ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 52 ไม่ตกใจ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 52 ไม่ตกใจ

“พรุ่งนี้คุณหนูลั่วจะไปบีบบังคับหมอเทวดาหลี่ให้รักษาแม่ทัพลั่วหรือ”

“จุ๊ๆ มีลูกสาวน่ากังวลเช่นนี้ช่างเป็นเวรเป็นกรรมเสียจริงเชียว”

“คุณหนูลั่วท่านนี้เกรงว่าจะอวดดีไม่ได้นาน”

“ก็ใช่ หลายปีมานี้นังเด็กคนนี้ไม่เคยทำเรื่องดีๆ สักเรื่อง ไม่รู้ว่าล่วงเกินคนไปเท่าไหร่แล้ว”

เรื่องนินทาทำนองนี้ไม่รู้ว่าถูกกล่าวถึงในจวนอื่นๆ แล้วเท่าใด ทั่วเมืองหลวงต่างให้ความสนใจต่อจวนแม่ทัพลั่ว การกลับมาของลั่วเซิงทำให้ความสนใจพุ่งตรงมายังตัวนางอย่างง่ายดาย

ภายในศาลาพักร้อนของสวนดอกไม้หลังจวนอันกั๋วกง หญิงสาวใบหน้ารูปไข่เอ่ยเยาะเย้ยไม่หยุด “สมกับเป็นคุณหนูลั่ว สามารถทำเรื่องใหญ่ดึงดูดความสนใจผู้คนออกมาได้”

จวนสกุลลั่วมีคุณหนูอยู่สี่คน แต่หากเอ่ยถึงคุณหนูลั่วย่อมรู้ว่าหมายถึงลั่วเซิง

หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชา “เป็นเรื่องน่าอับอายทั้งนั้น พวกเรารอดูอะไรสนุกๆ ก็พอ”

หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ยกถ้วยน้ำชาขึ้น สายตามองออกไปที่พุ่มดอกไม้นอกศาลา “พรุ่งนี้ข้าก็จะไปเชิญหมอเทวดาหลี่ด้วย”

หญิงสาวอีกคนตกใจ “เพื่อรักษาโรคของฮูหยินกั๋วกงใช่หรือไม่ เจ้ามิใช่ว่าบอกว่าสองวันก่อนพี่ชายของเจ้าไปเชิญมาแล้วหรอกหรือ”

ที่แท้หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ก็เป็นคุณหนูของจวนอันกั๋วกง นามว่าหานซวง

หญิงสาวอีกคนฐานะก็สูงศักดิ์มากเช่นกัน คือท่านหญิงน้อยเว่ยเหวินแห่งจวนผิงหนานอ๋อง

กล่าวถึงจวนผิงหนานอ๋อง ในเมืองหลวงแทบไม่มีใครไม่รู้จัก

จวนผิงหนานอ๋องแห่งนี้ช่างน่าทึ่งนัก

กฎระเบียบของต้าโจวที่มีมาแต่ไหนแต่ไร หลังจากท่านอ๋องบรรลุนิติภาวะจะต้องไปจากเมืองหลวงเพื่อดูแลเขตปกครองของตนเอง กลับเข้าเมืองหลวงไม่ได้อีกต่อไป ในขณะที่ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาทเมื่อเจ็ดปีก่อน ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณ คนของจวนผิงหนานอ๋องจึงได้ย้ายกลับเมืองหลวง ได้รับความร่ำรวยมั่งคั่งภายใต้พระบาทโอรสสวรรค์

ท่านอ๋องที่บัดนี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงได้นอกจากจวนผิงหนานอ๋องแล้วก็มีแค่ไคหยางอ๋องที่อายุครบกำหนดแล้วแต่ยังไม่ได้ย้ายไปยังเขตปกครองของตน

หากเป็นเช่นนี้ หลานสาวของฮ่องเต้ถึงจะมีไม่น้อย แต่มีเพียงแค่เว่ยเหวินที่อยู่ในเมืองหลวงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทอีก

จูหานซวงแสดงสีหน้าโกรธแค้น “หมอเทวดาหลี่ไม่พบพี่ชายข้า ในเมื่อลั่วเซิงไปเชิญหมอเทวดาหลี่ได้ ข้าก็ไปเชิญเขาเพื่อท่านแม่ของข้าได้เหมือนกัน”

จะได้ไปดูด้วยว่าลั่วเซิงจะอับอายอย่างไร

เว่ยเหวินรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้จูหานซวงกับลั่วเซิงเป็นศัตรูกันจึงยิ้มเอ่ย “หานซวง เจ้ายังโกรธแทนเสด็จอาเล็กอยู่หรือ”

คนที่ถูกเว่ยเหวินเรียกว่าเสด็จอาเล็กก็คือไคหยางอ๋อง

จูหานซวงใบหน้าแดงก่ำเอ็ดขึ้นว่า“ท่านหญิงอย่าพูดจาซี้ซั้วนะ”

เว่ยเหวินเหลือบมองจูหานซวงพลางเอ่ยด้วยสีหน้าหยอกล้อ “เราสนิทกับขนาดไหน เจ้ายังจะปิดบังข้า แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังเศร้ามาก…”

“เศร้าเรื่องอะไรหรือ” จูหานซวงเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว

เว่ยเหวินถอนใจ “เราเป็นสหายที่ดีต่อกันแท้ๆ หากเจ้าสมปรารถนาแล้ว ต่อไปข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่าท่านอาสะใภ้มิใช่หรือ”

เสด็จอาผู้นี้เมื่อเทียบกับเสด็จพ่อและเสด็จลุงแล้วอายุยังน้อยมาก พระชายาในอนาคตไม่แน่ว่าอาจเป็นสหายของนางเอง คิดแล้วก็รู้สึกเก้อเขินขึ้นมา

แก้มทั้งสองข้างของจูหานซวงยิ่งแดงขึ้น พลางตำหนิว่า “ท่านหญิง หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว”

ภายในศาลาพักร้อน บรรยากาศดูผ่อนคลายลง หลังจากเอ่ยเรื่องความในใจของหญิงสาว

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่อากาศดี เหมาะสำหรับการออกจากบ้านไปดูความคึกคัก

ณ สถานที่ที่หมอเทวดาหลี่พักอาศัยอยู่ พอเด็กชายเฝ้าประตูเปิดประตูออกแต่เช้าตรู่ก็ต้องตกใจจนหดกายกลับเข้าไป

เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดข้างนอกถึงได้มีคนเยอะขนาดนี้

ปกติมีคนมาหาท่านหมอจำนวนมากอยู่แล้ว ส่งผลให้สถานที่รกร้างว่างเปล่าหน้าประตูมีโรงน้ำชามาตั้งตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ถึงขั้นมีแผงขายอาหาร แต่ก็ไม่เคยมีคนจำนวนมากเท่าวันนี้

ถึงอย่างไรท่านหมอก็ไม่พบใครง่ายๆ หนึ่งวันจะรักษาอย่างมากแค่สามคนเท่านั้น

เด็กชายเฝ้าประตูกวาดสายตามองออกไปข้างนอกอย่างสงสัย

หากมองไม่ผิด โรงน้ำชามีคนนั่งเต็มแล้ว ยังมีคนพกเก้าอี้พับขนาดเล็กมาเองจำนวนมาก

ไม่ต้องพูดถึงเด็กเฝ้าหน้าประตูที่ดูสับสน ผู้คนที่รอข้างนอกก็เริ่มหมดความอดทน หันมองไปรอบๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

มิใช่ว่าวันนี้บุตรสาวของแม่ทัพลั่วจะมาข่มขู่ท่านหมอหรอกหรือ เหตุใดยังไม่เห็นมา

คนกลุ่มหนึ่งกำลังบ่นพึมพำก็เห็นรถม้าคันหนึ่งที่ประดับประดาอย่างงดงามเคลื่อนที่เข้ามาอย่างเชื่องช้า

“มาแล้วใช่หรือไม่” ผู้คนต่างว้าวุ่น

รถม้าหยุดลง มีสาวใช้ประคองหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าคนหนึ่งลงมา

เด็กสาวมีคิ้วทรงใบหลิว ใบหน้ารูปไข่ งดงามยิ่งนัก

มีคนจดจำตัวตนของเด็กสาวได้อย่างรวดเร็ว “ที่แท้คือคุณหนูรองแห่งจวนอันกั๋วกงนี่เอง”

จูหานซวงเดินเข้ามาใกล้ สาวใช้เดินไปหาเด็กเฝ้าประตูเพื่อรับป้ายหมายเลข

นี่คือกฎที่หมอเทวดาหลี่กำหนดไว้ แต่ละวันจะแจกป้ายหมายเลขตามจำนวนที่กำหนด คนที่มีป้ายหมายเลขเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์นำเสนอของที่นำมา

พอจูหานซวงได้รับป้ายหมายเลขก็มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นลั่วเซิง นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อยรอคอยอย่างเงียบๆ

เสียงกีบเท้าม้าดังขึ้น เมื่อผู้คนมองไปตามเสียงนั้นก็พลันเกิดความโกลาหลขึ้นชั่วขณะ

“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นไคหยางอ๋อง!”

จูหานซวงบีบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว คำถามนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา

ไคหยางอ๋องกลับมายังเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใดกัน แล้วเหตุใดถึงมาหาหมอเทวดาหลี่ หรือว่าเขาไม่สบาย

เมื่อชายหนุ่มในชุดแดงพลิกกายลงจากหลังม้าเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จูหานซวงก็ทั้งประหม่า ทั้งตื่นเต้น

คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบกับเขาโดยบังเอิญ…

เว่ยหานเห็นความคึกคักที่บริเวณหน้าเรือนพักของหมอเทวดาหลี่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

คนมากขนาดนี้เลยหรือ

ตอนแรกเขาคิดจะล่าถอย แต่คิดดูแล้วชื่อเสียงของหมอเทวดาหลี่นับวันยิ่งแผ่ไพศาล คนมารักษานับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นจึงทำให้ล้มเลิกความคิดเดิมไป

หลังจากที่ได้รับป้ายหมายเลขมา เว่ยหานก็เดินมาถึงสถานที่รอ คนละแวกนั้นต่างลุกขึ้นทำความเคารพ

“มาหาหมอเหมือนกัน ทุกคนไม่ต้องมากพิธี” เว่ยหานพูดอย่างเฉยเมย ก้มศีรษะไม่พูดอะไรอีก

ทุกคนต่างรู้ว่าไคหยางอ๋องไม่ชอบพูดคุยกับใครจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน

สถานการณ์ตรงหน้าเงียบสงบลง กระทั่งรถม้าประดับม่านสีเขียวคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาช้าๆ

เว่ยหานรู้สึกว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

หากพูดถึงความเงียบก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะความเงียบอันเย็นชาของเขา แต่ความเงียบในยามนี้กลับเหมือนการกลั้นหายใจรอคอยบางสิ่ง

เขามองไปยังรถม้าที่หยุดลงคันนั้น

ม่านรถยกขึ้น เด็กสาวผู้หนึ่งมีสาวใช้ประคองลงมาแล้วประคองเด็กสาวอีกคนลงมา…ก่อนที่ทุกคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เด็กสาวทั้งสี่ก็ลงจากรถม้ามาหมดแล้ว

เมื่อเห็นเด็กสาวในชุดเรียบง่ายคนนั้นชัดเจน นิ้วที่บีบถ้วยน้ำชาของเว่ยหานก็สั่นเล็กน้อย

นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคุณหนูลั่ว!

ส่วนทุกคนหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าในบรรดาหญิงสาวทั้งสี่คนมีคุณหนูลั่วรวมอยู่ด้วยก็มองเว่ยหานอย่างพร้อมเพรียงกัน

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะมาดูความสนุกที่คุณหนูลั่วผิดหวังจากการบีบบังคับหมอเทวดา กลับนึกไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอคุณหนูลั่วกับไคหยางอ๋องพบกันโดยบังเอิญอีก

ต้องรู้ว่าหลายเดือนก่อนคุณหนูลั่วปลดเข็มขัดของไคหยางอ๋องกลางตลาด เพื่อให้ไคหยางอ๋องระงับความโกรธแม่ทัพลั่วจึงส่งบุตรสาวออกจากเมืองหลวง

ยามนี้ คงเป็นครั้งแรกหลังจากตอนนั้นที่ทั้งสองคนได้พบกันโดยบังเอิญ ก็ไม่รู้ว่าไคหยางอ๋องเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ปลดเข็มขัดตนแล้วจะรู้สึกเช่นไร

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เพลิงแห่งการซุบซิบนินทาของทุกคนก็ถูกจุดติดขึ้นพร้อมกัน

ภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็นนับไม่ถ้วนที่จ้องมองมา เว่ยหานสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความรู้สึกค่อนข้างประหลาดอยู่บ้าง

เมื่อวานเขากลับถึงจวนก็แต่งตัวเล็กน้อยก็เข้าวังเลย วันนี้ก็มาหาหมอที่นี่แต่เช้า เหมือนจะลืมไปเรื่องหนึ่งไป เงินสามพันห้าร้อยตำลึงของคุณหนูลั่วยังไม่ได้คืนเลย!

หากลุกขึ้นจากไปเช่นนี้ ในสายตาของคนนอกก็ไม่รู้ว่าจะซุบซิบอะไรกันออกมา

อย่าเพิ่งตกใจไป คุณหนูลั่วมาครั้งนี้เพื่อมาหาหมอเท่านั้น คงไม่มาทวงหนี้เขาในที่สาธารณะที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้หรอก

เว่ยหานคิดได้เช่นนี้ จิตใจก็สงบลง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท