ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 46 กลับจวน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 46 กลับจวน

“หงโต้ว อย่าก่อเรื่อง” ลั่วเซิงขมวดคิ้วเอ่ยเตือนสาวใช้ประโยคหนึ่งแล้วหันไปยิ้มบางให้เว่ยหาน “ท่านอ๋องไม่ต้องรีบร้อนส่งมาหรอก ส่งมาตอนใดก็ได้ที่ท่านสะดวก”

เว่ยหานพยักหน้าน้อยๆ ด้วยใบหน้าเย็นชา “ทราบแล้ว หวังว่าเราจะได้พบกันอีก”

หากเป็นไปได้ เขาก็หวังว่าจะไม่ต้องพบกับลั่วเซิงจอมดูดเลือดผู้นี้อีก

แต่เมื่อนึกถึงรสชาติอาหารอันล้ำเลิศที่ได้กินในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ในใจของเว่ยหานก็สั่นไหว

ความคิดนี้อันตรายเหลือเกิน!

เว่ยหานตกใจกับความคิดของตัวเอง รีบสะบัดบังเหียนม้าวิ่งตรงไปยังประตูเมือง

เขาไม่ใช่คนที่จะยอมทำตัวต่ำต้อยเพราะอาหาร

จนกระทั่งเข้าเมืองไปแล้ว สือเยี่ยนก็ยังคงมีท่าทีสับสน “ท่านอ๋อง พวกเราเป็นหนี้คุณหนูลั่วสามพันห้าร้อยตำลึงจริงๆ หรือ”

เว่ยหานมองหน้าสือเยี่ยนอย่างเคร่งขรึมเกิดความคิดอยากจะถีบเขาลงจากม้าขึ้นมา

เราอย่างนั้นหรือ เขาต่างหากที่เป็นหนี้!

สือเยี่ยนที่ไร้ซึ่งสัญชาตญาณในการเตือนภัยนวดหน้าตนเองทีหนึ่งก่อนเอ่ย “ท่านอ๋อง สถานการณ์พิกลแปลกๆ นะขอรับ”

“หืม”

“ท่านคิดดูสิ ตอนแรกท่านได้กริชของคุณหนูลั่วมา พวกเขาเรียกสามพันตำลึงเงินใช่หรือไม่”

“อืม”

“หลังจากนั้นคุณหนูลั่วขอให้ท่านคุ้มกันนางเข้าเมือง สามพันตำลึงก็ถูกหักล้างไปแล้วใช่หรือไม่”

“อืม”

“แต่ตอนนี้เราเข้าเมืองแล้ว เหตุใดเรากลับเป็นหนี้คุณหนูลั่วสามพันห้าร้อยตำลึงเล่า”

เว่ยหาน “…” เขาไม่อยากพูด เพียงอยากจะถีบสือเยี่ยนลงจากม้าเท่านั้น

สือเยี่ยนยังคงคำนวณต่อไป “ท่านอ๋อง หากท่านไม่ใช้คำสัญญามาชดใช้หนี้ ตอนนี้ท่านจะเป็นหนี้คุณหนูลั่วแค่สามพันตำลึงเท่านั้น ยังประหยัดกว่าการพาคุณหนูลั่วเข้าเมือง…”

เว่ยหานเร่งม้าผ่านองครักษ์น้อย ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง “กลับไปถึงจวนอ๋องอย่าลืมไปทำความสะอาดถังอุจจาระ”

หนี้สินมหาศาลที่แบกอยู่ทำให้ท่านอ๋องหนุ่มเพิ่มระแวดระวังต่อลั่วเซิงขึ้นไปอีกขั้น

เขาประมาทเด็กสาวผู้นี้มากไปเสียแล้ว

เริ่มแรกเพียงบะหมี่ผัดเครื่องแกงทำให้เขาไม่ทันระวัง ใครจะรู้ว่ามีหมูตุ๋นตำรับส่านซี ไก่น้ำเต้า เนื้อปลาม้วน เมล็ดท้อไก่ทอดกรอบตามมา…

เขาจึงเป็นหนี้สูงถึงสามพันห้าร้อยตำลึงโดยไม่รู้ตัว

เว่ยหานเงยหน้ามองประตูจวนอ๋องไคหยางที่สูงศักดิ์ รู้สึกเหมือนเอาชีวิตรอดจากเคราะห์กรรมมาได้

เขาควรจะรู้สึกโล่งใจที่การคุ้มกันลั่วเซิงเข้าเมืองใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ชีวิตที่เหลือของเขาคงต้องอยู่เพื่อชดใช้หนี้แล้ว

ถนนในเมืองหลวงคึกคักมาก คุณชายสามเซิ่งมองซ้ายทีขวาที มองจนตาลายไปหมด

หงโต้วออกจากห้องโดยสารมานั่งข้างๆ คุณชายสามเซิ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี “โอ้โห ใกล้จะถึงจวนแม่ทัพใหญ่แล้ว แม่ทัพใหญ่เห็นคุณหนูกลับมาต้องดีใจมากแน่เจ้าค่ะ”

“จวนแม่ทัพใหญ่อยู่ที่ใดหรือ” คุณชายสามเซิ่งถาม

หงโต้วบุ้ยใบ้ “เดินตรงไปถึงแยกแรก เลี้ยวไปทางเหนือแล้วเลี้ยวไปทางตะวันตกอีกทีก็ถึงแล้ว”

คุณชายสามเซิ่งเกาจมูก ตัดสินใจขับรถอย่างเงียบๆ

สาวใช้ดูตื่นเต้นมาก พูดจ้อไม่หยุด “จวนแม่ทัพใหญ่ของเรานั้นคึกคักมาก หน้าประตูมีรถม้าผ่านเข้าออกเหมือนน้ำไหลไม่เคยหยุด คุณชายคงไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นแน่”

คุณชายสามเซิ่งตอบรับ “ใช่ ไม่เคยเห็น”

เขารู้สึกว่าความคึกคักนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับตน สิ่งที่เขาสนใจก็คืออยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่จะยังได้กินอาหารที่น้องหญิงทำหรือไม่

เมื่อคิดถึงอาหารอร่อยที่ได้กินในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา คุณชายสามเซิ่งจึงถามหงโต้วเบาๆ “ในจวนแม่ทัพใหญ่ น้องหญิงจะลงครัวเองหรือไม่”

หงโต้วปากกระตุก “คุณชายล้อเล่นหรือ ที่นี่ไม่ใช่จินซาแล้วก็ไม่ใช่ระหว่างทางด้วย ที่นี่คือเมืองหลวงสถานที่ที่มีชายหนุ่มรูปงามนับไม่ถ้วน คุณหนูของพวกเรากลับมาแล้วจะมีเวลาทำอาหารที่ไหนกันเล่า”

คุณชายสามเซิ่งริมฝีปากสั่นระริก

ต้องขออภัยจริงๆ เขาลืมไปแล้วว่าความชอบของน้องหญิงคืออะไร

หงโต้วชำเลืองมองท่าทางของคุณชายสามเซิ่งที่ดูเศร้าสร้อยก็ไม่ลืมที่จะแซะเพิ่มเติม “แล้วก็นะ คุณชายพาคุณหนูกลับมาแล้วก็ต้องกลับไป แม้ว่าคุณหนูจะยังทำอาหารอยู่ ท่านก็ไม่มีโอกาสได้กินแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

ไม่ มี โอกาส ได้ กิน แล้ว!

คุณชายสามเซิ่งรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด

หากน้องหญิงไม่ทำอาหารอีกแล้วก็คงไม่เป็นไร แต่หากทำอาหารแล้วเขากินไม่ได้…แค่คิดถึงความเป็นไปได้นั้น คุณชายสามเซิ่งก็รู้สึกเจ็บปวดราวถูกลูกศรพุ่งเข้าใส่หัวใจ

ไม่ได้ เขาต้องหาทางอยู่ต่อ ไม่ไปไหนทั้งนั้น!

คุณชายสามเซิ่งยืนหยัดในความเชื่อของตนเอง ก่อนจะสะบัดแส้อย่างหนักหน่วง

“ถึงแล้ว!” หงโต้วร้องด้วยความยินดี หันกายกระโดดลงจากรถม้าแล้วช่วยลั่วเซิงลงจากรถ

ลั่วเซิงเงยหน้ามองประตูใหญ่ของจวนลั่วปราดหนึ่ง

ประตูสีแดงปิดสนิท บนนั้นมีวงแหวนหัวสิงโตเด่นสง่า แต่เมื่อเทียบกับคำบรรยายของหงโต้วที่ว่าหน้าประตูอยู่คึกคักเสมอ ในตอนนี้กลับดูเงียบเหงาผิดปกติ

ลั่วเซิงรักษาสีหน้าไว้ไม่เปลี่ยนแปลง หันไปมองหงโต้ว

หงโต้วเองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พึมพำว่า “แปลก เหตุใดถึงไม่มีใครเลยนะ”

นางพูดพลางเดินไปที่ประตูแล้วเคาะประตูอย่างแรง

“ใครน่ะ” คนเฝ้าประตูชะโงกศีรษะออกมา

“เปิดประตูเร็วๆ คุณหนูกลับมาแล้ว!” หงโต้วตะโกนเสียงดัง

คนเฝ้าประตูคิดว่าตัวเองตาฝาด ขยี้ตาอย่างแรงถึงตื่นเต็มตา ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “คุณหนูกลับมาแล้ว คุณหนูกลับมาแล้ว!”

ในชั่วพริบตา ข่าวการกลับมาของลั่วเซิงก็แพร่กระจายไปทั่วจวนแม่ทัพใหญ่ ผู้คนต่างวิ่งออกมา หรือบางคนก็หลบซ่อนตัว เป็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกันอย่างมาก

ลั่วเซิงยกเท้าก้าวเข้าไปด้านใน หันไปถามชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อบ้าน “ท่านพ่อของข้าเล่า”

นางไม่มีความทรงจำของคุณหนูลั่ว แต่สามารถแสร้งเอาได้

พ่อบ้านน้ำตาไหลออกมาทันที “คุณหนู โชคดีที่ท่านกลับมา ไม่อย่างนั้น…”

“ไม่อย่างนั้นแล้วจะอะไร” ลั่วเซิงขมวดคิ้วถาม

พ่อบ้านเช็ดน้ำตา เผยสีหน้าเศร้าสลด “ท่านแม่ทัพใหญ่ถูกลอบสังหาร หมดสติมาเกือบเดือนแล้วขอรับ!”

ลั่วเซิงชะงักเท้า “ลอบสังหารหรือ”

“ใช่ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่บาดเจ็บสาหัส ช่วงหลายวันมานี้หมอหลวงมาตรวจเกือบทุกคนแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ท่านแม่ทัพใหญ่ก็ยังไม่ฟื้น หมอหลวงบอกว่า…”

ใบหน้าลั่วเซิงเคร่งขรึม “พูดให้จบ”

ในช่วงเวลาแบบนี้ นางไม่มีความอดทนจะมาทนฟังคนอื่นพูดจาอึกๆ อักๆ

พ่อบ้านหนังศีรษะชาวาบ นึกถึงความอันตรายของคุณหนู ไม่สิ คือความแข็งแกร่งต่างหากจึงไม่กล้าพูดไร้สาระต่อ “หมอหลวงบอกว่าหากท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ฟื้นขึ้นมาอีก คงจะไม่รอด…”

“พาข้าไปหาท่านพ่อ”

ลั่วเซิงสีหน้าเคร่งขรึม รู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม

ท่านแม่ทัพใหญ่ลั่วถูกลอบสังหาร นางถูกโจมตีระหว่างทาง ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือมีอะไรซ่อนเร้นกันแน่

นางคิดว่าการกลับมาที่เมืองหลวง ด้วยฐานะของคุณหนูลั่ว ปัญหายากที่ต้องแก้ไขล้วนเกี่ยวข้องกับจวนอ๋อง แต่คาดไม่ถึงว่าจวนลั่วเองก็มีปัญหาไม่น้อยเช่นกัน

แน่นอน ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่แค่ไหน อย่างไรเสียก็ต้องเผชิญหน้า

ลั่วเซิงถูกพาไปยังเรือนหลัก เมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงระเบียงก็พลันชะงักไปเล็กน้อย

หงโต้วบอกว่าในจวนลั่วมีคุณหนูทั้งหมดสี่คน ลั่วเซิงเป็นคนที่สาม แต่กลุ่มหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านอกจากสามสี่คนที่ดูมีอายุแล้ว นอกนั้นยังดูเยาว์วัยทั้งสิ้น แต่งกายอย่างสตรีที่ออกเรือนแล้วทั้งหมด

โชคดีที่ชะงักไปชั่วขณะ หญิงสาวคนหนึ่งก็สะบัดผ้าเช็ดหน้าแล้วร้องออกมาเสียงหนึ่ง “สวรรค์ คุณหนูกลับมาได้อย่างไร!”

คุณหนูหรือ

ลั่วเซิงเม้มปาก เข้าใจแล้วว่าต้องจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร

นางเดินตรงเข้าไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม กวาดตามองหญิงสาวเหล่านั้นเพื่อจดจำใบหน้าพวกนางให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม “ท่านพ่อของข้าอยู่ข้างในหรือ”

หญิงสาวที่อายุมากที่สุดเอ่ยขึ้น “นายท่านอยู่ข้างในนั่นแหละ คุณหนู ท่านกลับมาได้อย่างไร”

ลั่วเซิงไม่ตอบคำถาม แต่เดินตรงไปข้างใน

มีเสียงตะโกนดังมาจากทางด้านหลัง “เจ้าหยุดนะ!”

ลั่วเซิงหันไปมองผู้พูด เป็นหญิงสาวในอาภรณ์สีน้ำเงินผู้หนึ่งกำลังยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามา

“มีธุระหรือ” ลั่วเซิงเอ่ยถาม

สาวน้อยในชุดสีน้ำเงินแววตาดูหวาดกลัวเล็กน้อย จากนั้นก็ปลุกใจตนเองย้อนถามกลับว่า “เจ้าทำให้ท่านพ่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยังมีหน้ามาพบท่านพ่ออีกหรือ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท