ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 51 ช่างน่าขัน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 51 ช่างน่าขัน

คุณชายสามเซิ่งถูกลั่วเซิงดึงออกมานอกประตูอย่างมึนงง เมื่อเห็นสตรีออกเรือนแล้วซึ่งยืนเรียงแถวกันอยู่ตรงระเบียงก็ตกใจจนได้สติกลับมาทันที

“น้องหญิง…”

ลั่วเซิงยิ้มปลอบใจคุณชายสามเซิ่ง จากนั้นก็มองไปทางกลุ่มสตรีเหล่านั้น “อี๋เหนียงใหญ่…”

สตรีอายุมากที่สุดรีบก้าวออกมา “คุณหนูมีอะไรหรือ”

ตอนนี้ลั่วเซิงจึงเพิ่งจะมีเวลาว่างสังเกตอี๋เหนียงใหญ่อย่างละเอียด

นางดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม ดูแล้วเหมือนอายุแค่สามสิบต้นๆ เท่านั้น แต่ความจริงแล้วอายุน่าจะมากพอสมควร รวบผมไว้อย่างเป็นระเบียบ

มองดูแล้วไม่เหมือนพวกชอบก่อเรื่อง

“หาที่พักให้พี่ชายและองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยนะเจ้าคะ” พอกล่าวถึงตรงนี้ ลั่วเซิงก็เรียกซิ่วเย่ว์ออกมาข้างหน้า “นี่คือท่านอาซิ่วที่ข้าพากลับมาจากทางตอนใต้ ต่อจากนี้จะมาทำงานที่บ้านนี้ เบี้ยรายเดือนก็ให้ตามหงโต้วแล้วกัน”

หน้าอกของหงโต้วราวกับมีธนูปักอยู่

นึกไม่ถึงว่าจะอยู่ระดับเท่าเทียมกับอาซิ่วแล้ว น่าอับอายขายหน้านัก

แต่เมื่อคุณหนูเป็นคนจัดแจง ไม่ยินดีก็ต้องอดทนไว้

สาวใช้มองค้อนซิ่วเย่ว์อย่างเงียบๆ ลอบเอ่ยในใจว่าประมาทไปแล้ว เป็นเพราะตอนนั้นนางอยากกินเต้าฮวยอร่อยๆ ให้หนำใจแท้ๆ ใครจะรู้ว่าว่าจะชักนำหมาป่าเข้าบ้านเสียแล้ว

“คุณหนูวางใจเถอะ ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้” อี๋เหนียงใหญ่รีบรับปาก

ประสบการณ์หลายปีทำให้นางเข้าใจ คุณหนูพูดคำไหนก็คือคำนั้น คุณหนูอยากได้อะไรก็ต้องได้สิ่งนั้น ทำเช่นนี้ถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข

ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อยถือเป็นการตอบรับอี๋เหนียงใหญ่แล้วจึงก้าวออกไปข้างนอก

มีเงาร่างหนึ่งถลาเข้ามา คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว!”

ลั่วเซิงขยับหลบตามสัญชาตญาณ มองผู้มากระโจนเข้าใส่หงโต้ว

หงโต้วดึงนางออกด้วยสีหน้ารังเกียจ นวดแขนพลางเอ่ยอย่างเดือดดาล “โค่วเอ๋อร์ เจ้าจะชนข้าให้ตายเลยหรืออย่างไร!”

ที่แท้เป็นโค่วเอ๋อร์สาวใช้อีกคนของคุณหนูลั่ว

ดูแล้วโค่วเอ๋อร์และหงโต้วอายุพอๆ กัน ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวผ่อง ดวงตาที่งดงามแต่แฝงไปด้วยความอ่อนแอคลอคลองไปด้วยน้ำตาขณะมองมาที่ลั่วเซิง

ลั่วเซิงพลันนึกถึงทุกครั้งที่หงโต้วเอ่ยถึงโค่วเอ๋อร์จะยื่นปากพูดประโยคนี้ คุณหนูอย่าไปคิดถึงนังตัวน่ารำคาญนั่นเลย มีบ่าวอยู่ยังไม่พออีกหรือเจ้าคะ

ยามนี้ได้พบหน้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอุปนิสัยเป็นเช่นไร

สำหรับคนที่ไม่อาจเห็นพ้องต้องกัน ลั่วเซิงไม่อนุญาตให้อยู่ข้างกายเพื่อสร้างปัญหา อย่างน้อยก็ไม่ต้องมารับใช้ใกล้ชิด

“ข้ากลับห้องก่อน” ลั่วเซิงไม่รู้จักทาง แต่มีหงโต้วกับโค่วเอ๋อร์อยู่ ตนก็ไม่ต้องกังวลใจในเรื่องนี้

ระหว่างทางกลับเรือนโค่วเอ๋อร์ก็พูดไม่หยุด

“คุณหนูท่านกลับมาทำไมไม่ให้คนส่งจดหมายมาล่ะเจ้าคะ บ่าวจะได้ไปรอต้อนรับที่นอกเมือง ทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ หากไปเจอพวกไม่มีตาเข้าจะทำอย่างไร

“ใช่เจ้าค่ะ บ่าวรู้ว่าพวกไม่มีตาเหล่านั้นเอาชนะท่านไม่ได้ แต่ว่าท่านจะลงมือเองตลอดไม่ได้นะเจ้าคะ สตรีสูงศักดิ์ทุกตระกูลล้วนไม่ลงมือเองทั้งนั้น มิใช่ว่ายังมีหงโต้วกับบ่าวหรือเจ้าคะ…”

“ฮือๆๆ คุณหนูผอมลง บ่าวบอกแล้วว่าไปจินซาไม่เอาบ่าวไปด้วยไม่ได้ หงโต้วจะมีประโยชน์อะไร…”

ในที่สุดหงโต้วก็ทนไม่ไหวระเบิดออกมา “โค่วเอ๋อร์ หุบปากซะ!”

การที่ท่านอาซิ่วปรากฏตัวกลางคันทำให้ฐานะของสาวใช้นางตกอยู่ที่นั่งลำบากมากพอแล้ว โค่วเอ๋อร์สาวใช้จอมแสบยังมาซ้ำเติมนางอีก

โค่วเอ๋อร์หรี่ตา ชัดเจนว่านางไม่เกรงกลัวหงโต้วเลย “หงโต้ว ตอนเจ้าออกจากจวนข้าก็เคยเตือนแล้ว เมื่อถึงจวนท่านตาของคุณหนูต้องเก็บอารมณ์ของเจ้าให้อยู่ ตระกูลเซิ่งเป็นตระกูลบัณฑิต เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ จะทำให้คุณหนูขายหน้าเอาได้…”

“ไม่ได้แล้ว ไม่ได้แล้ว วันนี้หากข้าไม่ได้ทุบตีเจ้าคงจะไม่ได้แล้ว!” หงโต้วเหวี่ยงกำปั้นชกออกไป

มองดูสาวใช้สองคนตะลุมบอนกัน ซิ่วเย่ว์ที่เดินตามหลังลั่วเซิงมาเงียบๆ ก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก

นางคิดว่าสาวใช้อย่างหงโต้วนั้นหายากแล้ว ไม่คิดว่ายังมีโค่วเอ๋อร์อีกคน…

ซิ่วเย่ว์มองลั่วเซิ่งเงียบๆ รู้สึกสับสนขึ้นมา ดูจากตรงนี้ คุณหนูลั่วกับท่านหญิงพวกนางแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

พลันให้นึกถึงซูเฟิง เฉาฮวา แล้วก็เจี้ยงเสวี่ย คนไหนไม่ใช่คนที่มีความสามารถและโดดเด่นบ้าง ถึงแม้จะเขลาเช่นนางก็ยังมีฝีมือการทำอาหารที่เหนือชั้น

มองกลับมาที่สาวใช้ของคุณหนูลั่ว เมื่อเห็นใบหน้าชีวิตชีวาและเปี่ยมพลังของสาวใช้ทั้งสองคนนี้ ดวงตาของซิ่วเย่ว์ก็มืดมนลง

ธรรมดาแล้วจะอย่างไร สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ก็พอแล้ว พวกเจี้ยงเสวี่ยกลับไม่อยู่แล้ว

เดือนสามเป็นช่วงที่สวนในสกุลลั่วดอกไม้บานสะพรั่ง สาวใช้ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ลั่วเซิงเดินอยู่ท่ามกลางความครึกครื้นนี้ ยกมุมปากยิ้มโดยไม่รู้ตัว

ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว นางเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ

แสงแดดดีมาก ริมทางมีดอกโบตั๋นราวกับเพลิงเร่าร้อนบานสะพรั่ง ลั่วเซิงยกชายกระโปรงเดินเข้าไปยังเรือนที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางดอกไม้ต้นไม้ช้าๆ

บุตรบุญธรรมทั้งสามคนของแม่ทัพลั่วทราบข่าวว่าลั่วเซิงกลับมาแล้วก็รีบทยอยกันกลับมา ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ว่าลั่วเซิงปิดประตูไม่รับแขก

บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ของพ่อบุญธรรม ในอดีตก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับพี่บุญธรรมเหล่านี้อยู่แล้ว

“พี่ชายใหญ่ น้องสามบอกว่าพรุ่งนี้จะไปเชิญหมอเทวดาหลี่จริงหรือ” ชายหนุ่มในอาภรณ์ยาวสีฟ้าเดินมาด้านข้างผิงลี่และเอ่ยถามขึ้น

ผิงลี่เหลือบมองชายหนุ่มกล่าวเตือนด้วยความหวังดี “น้องสี่ ต่อไปเจ้าอย่าเรียกนางว่าน้องสามจะดีที่สุด เรียกว่าคุณหนูสามดีกว่า”

ชายหนุ่มอดขมวดคิ้วไม่ได้ “นี่หมายความว่าอย่างไร”

“นางไม่ชอบ”

ชายหนุ่มขยับริมฝีปากตั้งใจจะพูดบางสิ่ง สุดท้ายก็กลืนคำพูดนั้นลงไปและยิ้มเอ่ย “ขอบคุณพี่ชายใหญ่มากที่เตือนข้า คุณหนูสามจะไปหาหมอเทวดาหลี่ เหตุใดพี่ชายใหญ่ถึงไม่ห้ามเล่า”

“ห้ามรึ” ผิงลี่ราวกับได้ยินคำพูดน่าขบขันอย่างนั้น “น้องสี่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าคุณหนูสามเป็นใคร นางเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านพ่อบุญธรรมนะ ข้าจะห้ามได้อย่างไร”

“แต่ท่านพ่อบุญธรรมป่วยหนัก…”

ผิงลี่เอ่ยแทรกชายหนุ่มนิ่งๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ยิ่งต้องดูแลคุณหนูสามให้ดี”

ชายหนุ่มเงียบไปชั่วครู่ก็พยักหน้าเบาๆ “พี่ชายใหญ่พูดถูกแล้ว คุณหนูสามอยากทำอะไรก็ปล่อยนางไปเถอะ”

ก็แค่สาวน้อยไม่เอาไหนคนหนึ่งเท่านั้น หากพวกเขาไปห้ามขึ้นมาอาจเกิดเรื่องยุ่งยากได้

พี่ชายใหญ่ไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว

การกลับมาเมืองหลวงของลั่วเซิงนั้นไม่เพียงแต่ทำให้จวนแม่ทัพลั่วไม่สงบสุข

ยังทำให้หมอหลวงหวังที่เคยรักษาแม่ทัพลั่วและกลับมายังสำนักแพทย์หลวงโกรธจนเครากระดิก “มีอย่างที่ไหนกัน ช่างเย่อหยิ่งและโง่เขลายิ่งนัก! ”

“สหายหวังเหตุใดโกรธถึงเพียงนี้” สหายร่วมงานเอ่ยถาม

หมอหลวงหวังท่าทางโกรธจัดไม่พูดไม่จา

สหายร่วมงานทุกคนยิ่งอยากรู้อยากเห็น

“สหายหวังเพิ่งกลับมาจากจวนแม่ทัพใหญ่ล่ะสิ หรือว่าคนที่จวนแม่ทัพใหญ่ทำให้ท่านลำบากใจ”

เรื่องแม่ทัพลั่วบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติได้รับความสนใจทั้งเมืองหลวง สำหรับหมอหลวงทุกคนยิ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด

หมอหลวงทุกคนที่นี่ล้วนไม่มีใครไม่เคยไปจวนแม่ทัพใหญ่

เมื่อนึกถึงอาการบาดเจ็บของแม่ทัพลั่วที่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย หมอหลวงหวังผู้โชคร้ายจะประสบชะตากรรมอันเลวร้ายที่จวนแม่ทัพใหญ่ก็ไม่แปลกอะไร

“บุตรสาวภรรยาเอกของแม่ทัพลั่วกลับมาเมืองหลวงแล้ว”

หมอหลวงทุกคนต่างตกใจ “อะไรนะ คุณหนูลั่วที่กล้าเกี้ยวพาราสีไคหยางอ๋องกลางตลาดคนนั้นน่ะหรือ”

ในบรรดาพวกเขา คนส่วนใหญ่ไม่เคยพบคุณหนูลั่วมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครไม่รู้จัก

หมอหลวงหวังพยักหน้าด้วยความโกรธ “ก็คุณหนูลั่วคนนั้นนั่นแหละ! คาดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะลั่นวาจาว่าไปเชิญหมอเทวดาหลี่ คิดจะใช้อำนาจข่มท่าน!”

“ใช้อำนาจข่มหมอเทวดาหลี่รึ ไร้สาระ!” หมอหลวงผู้หนึ่งโกรธจัด

หมอหลวงอีกคนสีหน้าเต็มไปด้วยควาโกรธเช่นกัน “ช่างน่าขัน! ”

“ไร้ยางอายสิ้นดี!” หมอหลวงทุกคนต่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ตามที่หมอหลวงปล่อยข่าว คุณหนูลั่วคิดจะใช้อำนาจบีบบังคับหมอเทวดาหลี่ให้รักษาบิดาของนาง เรื่องน่าขันนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท