้ว แย่แล้ว น้องหญิงเห็นเขาแล้ว!

“อะแฮ่มๆ!” คุณชายสามเซิ่งส่งเสียงไอ คาดหวังว่าชายหนุ่มที่เดินมาหาจะเข้าใจคำเตือนของเขาและจากไปอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าชายหนุ่มได้ยินเสียงไอของคุณชายสามเซิ่งจึงเหลือบมองและรีบเดินมาหา

“พี่ชายมีอะไรหรือ” คุณชายสามเซิ่งจ้องชายหนุ่ม รู้สึกร้อนตัวจากการทำเรื่องให้แย่ลง

“ไม่เหลือที่นั่งแล้ว พี่ชาย จะขอนั่งด้วยได้หรือไม่” เด็กหนุ่มพูดจบก็นั่งตรงข้ามกับลั่วเซิงโดยไม่รอคำตอบจากคุณชายสามเซิ่ง

ด้านหลังชายผู้นั้น ชายหนุ่มที่แต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้ก้มศีรษะเก็บซ่อนความประหลาดใจ

ลั่วเซิงนั่งไม่ติดแล้ว

คือชายชุดดำที่ปรากฏตัวในจวนอ๋องเมื่อคืนก่อนแล้วถูกก้อนหินฟาดศีรษะและสาดพริกไทยใส่หน้าหนี่!

เขามานั่งตรงข้ามนางทำไม

หรือว่าจะจดจำนางได้

แม้ว่าคืนนั้นจะไม่ใช่ค่ำคืนที่มืดสนิทและมีลมแรงมากนัก แต่นางก็คลุมหน้าไว้ อย่างมากอีกฝ่ายก็เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น

ลั่วเซิงนึกถึงกริชในอก นึกถึงแส้ยาวที่เอว นึกถึงผงพริกไทยในแขนเสื้อ ในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดที่จะกำจัดชายหนุ่มทิ้งทันที

ช่วยไม่ได้ กลางวันแสกๆ ต่อหน้าสาธารณชน จะให้ลงมือฆ่าคนได้อย่างไร

“คุณหนูลั่ว สบายดีนะ” จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท