ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 49 ข้าแตกต่าง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 49 ข้าแตกต่าง

เมื่อเห็นลั่วเซิงเหมือนยอมรับ ลั่วเย่ว์ก็เลิกคิ้ว “ท่านแอบหนีกลับมาจริงๆ ด้วย!”

ลั่วเซิงเลิกคิ้ว “แล้วจะอย่างไร จะทุบตีข้าให้ตายแทนท่านพ่องั้นหรือ”

คำพูดประโยคนี้ ทำให้ลั่วเย่ว์แทบจะกระอักเลือดปางตาย

แน่นอนว่านางไม่กล้า

ในฐานะบุตรสาวของภรรยาเอกเพียงคนเดียวและเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านพ่อ สถานะของลั่วเซิงจึงไม่อาจสั่นคลอนได้เลย

อาจกล่าวได้ว่าพอลั่วเซิงกลับมา ทั้งจวนสกุลลั่วก็ขึ้นอยู่กับนางคนเดียว

ลั่วเย่ว์รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้จึงกัดฟันและเปล่งเสียงพูดออกมาครึ่งประโยค “หากท่านพ่อฟื้น…”

ลั่วเซิงมองยังลั่วเย่ว์ด้วยรอยยิ้มที่คล้ายไม่ยิ้ม “การที่ท่านพ่อฟื้น ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดหรอกหรือ”

“เจ้า…” ลั่วเย่ว์หมดคำพูดอีกครั้ง ชี้ไปที่ลั่วเซิงด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา

ลั่วเซิงเปลี่ยนไปแล้ว!

ในอดีต ลั่วเซิงเป็นคนไร้เหตุผล หากพวกนางทำให้นางโกรธก็หยิบแส้เฆี่ยนตีแล้ว

แต่สิ่งนี้เองที่ทำให้ลั่วเซิงกลายเป็นบุคคลที่ทุกคนหลบเลี่ยง ยกเว้นพวกสุนัขรับใช้ของนาง

ลั่วเซิงในตอนนี้รู้วิธีเล่นลิ้น แต่ไม่เหมือนกุลสตรีฝีปากเก่งลับหลังผู้สูงศักดิ์ที่พวกนางไปมาหาสู่เป็นประจำ แต่เป็นฝีปากอันโหดเหี้ยม!

การกระทำนี้รับมือยากกว่าพวกฝีปากเก่งลับหลังเสียอีก

เมื่อนางสู้ไม่ได้จึงรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก หากทะเลาะชนะ บางทีอีกฝ่ายคงไม่กล้าฝีปากเก่งแล้วก็จะเหลือเพียงความโหดเหี้ยม

เมื่อเห็นว่าลั่วเย่ว์หมดคำพูด ลั่วเซิงจึงถามเสียงราบเรียบ “ใครสอนให้เจ้าชี้หน้าพูดคุยกับข้า อี๋เหนียงของเจ้าหรือ”

ทันใดนั้น ใบหน้าของลั่วเย่ว์ก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ความตื่นตระหนกในดวงตาไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้อีกต่อไป “ไม่เกี่ยวกับอี๋เหนียงของข้า เจ้า เจ้าอย่าหาเรื่องคนอื่นนะ!”

ลั่วเซิงพูดถึงท่านแม่ผู้ให้กำเนิดของลั่วเย่ว์ทำให้สาวน้อยตกใจอย่างยิ่ง

บัดนี้ท่านพ่อหมดสติ หากลั่วเซิงลงมือกับท่านแม่ผู้ให้กำเนิดของนาง พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงรองคงขวางนางไม่ได้ สำหรับพี่ชายบุญธรรมทั้งห้า… ลั่วเย่ว์นึกถึงพี่ชายบุญธรรมก็ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ

แม้นางจะยังเด็กแต่นางก็รู้ดีว่าพี่ชายบุญธรรมจะต้องเข้าข้างลั่วเซิงแน่นอน ใครใช้ให้ลั่วเซิงเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนตาของท่านพ่อล่ะ

อย่างน้อยจนกว่าอำนาจที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้จะตกไปอยู่ในมือของพี่ชายบุญธรรมสักคน พี่ชายบุญธรรมย่อมสุภาพนอบน้อมต่อลูกสาวสุดที่รักของท่านพ่อ

ลั่วเย่ว์มองยังแม่ทัพใหญ่ลั่วที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและไร้เรี่ยวแรง

หากท่านพ่อฟื้นคงจะดีไม่น้อย พอรู้ว่าลั่วเซิงแอบหนีกลับมาเมืองหลวงคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นลั่วเซิงจบไม่สวยแน่!

เมื่อเห็นสาวน้อยตกใจกลัวพอสมควรแล้ว ลั่วเซิงก็เอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้าหวังเพียงว่าน้องสี่จะพึงระลึกไว้เสมอว่าคำพูดและการกระทำที่ไร้มารยาทและไม่ถูกกาลเทศะของเจ้าจะทำให้อี๋เหนียงของเจ้าเดือดร้อนไปด้วย เพราะอย่างไรเจ้าก็ได้อี๋เหนียงเลี้ยงดูมา”

ลั่วเย่ว์เม้มริมฝีปากแน่น กลั้นคำพูดที่อยากโต้เถียงเอาไว้

ลั่วเซิงบอกว่านางไร้มารยาทแล้วนางมารยาทดีอย่างนั้นหรือ เลี้ยงดูชายหนุ่ม เกี้ยวพาราสีชายหนุ่ม ลั่วเซิงมีมารยาทอย่างนั้นหรือ

แม้แต่คุณชายสามเซิ่งก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดในใจ เอ๊ะ น้องหญิงห้ามผู้อื่นทำ แต่ให้ตนเองทำได้นี่นา แบบนี้ไม่น่าถูกนะเพราะยากที่จะโน้มน้าวจิตใจทุกคน

ลั่วเซิงราวกับคาดเดาความคิดของทุกคนออกจึงโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย “อย่างไร ไม่ยอมงั้นหรือ คิดว่าข้าต่างหากที่ไร้มารยาทที่สุดใช่หรือไม่”

ทุกคนนิ่งเงียบเป็นการยอมรับ

แต่ไม่กล้าปริปากพูด บัดนี้ ลั่วเซิงเล่นลิ้นเก่งและดุร้ายนัก

ภายใต้ความเงียบงันนี้ ลั่วเซิงกวาดมองใบหน้าของลั่วฉิงสามพี่น้องและเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ข้าแตกต่างจากพวกเจ้า เพราะข้าไม่มีแม่”

ทุกคนยังคงเงียบต่อไป

สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ทุกคนไร้คำพูด

คุณชายสามเซิ่งมองไปที่ลั่วเซิงด้วยความเห็นอกเห็นใจและรู้สึกผิด

เมื่อครู่นี้ เขายังรู้สึกว่าน้องหญิงทำไม่ถูก พูดไม่ออกจริงๆ

น้องหญิงไร้มารดาตั้งแต่เล็กน่าสงสารเพียงใด การที่นางสามารถเติบโตมาได้อย่างงดงามและมีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมเพียงนี้นั้นยากเย็นเพียงใด ยังจะกล้าร้องขออะไรเพิ่มได้อีกเล่า

เมื่อเห็นว่าสามารถคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัดแล้วจึงตัดสินใจเข้าประเด็น “อีกอย่าง แทนที่จะชี้หน้าทะเลาะกับข้า หาทางให้ท่านพ่อฟื้นขึ้นมาไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดหรอกหรือ”

ลั่วเย่ว์กัดริมฝีปากพึมพำ “พูดง่าย หมอหลวงมาดูตั้งหลายคนแล้ว หากท่านพ่อฟื้นได้จริง คงไม่รอถึงตอนนี้หรอก”

นางพูดเบามาก เห็นได้ชัดว่านางไม่กล้าเผชิญหน้ากับลั่วเซิงอย่างดุดันแล้วในตอนนี้

ลั่วเซิงเป็นคนใจกว้าง เมื่อเห็นแม่นางน้อยก้มศีรษะลงก็ไม่ได้คิดต่อความยาวสาวความยืดและเอ่ยกับอวิ๋นต้งว่า “หมอหลวงทุกคนล้วนหมดหนทางรักษาอย่างนั้นหรือ”

อวิ๋นต้งสีหน้าเคร่งขรึมและพยักหน้า

ในเวลานี้เอง ตรงบริเวณประตูก็มีการเคลื่อนไหว ชายสองคนก็เดินตามกันเข้ามา

คนข้างหน้าคือชายหนุ่มรูปหล่อ คนที่ตามหลังเล็กน้อยคือชายชราผมขาวและถือกล่องยาอยู่ในมือ

“ท่านพ่อบุญธรรมเป็นอย่างไรบ้าง” ขณะพูดชายหนุ่มก็เพิ่งสังเกตเห็นลั่วเซิงจึงชะงักและเผยสีหน้าประหลาดใจ “น้องสาม เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

“เรียกข้าว่าลั่วเซิงหรือคุณหนูสาม” ลั่วเซิงไม่ตอบคำถามของผู้มาเยือน

อวิ๋นต้งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปาก “คุณหนูสามรีบกลับมาเยี่ยมพ่อบุญธรรม ข้าลืมบอกพี่ใหญ่ไป”

เพียงชั่วครู่ ลั่วเซิงก็รู้สถานะของผู้มาเยือน เขาคือผิงลี่บุตรบุญธรรมคนแรกของแม่ทัพใหญ่ลั่ว

เมื่อเทียบกับบุตรบุญธรรมคนอื่นที่ประจำการยังสถานที่ต่างๆ ผิงลี่อยู่ในเมืองหลวงและรอฟังคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่ลั่ว แสดงให้เห็นว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง

เห็นได้ชัดว่าผิงลี่เป็นคนช่างพูด เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ถอนใจ “โทษน้องห้าไม่ได้หรอก ท่านพ่อบุญธรรมล้ม ทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด…หมอหลวงหวังเชิญตรวจอาการของท่านพ่อบุญธรรมเถิด”

หมอหลวงหวังก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจอาการ ผิงลี่และอวิ๋นต้งถามขึ้นพร้อมกัน “เป็นอย่างไรบ้าง”

หมอหลวงหวังลูบเคราพลางส่ายศีรษะ “แม่ทัพใหญ่ไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นเลย หากยังคงเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะอยู่ไม่ได้ไม่เกินสองวัน…”

ภายในห้องเงียบสงัด

“ข้าส่งหมอหลวงหวังออกไปก่อน” ผิงลี่เอ่ย

“ช้าก่อน”

ทุกคนมองไปยังคนที่เปล่งเสียง

ลั่วเซิงเดินไปหาหมอหลวงหวังและถามด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ท่านหมอพอจะบอกได้หรือไม่ว่าสาเหตุที่ท่านพ่อข้าไม่ฟื้นเป็นเพราะอะไร”

หมอหลวงกลุ่มนี้ถกเถียงประเด็นนี้มานานแล้ว หมอหลวงหวังประสานมือพลางตอบว่า “อาจเพราะตอนนั้นท่านแม่ทัพใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายจึงตอบสนองด้วยการหมดสติเพื่อปกป้องตนเอง แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเราเท่านั้น เพราะบางโรคซับซ้อนและประหลาดเกินกว่า…”

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีทางรักษาอาการป่วยของพ่อข้าและไม่มีใครสามารถรักษาเขาได้แล้วใช่หรือไม่” อารมณ์ของลั่วเซิงจมดิ่งลงเล็กน้อย

หากไม่สามารถช่วยแม่ทัพใหญ่ลั่วกลับมาได้ นางจะต้องสูญเสียสถานะอันสูงศักดิ์ในฐานะลูกสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วไป นางไม่มีทางละทิ้งความคิดที่จะแก้แค้นให้จวนเจิ้นหนานอ๋อง เพียงแต่จะก้าวสู่หนทางที่ลำบากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เมื่อคุณหนูลั่วสูญเสียการคุ้มครองจากบิดาของนางและกลายเป็นทาสที่ถูกซื้อขาย นางต้องหาวิธีหลุดพ้น ต้องหลบหนีออกจากวังวนของเมืองหลวงชั่วคราว

ทางอ้อมเช่นนี้ นางไม่อยากพบเจอ

ในเวลานี้ ลั่วเซิงก็นึกถึงใครบางคน หมอเทวดาหลี่ต้องช่วยแม่ทัพใหญ่ลั่วได้อย่างแน่นอน!

หลังจากนั้น นางก็ถอนหายใจในใจ

ตอนนั้นหมอเทวดาหลี่ก็อายุมากแล้ว ผ่านมาสิบสองปีอาจจะไม่อยู่แล้ว หากยังมีชีวิตอยู่ จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไปเร้นกายอยู่ที่ใด เมื่อพิจารณาจากอาการของแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้ว น่าจะรอไม่ไหว

ใครจะคาดคิดว่าก่อนที่หมอหลวงหวังจะเอ่ยปากหลังจากได้ยินคำพูดของลั่วเซิง ผิงลี่ก็ไอเสียงเบาและเอ่ยขึ้นมาว่า “บนโลกนี้คนที่สามารถช่วยพ่อบุญธรรมได้ อันที่จริงมีหนึ่งท่านก็คือหมอเทวดาหลี่ที่อาศัยอยู่ชานเมืองหลวง”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท