ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 61 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 61 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง

ฉีซื่อยิ้มให้ลั่วเซิงเล็กน้อย “คุณหนูสาม พวกเราไปกันเถอะ”

ลั่วเซิงยืนอยู่ไม่ขยับ “พี่สี่ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนข้าหรอก แค่มีพี่ห้าก็พอแล้ว”

อวิ๋นต้งมองนางอย่างประหลาดใจ สีหน้าฉีซื่อดูประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม

“พวกเขาทั้งสองไปเป็นเพื่อนคุณหนูสาม ไม่ดีกว่าหรือ” ผิงลี่ถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

ลั่วเซิงมองฉีซื่อเล็กน้อย น้ำเสียงไม่ใส่ใจ “อ้อ ข้าไม่ชอบให้พี่สี่ไปเป็นเพื่อนนี่”

ถึงอย่างไรนางก็จะไปเดินเล่นที่คุกสักหน่อย ผิงลี่ยังจะให้ฉีซื่อตามไปจับตาดูอีก น่าหงุดหงิดจริงๆ นั่นแหละ

หากนางรู้สึกไม่พอใจก็ย่อมสามารถปฏิเสธได้ ใครใช้ให้นางเป็นคุณหนูสามเล่า

ฉีซื่อใบหน้าบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ เกือบจะระเบิดความโกรธในใจออกมาแล้ว

ลั่วเซิงยิ้มอย่างเฉยเมย

แน่จริงก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเลยสิ แต่หากไม่แน่จริงก็ต้องจงอดกลั้นเอาไว้

ฉีซื่อยังคงรู้จักระงับอารมณ์ “เช่นนั้นก็ให้น้องห้าไปเป็นเพื่อนคุณหนูสามก็แล้วกัน ข้าจะไม่ทำให้รำคาญแล้ว”

ลั่วเซิงพยักหน้ายิ้มเล็กน้อย “หากพี่ชายสี่เป็นเช่นนี้ได้ตลอด ก็ไม่น่ารำคาญแล้ว”

ฉีซื่อ “…” อยากจะบีบคอนังหนูนี่ให้ตายจริงๆ เลย

“พี่ห้า พวกเราไปกันเถอะ” ลั่วเซิงเห็นอวิ๋นต้งยังตะลึงอยู่จึงออกปากเร่ง

“เอ่อ ได้” อวิ๋นต้งพยักหน้าด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนยิ่ง

เมื่อมองเห็นลั่วเซิงกำลังจะจากไป คุณชายสามเซิ่งก็รีบถาม “น้องหญิง แล้วข้าล่ะ”

เขาอยู่ที่จวนแม่ทัพลั่วรู้จักเพียงแค่น้องหญิง แต่เช้าวันนี้น้องหญิงออกไปก็ทิ้งเขาไว้คนเดียว ตอนนี้จะออกไปก็ทิ้งเขาไว้คนเดียวอีก นี่มันทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว

ผิงลี่มองคุณชายสามเซิ่งอย่างประหลาดใจ

เจ้าเด็กโง่นี่เหตุใดทั้งร่างกายถึงแผ่กลิ่นความขุ่นเคืองอันเข้มข้นที่ต้องอยู่ห้องคนเดียวออกมาล่ะ

ผิงลี่คิดเช่นนี้แล้วเหลือบไปที่อวิ๋นต้ง

รักใหม่? รักเก่า?

คุณหนูสามนี่คือปลดนายบำเรอไปหนึ่งเลยอยากเลือกหนึ่งในสองคนนี้มาเติมอย่างนั้นหรือ

ลั่วเซิงยิ้มปลอบใจคุณชายสามเซิ่ง “พี่ชายอยู่ที่บ้านดูแลท่านพ่อแทนข้าเถอะ รอข้าว่างแล้วจะทำอาหารให้กิน”

ดวงตาคุณชายสามเซิ่งสดชื่นขึ้นมาทันที พยักหน้าเหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าว “น้องหญิงออกไปอย่างสบายใจเถอะ ข้าจะดูแดท่านลุงให้อย่างดีเลย! ”

ทุกคนต่างเงียบไปตามๆ กัน

คนทางตอนใต้…พอใจง่ายเช่นนี้เองหรือ

หงโต้วที่เท้าสะเอวยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มเยาะ

คนพวกนี้จะไปรู้อะไร รอให้พวกเขาได้ลิ้มรสอาหารที่คุณหนูทำก่อนเถอะ…ถุยถุย อาหารที่คุณหนูทำมีสิทธิ์อะไรเอาให้พวกเขากิน คนกันเองยังกินไม่พอเลย

ลั่วเซิงมีอวิ๋นต้งออกจากจวนแม่ทัพลั่วเป็นเพื่อน

ในใจของอวิ๋นต้งคาดเดาความคิดของบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อบุญธรรมอยู่ตลอด กลับอดคิดไปถึงเรื่องนายบำเรอไม่ได้

เขาเองก็ไม่อยากคิดเช่นนี้ แต่คุณหนูสามบอกว่าไม่ชอบให้พี่สี่ไปด้วย แต่กลับเลือกเขาให้ไปด้วย…

เมื่อก่อนเวลาคุณหนูสามพูดคุยกับพวเขาล้วนเชิดใส่ตลอด

“พี่ห้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ” ทันใดนั้นลั่วเซิงก็เอียงศีรษะ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองเขา

สายตาของอวิ๋นต้งตกลงบนคางที่ขาวละเอียดและอ่อนนุ่มนั้น พลันสบายใจขึ้นมาทันที

“คิดว่าโชคดีที่มีคุณหนูสามจึงสามารถเชิญท่านหมอมาได้ ท่านพ่อบุญธรรมจึงฟื้นขึ้นมาได้”

ลั่วเซิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “เช่นนั้นพี่ห้าบอกข้าถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ซือหนานลอบสังหารท่านพ่อได้หรือไม่”

อวิ๋นต้งพลันหยุดเคลื่อนไหว “คุณหนูสาม นี่หมายความว่าอย่างไร”

ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แค่คำถามเล็กน้อย เหตุใดพี่ห้าต้องตกใจขนาดนี้ด้วย”

อวิ๋นต้งรีบเดินตามไป เวลานี้ไม่สนใจความคิดฟุ้งซ่านแล้ว ถึงขั้นที่ว่าเด็กสาวเดินเร็วมากจนเขาอยากจะคว้าไหล่ของนางเอาไว้

แน่นอนว่า เขาไม่กล้า

“คุณหนูสาม เหตุใดจึงถามเช่นนี้”

ลั่วเซิงเอียงศีรษะ ยิ้มมุมปาก “เพราะว่าผิงลี่เอาใจข้าชัดเจนเกินไป”

ถึงแม้จะเพิ่งกลับมา นางก็ดูออกว่าอวิ๋นต้งกับผิงลี่ไม่ลงรอยกัน แตกต่างจากฉีซื่อที่ล้อมหน้าล้อมหลังผิงลี่เช่นนั้น

ผิงลี่กับอวิ๋นต้ง คนไหนมีเจตนาร้ายนางก็ไม่แน่ใจ คนที่ตามสังหารระหว่างทางครั้งนั้นอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับสองคนนี้ แต่ขณะนี้สามารถใช้ประโยชน์จากความไม่ลงรอยกันของสองคนนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลบางอย่างที่นางต้องการ

“เหตุใดซือหนานถึงลอบสังหารท่านพ่อข้า”

อวิ๋นต้งเงียบไปชั่วครู่แล้วถามขึ้นว่า “คุณหนูสาม เหตุใดถึงแน่ใจว่าพี่ใหญ่เอาใจเจ้า”

ลั่วเซิงเหลือบมองเขา เอ่ยด้วยความมั่นใจทันที “สัญชาตญาณ พี่ห้าท่านไม่รู้หรือว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนพึ่งสัญชาตญาณน่ะ”

คิดว่าผิงลี่เอาใจนางก็แค่การคาดเดา แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคต่อการโกหกของนาง และในเมื่อจะโกหก แน่นอนว่าต้องหยิบท่าทางมั่นใจออกมาใช้

อวิ๋นต้งหัวเราะขึ้น “สัญชาตญาณสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่หลักฐาน มักจะไม่แม่นยำ”

เมื่อตอนที่เขารีบกลับเมืองหลวงมาสอบปากคำซือหนานก็เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว พอรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เหมาะสมให้เด็กสาวตัวน้อยรู้จริงๆ

“ดูแล้วพี่ห้าก็วางแผนจะเอาใจข้าหรือ” ลั่วเซิงถามเสียงราบเรียบ

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร…เพียงแค่การสอบปากคำซือหนานมีพี่ใหญ่เป็นคนรับผิดชอบ คุณหนูสาม หากรู้สึกว่าพี่ใหญ่เอาใจเจ้า มิสู้กลับไปค่อยไปถามเขาดูสิ”

ลั่วเซิงดึงสายตากลับพลางเดินต่อไปข้างหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ระหว่างทางที่ข้ากลับเมืองหลวงเจอคนลอบสังหาร”

อวิ๋นต้งหยุดเดินทันที มองลั่วเซิงอย่างตกตะลึง

น้ำเสียงที่เหมือนจะไม่แยแสนั้นทำเอาเขาแทบจะคิดว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่เรื่องโดนลอบสังหาร แต่เป็นการเจอฝนตกปรอยๆ เจอคนสัญจรไปมาแค่นั้น

“พี่ห้าประจำการอยู่ที่จวนจินหลิงใช่หรือไม่”

อวิ๋นต้งไม่เอ่ยคำ

“พี่ห้าไม่รู้เรื่องที่ข้าออกจากจินซาเลย นับว่าละเลยหน้าที่หรือไม่”

อวิ๋นต้งขยับคิ้วน้อยๆ

ลั่วเซิงน้ำเสียงยังคงไม่แยแสเช่นเก่า “ก็ไม่รู้ว่าหากท่านพ่อรู้ว่าข้าถูกลอบสังหาร จะเป็นอย่างไร”

“คุณหนูสาม!”

ลั่วเซิงสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ถูกลอบสังหารได้ พี่ห้าจะยอมตอบคำถามข้าหรือไม่”

อวิ๋นต้งนิ่งเงียบไปนาน

เขาถูกข่มขู่หรือเนี่ย

เมื่อก่อน ระหว่างที่เขายังไม่ได้ถูกพ่อบุญธรรมส่งไปจวนประจำการที่จวนจินหลิงก็เคยถูกคุณหนูสามดุด่ามาก่อน ตอนนั้นเขาก็แค่ต้องก้มศีรษะให้ต่ำไว้ แต่ไม่ได้ใส่ใจกับสาวน้อยที่ทำตัวงี่เง่าเลยแม้แต่นิด

แต่ยามนี้ เขารู้สึกว่าถูกคนควบคุมจนแทบไร้เรี่ยวแรง

พ่อบุญธรรมโกรธจัดที่ทราบข่าวคุณหนูสามกลับเมืองหลวงไม่ทันท่วงที แต่หากทราบว่าคุณหนูสาม ถูกลอบสังหารระหว่างทาง…อวิ๋นต้งไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมาเลย

อวิ๋นต้งเอ่ยขึ้น “ซือหนานลอบสังหารท่านพ่อบุญธรรมเกี่ยวข้องกับคดีสมคบคิดเมื่อหลายปีก่อน”

“สมคบคิดหรือ” ลั่วเซิงหนังตากระตุก เดินช้าลง

“ตามเบาะแสที่สืบได้ สถานะที่แท้จริงของซือหนานน่าจะเป็นหลานของพ่อบ้านคนหนึ่งในจวนเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกสังหารล้างตระกูลเมื่อสิบสองปีก่อน” ทันใดนั้น อวิ๋นต้งก็พบว่าสีหน้าของลั่วเซิงเปลี่ยนไปจึงเอ่ยถาม “คุณหนูสาม เป็นอะไรไป”

ลั่วเซิงค่อยๆ เอามือกดหางตาไว้แล้วยิ้มบางๆ ออกมา “ได้ยินเรื่องถูกสังหารทั้งตระกูลแล้วรู้สึกหวาดกลัวนิดหน่อย พี่ห้าเล่าต่อเถอะ”

“พ่อบ้านคนนั้นได้หน้าจากเจ้านาย มีลูกชายคนหนึ่งได้ถอดออกจากความเป็นทาสแล้วย้ายออกจากจวนเจิ้นหนานอ๋อง วันนั้นที่จวนเจิ้นหนานอ๋องเกิดเรื่องกำลังรีบให้ท่านหญิงออกเรือนพอดี ลูกชายคนนี้พาครอบครัวเข้ามาดื่มเหล้าที่จวน ลูกชายคนโตเป็นไข้จึงอยู่ที่บ้าน ต่อมาคนบ้านนี้ก็ไม่อาจจากไปได้…ลูกชายคนโตที่ถูกทิ้งอยู่ในเรือนก็คือซือหนาน พ่อ แม่ น้องชาย น้องสาวของเขา ปู่ ย่า รวมถึงอาสองคนและคนในตระกูลทั้งหมดเสียชีวิตในวันนั้นจึงคับแค้นใจต่อท่านพ่อบุญธรรมมาโดยตลอด”

ลั่วเซิงกำหมัดแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์ พลางเอ่ยขึ้น “ในเมื่อตรวจสอบชัดเจนแล้ว เหตุใดยังไม่สังหารเขาเพื่อระบายความโกรธแทนท่านพ่อของข้าอีกเล่า”

แบบนี้อวิ๋นต้งจึงรู้สึกคุ้นเคย ในใจรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย “จวนเจิ้นหนานอ๋องถูกสังหารทั้งตระกูล กลับมีคนหลุดรอดออกไปได้ เหลือเขาไว้เพื่อตรวจสอบว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาติดต่อคนของจวนเจิ้นหนานอ๋องที่หลงเหลืออยู่หรือไม่ และไม่นานมานี้ไคหยางอ๋องก็ออกจากเมืองหลวงตามบัญชาของฝ่าบาทให้ไปตรวจสอบเรื่องนี้…”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ลั่วเซิงเอ่ยออกมาทีคำ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท