ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 37 รออีกสักนิด

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 37 รออีกสักนิด

คุณชายสามเซิ่งยังคงตกอยู่ในความงุนงง

ไหนบอกหมูป่าตัวใหญ่น่ากลัวไงแล้วเหตุใดน้องหญิงคิดถึงขาหมูขอทานได้เล่า

ช้าก่อน เคยได้ยินแต่ไก่ขอทาน ขาหมูขอทานคืออะไรเนี่ย

ลั่วเซิ่งรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก

ข่าวลือที่ว่าปลดเข็มขัดชายหนุ่มคงทำให้ชายหนุ่มทุกคนตื่นตะลึงไม่น้อย ต้องให้เวลาปรับตัวสักหน่อย

เมื่อมองหมูป่าที่ยังคงกระตุก ลั่วเฉิงก็อธิบายอย่างใจเย็น “ข้าเคยสัญญากับพี่ชายไว้ว่าจะทำอาหารให้กินอย่างหนึ่ง”

ใบหน้าที่แข็งทื่อของคุณชายสามเซิ่งกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

นึกออกแล้ว นี่แลกมากับการที่ให้ลั่วเซิงพักในเมืองหนานหยางเป็นเวลาสองวัน

ทันใดนั้น คุณชายสามเซิ่งก็นึกถึงรสชาติของปลาทอดที่ทำให้เขาโหยหาตลอดเวลาจานนั้นแล้วมองไปยังหมูป่าบนพื้นที่ถูกมีดแทงนับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่รู้สึกไม่ยินยอมขึ้นมา “น้องหญิง ไม่สู้ทำปลาทอดเถอะ ปลาทั้งตัวทั้งสดและอร่อย”

ลั่วเซิ่งทำลายความฝันของคุณชายสามเซิ่งทันที “ไม่มีปลา เนื้อหมูป่าสดกว่าอีก เพียงพอสำหรับพวกเราทุกคน”

คุณชายสามเซิ่งยังอยากดิ้นรน แต่หลังจากเผชิญกับความนิ่งสงบและสดใสของสาวน้อยแล้วก็พลันได้สติขึ้นมา

ยั่วโมโหน้องหญิงไม่ได้!

“ถ้าอย่างนั้น…ก็ว่าตามน้องหญิง”

เมื่อได้ยินกระแสเสียดายในน้ำเสียงของคุณชายสามเซิ่ง ลั่วเซิงจึงเอ่ยปลอบว่า “หากเทียบกับปลาทอดแล้ว ข้าคิดว่าพี่ชายต้องชอบขาหมูขอทานมากกว่าเป็นแน่”

ดวงตาของคุณชายสามเซิ่งลุกวาว “ขาหมูขอทานอร่อยขนาดนั้นเลยหรือ”

ลั่วเซิ่งพยักหน้า

“ขาหมูขอทานคืออะไร ชื่อดูแปลกๆ”

ลั่วเซิ่งรู้สึกประหลาดใจ “พี่ชายไม่รู้จักไก่ขอทานหรือ”

คุณชายสามเซิ่งรู้สึกเขินอายที่ต้องเปิดเผยความไม่รู้ของตน “อะแฮ่ม เคยได้ยินแต่ไก่ขอทาน ข้าเคยได้กินไก่ขอทานของร้านอู่เซียนไจด้วย อร่อยมากเลย…”

เมื่อเห็นคุณชายสามเซิ่งหลุดเข้าไปในความทรงจำอันสวยงามของไก่ขอทาน ลั่วเซิ่งกลับเอ่ยอย่างไร้ปรานี “ไก่ขอทานแม้จะมีกลิ่นหอม แต่ความจริงแล้วน้ำมันไม่พอ เวลากินจะแห้งๆ แตกต่างจากขาหมูขอทาน…”

“แตกต่างอย่างไร” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องของกิน คุณชายสามเซิ่งก็ลืมเรื่องที่น้องหญิงปลดเข็มขัดผู้ชายไปเสียสนิท

“ขาหมูมีไขมันเยอะและเนื้อนุ่มกว่า ฉะนั้น ขาหมูขอทานจึงทั้งหอมและรสชาติก็อร่อยกว่ามาก”

เสียงอึกดังขึ้น คือเสียงกลืนน้ำลายของคุณชายสามเซิ่งนั่นเอง

หงโต้วที่ยืนอยู่ด้านข้างอดทนรอไม่ไหวแล้ว “คุณหนู ท่านรีบทำขาหมูขอทานเถิดเจ้าค่ะ บ่าวช่วยท่านก่อไฟดีหรือไม่”

แววตาที่ซิ่วเย่ว์มองไปยังลั่วเซิ่งนั้นดูตื่นเต้นขึ้นหลายส่วน

ท่านหญิงเคยวิจารณ์เรื่องไก่ขอทานและขาหมูขอทานไว้เช่นนี้ เหมือนกันทุกพยางค์!

ตกลงคุณหนูลั่วผู้นี้มีความเกี่ยวโยงกับท่านหญิงอย่างไรกันแน่

แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อลองคำนวณอายุดูแล้ว เมื่อครั้งท่านหญิงถูกสังหาร คุณหนูลั่วอายุเพียงสามสี่ขวบเท่านั้น

ซิ่วเย่ว์จ้องลั่วเซิ่งอย่างเหม่อลอย สับสนอยู่ชั่วขณะ

ลั่วเซิงสังเกตุเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของซิ่วเย่ว์

อาจกล่าวได้ว่าเหตุผลที่นางทำขาหมูขอทานในวันนี้เพราะบังเอิญพบกับวัตถุดิบที่เป็นหมูป่าพอดี แต่อีกด้านหนึ่งคือกำลังบอกเป็นนัยกับซิ่วเย่ว์ทีละน้อยว่านางคือท่านหญิงชิงหยาง

ความสงสัยและความแคลงใจมีมากขึ้น วันหนึ่งวันใดก็จะทะลวงผ่านกรงแห่งเหตุผล ทำให้ซิ่วเย่ว์กล้าจินตนาการอย่างห้าวหาญว่านางคือใคร

“พี่ชายพวกพี่ตั้งเตาก่อไฟ ท่านยายขี้เหร่มาช่วยข้าจัดการหมูป่าตัวนี้”

ไม่ช้า ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตัวเองตามคำสั่งของลั่วเซิ่ง

หมูป่าตัวหนึ่งอะไรที่ควรโยนทิ้งก็โยนทิ้งไป เนื้อชิ้นโตเสียบไม้ย่างอยู่บนกองไฟ กระดูกหมูถูกโยนลงไปเคี่ยวในหม้อขนาดใหญ่ที่เอาออกมาจากรถม้าสำหรับใช้ขนข้าวของโดยเฉพาะ

เมื่อมองไปยังกระดูกหมูที่ร่วงหล่นในหม้อต้ม คุณชายสามเซิ่งก็ถอนหายใจ

เรื่องอาหาร น้องลั่วคิดได้ถี่ถ้วนนัก!

ลั่วเซิ่งใส่ขาหมูทั้งสี่ลงในกะละมังไม้และหมักทิ้งไว้และเมื่อว่างก็สั่งหงโต้วว่า “ไปหลังรถม้าเอาโถดินเผาสีดำมา”

หงโต้วขานรับแล้วรีบนำโถดินไม่ใหญ่ไม่เล็กออกมา

โถดินไม่ได้ดูหรูหราอะไร แต่เมื่อเปิดออกมากลับเต็มไปด้วยน้ำผึ้งชั้นดี

ลั่วเซิ่งส่งสัญญาณให้หงโต้วส่งโถน้ำผึ้งไปให้ซิ่วเย่ว์ที่กำลังพลิกไม้เสียบเนื้ออยู่และเอ่ยว่า “ทาน้ำผึ้งลงบนเนื้อย่างจะมีรสชาติเยี่ยมขึ้น”

“ใช่ ใช่ ใช่ ข้าชอบใส่น้ำผึ้ง!” ดวงตาของคุณชายสามเซิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

องครักษ์ที่เริ่มว่างจ้องหมูเสียบไม้แล้วกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว

ระหว่างการเดินทางไกล ไม่ต้องกินอาหารแห้งและยังได้กินเนื้อย่างและน้ำแกงสดใหม่ ช่างโชคดีจริงๆ!

คุณชายสามเซิ่งเหลือบมองขาหมูในกะละมังไม้ “น้องหญิง เจ้าบอกว่าจะทำขาหมูขอทานมิใช่หรือ”

“หมักนานหน่อยจะได้เข้าเนื้อ จริงๆ แล้วควรหมักทิ้งไว้ทั้งวันจะดีที่สุด”

เมื่อกลิ่นหอมของเนื้อย่างแรงขึ้นเรื่อยๆ และหม้อซุปกระดูกเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น ในที่สุด ลั่วเซิ่งก็หยิบขาหมูที่หมักไว้ออกมา

วางใบบัวแห้งที่แช่น้ำจนนุ่มลงไปชั้นหนึ่ง ทาน้ำมันหมูลงไป มัดขาหมูให้แน่นและพอกด้วยโคลนหนาๆ แล้วฝังลงในกองไฟ ที่เหลือก็แค่รออย่างเดียว

“น้องหญิงเตรียมไว้แม้แต่ใบบัวแห้งด้วยหรือ” ครานี้ คุณชายสามเซิ่งนับถือจนแทบหมอบกราบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขาหมูขอทานจะอร่อยหรือไม่

อืม อย่างน้อยไม่น่าแย่กว่าไก่ขอทาน น้องหญิงรับประกันด้วยตนเอง

“เนื้อย่างพร้อมแล้ว” จู่ๆ ซิ่วเย่ว์ก็ตะโกนขึ้น

ตอนนี้เองเสียงกลืนน้ำลายพลันดังขึ้นเป็นระลอก

หงโต้วรีบหยิบเนื้อย่างยื่นให้ลั่วเซิงหนึ่งไม้ “คุณหนู กินเนื้อย่างเจ้าค่ะ”

องครักษ์ต่างส่งเสียงยินดีแล้วรีบหยิบเนื้อย่างชิ้นใหญ่ขึ้นมากิน

เมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อหมูย่าง คุณชายสามเซิ่งก็อดไม่ได้แย่งมากินหนึ่งไม้ หลังจากกัดเนื้อย่าง แล้วดวงตาก็เป็นประกาย “น้องหญิง นึกไม่ถึงว่าท่านยายขี้เหร่นอกจากจะทำเต้าฮวยอร่อยแล้ว ยังทำเนื้อย่างอร่อยด้วย”

หงโต้วที่กินจนคราบน้ำมันเต็มปากใบหน้าดูลำพองใจ “ใช่แล้ว สายตาของคุณหนูพวกข้าดีที่สุดแล้ว”

พอคุณชายสามเซิ่งนึกถึงชายหนุ่มรูปงามในชุดสีแดงที่พบในโรงน้ำชาก็อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วย “น้องหญิงตาถึงจริงๆ”

ถ้าเช่นนั้น เขาก็คงจะปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าน้องหญิงจะมาปลดเข็มขัด…เอ๊ะ แต่การตระหนักรู้นี้ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้เขามีความสุขขึ้นเลย…

กลิ่นหอมของเนื้อโชยไปไกล บนพุ่มหญ้าสูงประมาณครึ่งคนไม่ไกลนักปรากฏร่างคนหลายสิบคนซ่อนตัวอยู่ในความมืด

ชายที่มีหนวดเครากำชับเด็กหนุ่มหน้าดำที่อยู่ข้างกาย “เจ้าเจ็ด ปล้นครั้งแรกอย่าตื่นเต้นเด็ดขาด เห็นสาวน้อยคนงามนั่นหรือไม่”

เด็กหนุ่มหน้าดำพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “เห็นแล้ว”

“ประเดี๋ยวคนของพวกเราบุกเข้าไปต่อสู้กับองครักษ์ เจ้ารีบไปจัดการจับตัวสาวน้อยคนนั้น ถึงเวลานั้น คนเหล่านั้นก็ไม่กล้าขัดขืนแล้ว พวกเราอยากได้อะไรก็ย่อมได้”

“ได้” เด็กหนุ่มหน้าดำพยักหน้าอย่างแรง กำหมัดแน่นแสดงถึงความกังวลใจ

ชายที่มีหนวดเครายกมือขึ้นตบเขา “อย่ากลัวไปเลย พวกเรามีมากกว่าพวกเขา ยิ่งไปว่านั้น พวกเขายังมีผู้หญิงถึงสามคน”

“ข้าไม่กลัว”

“งั้นดีเลย พี่น้องทั้งหลายเตรียมลงมือ!”

เด็กหนุ่มหน้าดำลูบเคราเอ่ย “พี่ชาย รออีกหน่อยดีหรือไม่”

ชายที่มีหนวดเคราตกตะลึง “รออะไร”

กลิ่นหอมของเนื้อพัดโชยมา เด็กหนุ่มหน้าดำกลืนน้ำลาย “ก็รอจนกว่าขาหมูขอทานอะไรสุกก่อนค่อยลงมือดีหรือไม่”

……………………………………………………………..

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท