ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 47 เคยเห็นมาก่อน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 47 เคยเห็นมาก่อน

สาวน้อยในอาภรณ์สีน้ำเงินดูแล้วอายุราวสิบสี่สิบห้าปี เมื่อพิจารณาจากคำพูดและการกระทำของนาง ลั่วเซิงก็คาดเดาว่านางคงเป็นคุณหนูสี่ ลั่วเย่ว์

จวนสกุลลั่วมีบุตรสาวทั้งหมดสี่คนได้แก่ คุณหนูใหญ่ลั่วอิง คุณหนูรองลั่วฉิง คุณหนูสี่ลั่วเย่ว์ ทั้งสามเป็นบุตรสาวของอนุทั้งสิ้น มีเพียงลั่วเซิงผู้เดียวที่เป็นบุตรภรรยาเอก

ลั่วเซิงยังไม่เอ่ยปาก หงโต้วก็ระเบิดความน่าเกรงขามอันน่าทึ่งของสาวใช้ใหญ่ออกมาแล้ว คิ้วโก่งชี้ขึ้น ก่อนหัวเราะเย็นชาเอ่ย “แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง คุณหนูของพวกเราเพิ่งออกจากบ้านไปไม่กี่วันก็กล้าทำหน้าบึ้งถลึงตามองคุณหนูของพวกเราแล้ว คุณหนูสี่ ท่านอยากขึ้นสวรรค์หรืออย่างไร”

ลั่วเย่ว์ใบหน้าแดงก่ำ หลบสายตาเรียบนิ่งของลั่วเซิงโดยไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เห็นจึงถลึงตาจ้องกลับไป “ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก คิดว่ายังเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือ…”

“น้องสี่ หยุดเดี๋ยวนี้…” เด็กสาวสองคนรีบวิ่งเข้ามา จับแขนลั่วเย่ว์ซ้ายขวา

เด็กสาวเรือนร่างสูงเพรียวในอาภรณ์สีม่วงมีสีหน้ากระวนกระวาย ยิ้มขอลุแก่โทษให้ลั่วเซิง “น้องสาม น้องสี่เห็นท่านพ่อตกอยู่ในสภาพนี้จึงเสียใจอย่างยิ่ง เจ้าอย่าว่านางเลยนะ”

หญิงสาวอีกคนที่มีรูปร่างผอมบางสวมชุดอาภรณ์สีเขียวก็เอ่ยกับลั่วเย่ว์เสียงนุ่มว่า “น้องสี่ ขอโทษน้องสามเถิด”

ลั่วเซิงเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ

นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสกุลลั่วเลย ฟังคนอื่นพูดมากขึ้นถึงจะเป็นการดี

เฉกเช่นตอนนี้ ลั่วอิงและลั่วฉิงดูแล้วเหมือนมีมารยาทปฏิบัติต่อนางอย่างเกรงใจ แต่ในความเป็นจริงพวกนางปกป้องคุณหนูสี่ลั่วเย่ว์ด้วยใจจริง

ไม่น่าแปลก เพราะจากคำพูดของหงโต้ว พอจะเดาได้ไม่ยากว่าในอดีตคุณหนูลั่วมักจะใช้อำนาจกดขี่พี่น้อง

เพราะฉะนั้น สามพี่น้องแม้ไม่ได้เกิดจากอนุคนเดียวกันกลับเหนียวแน่นและรักใคร่กันมาก

“พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงรอง เหตุใดพวกพี่ต้องทำตัวอ่อนน้อมต่อหน้านางอีก” ลั่วเย่ว์ชี้ลั่วเซิง อารมณ์พลุ่งพล่านไม่น้อย

อาจเป็นเพราะการถูกกดขี่มานานทำให้นางมีความกล้าที่จะแตกหักอย่างสิ้นเชิง ลั่วอิงและลั่วฉิงไม่อาจดึงลั่วเย่ว์ที่เสียการควบคุมเอาไว้ได้ ทำได้เพียงยืนฟังอย่างหวาดกลัวขณะที่นางด่าทอลั่วเซิงไม่หยุด

“เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตาอีกหรือ รีบตื่นเถิด หากท่านพ่อไม่อยู่แล้ว เจ้าก็จะเหมือนกับพวกเราที่ไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่เพียงแค่นั้น คนที่เคยถูกเจ้าข่มเหงในอดีตก็จะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า เหยียบย่ำเจ้าจนจมดิน ถึงเวลานั้นอาจทำให้จวนสกุลลั่วต้องซวยไปด้วย…”

ลั่วเซิงเดินเข้าหาลั่วเย่ว์ทีละก้าวแล้วยกมือขึ้น

ลั่วเย่ว์ถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าแดงก่ำเมื่อตระหนักถึงความขี้ขลาดของตัวเอง

ลั่วอิงยื่นมือออกไปขวาง “น้องสาม คลายความโกรธลงก่อน…”

ลั่วเซิงยกมือขึ้นตบที่แขนของลั่วอิง ในขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงก็ชี้ไปที่สายรัดอาภรณ์ของลั่วเย่ว์แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ผูกสายรัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนค่อยพูด”

ลั่วเย่ว์ก้มมองลงไปถึงเพิ่งรู้ว่าสายรัดอาภรณ์ของนางเปิดออก

นางจำได้ว่า ตอนที่อยู่ในห้องได้ยินว่าลั่วเซิงกลับมาก็ตกตะลึง รีบหยิบเสื้อคลุมที่แขวนอยู่ที่ฉากบังตา ก่อนจะรีบสวมมันแล้ววิ่งออกมาทันที

สายรัดอาจจะหลุดระหว่างที่นางวิ่ง หรืออาจเป็นเพราะนางลืมผูกมัน…

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ลั่วเย่ว์อับอายจนใบหน้าแดงก่ำ ความโกรธที่นางเคยมีต่อลั่วเซิง หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

บรรยากาศเงียบลงอย่างกะทันหัน เพราะคำพูดแผ่วเบาของลั่วเซิง

ลั่วเซิงรอจนกว่าลั่วเย่ว์จะจัดระเบียบเสื้อผ้าของนางอย่างลนลานเสร็จ ถึงค่อยเอ่ยอย่างไม่เร่งรีบ “ตอนนี้เจ้าจะเล่ามาได้หรือยังว่าการที่ท่านพ่อถูกลอบสังหารจนต้องนอนอยู่บนเตียง เหตุใดถึงเกี่ยวข้องกับข้า”

เมื่อเห็นว่าคิ้วของลั่วเย่ว์ชี้ขึ้นอย่างต้องการจะบันดาลโทสะ ลั่วเซิงก็ขมวดคิ้ว “หากการด่าทอคนสามารถแก้ปัญหาได้ จะถึงคราวให้เจ้ามาด่าหรือ”

คำพูดเดียวของลั่วเซิงทำให้ลั่วเย่ว์สะอึกจนลืมว่าจะด่าอะไร

ลั่วเซิงหันไปทางหญิงสาวในอาภรณ์ม่วง “ในเมื่อน้องสี่ไร้เหตุผลเพียงนี้ เช่นนั้นพี่หญิงใหญ่พูดเถิด”

ลั่วเย่ว์เบิกตากว้างด้วยความขุ่นเคือง

นางไร้เหตุผลหรือ ลั่วเซิงที่ไม่อาจยับยั้งตัวเองเกี้ยวพาราสีหนุ่มรูปงามมีสิทธิ์พูดคำพูดเหล่านี้ได้อย่างไร

ลั่วอิงและลั่วฉิงสบตากัน ทั้งคู่รู้สึกแปลกใจ

ดูเหมือนว่าน้องสามจะมีบางอย่างที่แปลกไป

“พี่หญิงใหญ่?”

ลั่วอิงตกใจ ได้สติกลับมา ฝืนยิ้มให้กับลั่วเซิง “น้องสามยังจำคุณชายซือได้หรือไม่”

ลั่วเซิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “จำได้”

แน่นอนว่านางจำได้ คุณชายซือที่ว่านี้ก็คือนายบำเรอที่คุณหนูลั่วฉุดคร่ากลับมาจากตลาด

แววตาลั่วอิงผุดความเกลียดชัง น้ำเสียงที่เอ่ยก็เย็นเยือกลงโดยไม่รู้ตัว “คนที่ลอบทำร้ายท่านพ่อก็คือเขา!”

ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

นางรู้ดีว่าหญิงสาวที่ชอบเลี้ยงดูชายหนุ่มนั้นสามารถทำให้เกิดปัญหาได้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่เพียงนี้!

แน่นอน ทุกคนในโลกนี้สามารถตำหนิคุณหนูลั่วได้ ยกเว้นนาง

ร่างกายนี้เป็นของคุณหนูลั่ว ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่อาจชดใช้หนี้นี้ได้

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ลั่วเซิงก็หันหลัง “ข้าขอไปดูท่านพ่อก่อน”

ลั่วเย่ว์กัดริมฝีปากขณะมองแผ่นหลังลั่วเซิง “พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงรอง พวกท่านดูสิ นางก็รู้ว่าตนไม่มีหน้าจะพูดอะไรแล้ว…”

“พอแล้ว น้องสี่ เจ้าพูดให้น้อยๆ หน่อย น้องสามเข้าไปดูท่านพ่อแล้ว เราก็เข้าไปด้วยกันเถิด” ลั่วอิงตบแขนลั่วเย่ว์ก่อนจะดึงนางเข้าไปด้านใน

เหล่าอี๋เหนียงที่ยืนอยู่ตรงระเบียงก็หลีกทางให้ลั่วเซิงเดินเข้าไป

เมื่อลั่วอิงและคนอื่นเข้าไปแล้ว สายตาของอี๋เหนียงล้วนตกลงบนร่างคุณชายสามเซิ่ง

คุณชายสามเซิ่งไม่เคยพบเจอสถานการณ์ที่หญิงสาวในห้องหอต้อนรับหญิงสาวอีกคนหลังจากรอนแรมกลับบ้านมาด้วยการด่าทอมาก่อน จนถึงตอนนี้เขาจึงยังไม่ได้สติ เดิมทีควรจะตามลั่วเซิงไปดูท่านลุงเขยด้วย แต่ก็ลืมไปเสียแล้ว

ชายหนุ่มที่ลืมเรื่องสำคัญไปเผชิญกับสายตาพินิจของหญิงสาวเหล่านั้นก็พลันกดดันจึงเผยรอยยิ้มเขินอายออกมาโดยไม่รู้ตัว

รอยยิ้มนี้ทำลายความเงียบขรึมของเหล่าอี๋เหนียงลง

“สวรรค์ นี่คือนายบำเรอที่คุณหนูพากลับมาหรือ”

“ไม่น่าเป็นไปได้กระมัง คุณหนูไม่ได้ถูกนายท่านส่งไปเรือนท่านตาหรอกหรือ ข้าได้ยินว่าตระกูลเซิ่งในจินซาเป็นตระกูลบัณฑิต จะยอมให้คุณหนูเลี้ยงดูนายบำเรอได้อย่างไร”

อี๋เหนียงท่านหนึ่งที่สวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนสะบัดผ้าเช็ดหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับเผยความลับสวรรค์ “ทำไมจะไม่ได้เล่า นายท่านของเราเองก็ยังคุมคุณหนูไม่ได้ ตระกูลเซิ่งจะคุมได้หรือ”

อี๋เหนียงคนอื่นๆ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าพร้อมกัน “น้องหก (พี่หก) เจ้าพูดมีเหตุผล!”

คุณชายสามเซิ่งหูดี แม้ความสามารถในการได้ยินของเขาจะธรรมดา การวิพากษ์วิจารณ์ของสตรีเหล่านี้ก็ดังพอให้ได้ยิน

นายบำเรอที่พากลับมาด้วย? หมายถึงเขาอย่างนั้นหรือ

เขามองซิ่วเย่ว์ที่ประหนึ่งไร้ตัวตน คุณชายสามเซิ่งคิดว่าตนไม่ได้เข้าใจผิด

นั่นต้องเป็นเขาแน่นอน ไม่มีทางใช่ท่านอาซิ่ว!

ยังจะมีเหตุผลอีกหรือ เหตุผลอะไรกัน!

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ฉะนั้น คุณชายสามเซิ่งจึงไม่อาจทนเงียบต่อไปได้อีกจึงไอเสียงเบาเพื่อหยุดเสียงวิจารณ์ของสตรีเหล่านั้น

“ข้าเป็นญาติผู้พี่คนที่สามของลั่วเซิง ทุกท่านช่วยหลีกทางหน่อย ข้าจะเข้าไปดูท่านลุงเขยของข้า”

อี๋เหนียงทุกคนเงียบพลางหลีกทางให้ เมื่อเห็นคุณชายสามเซิ่งเข้าไปในห้อง พวกนางก็รีบแลกเปลี่ยนสายตากัน

หนึ่งในอี๋เหนียงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “นึกไม่ถึงว่าคุณหนูจะนำพี่ชายกลับบ้านมาอย่างไร้ชื่อไร้สถานะ…”

คุณชายสามเซิ่งที่ได้ยินทุกคำพูดแทบจะล้มทั้งยืน

การที่เขามาส่งน้องสาวหลานนอกเข้าเมืองหลวงก็เพื่ออาหาร ไม่คิดจะแลกด้วยความบริสุทธิ์ของตนเลย อย่างน้อยก็ไม่ควรไร้ชื่อไร้สถานะกระมัง!

เมื่อเทียบกับความวุ่นวายด้านนอก ภายในห้องจมดิ่งสู่ความเงียบซึ่งชวนให้หายใจไม่ทั่วท้อง

ลั่วเซิงจ้องชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียง ในใจรู้สึกเย็นเยือกขึ้นมา

ใบหน้านี้ นางเคยเห็นมาก่อน

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท