ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 64 เทียบเชิญของจวนไคหยางอ๋อง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 64 เทียบเชิญของจวนไคหยางอ๋อง

ลั่วเซิงกลับถึงจวนแม่ทัพใหญ่ก็เดินเข้าห้องไม่ออกมาอีกเลย

ซือหนานได้รับการหลุดพ้น แต่กลับขังนางไว้

ถึงอย่างไรหัวใจของนางก็ไม่ได้หุ้มด้วยเกราะเหล็ก

เมื่อผิงลี่รู้ว่าลั่วเซิงฆ่าซือหนาน เขาก็โมโหมาก

“น้องห้าไปกับคุณหนูสามไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงปล่อยให้นางลงมือกับนักโทษ”

“คุณหนูสามบอกว่าจะคุยกับซือหนาน… ขอโทษ พี่ใหญ่ ข้าไม่คิดว่าคุณหนูสามจะทำเรื่องเช่นนี้ได้” อวิ๋นต้งปากบอกขอโทษ ในใจกลับไร้ความรู้สึกผิด

คนถูกฆ่าในคุกขององครักษ์จิ่นหลิน ข่าวไม่สามารถแพร่ออกไปได้อยู่แล้ว เว้นแต่ว่าผิงลี่ตั้งใจจะทำเช่นนั้น

หากพ่อบุญธรรมไม่ฟื้น ผิงลี่อาจจะทำเช่นนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้พ่อบุญธรรมฟื้นแล้ว เขาคิดว่าผิงลี่ไม่กล้าทำแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าผิงลี่รู้เรื่องนี้ดี เขาข่มอารมณ์โกรธไว้ถามว่า “เหตุใดคุณหนูสามจึงฆ่าซือหนานกันแน่”

อวิ๋นต้งยิ้มๆ “แก้แค้นให้พ่อบุญธรรมอย่างไรเล่า”

จู่ๆ ผิงลี่ก็พูดไม่ออก

สิ่งที่ดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับหญิงสาวทั่วไป เมื่อเป็นคุณหนูสาม เหมือนกับว่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่หากชอบพอบุรุษคนใดก็จะต้องฉุดกลับบ้าน

ผิงลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า “ตอนนี้คุณหนูสามอยู่ไหน”

เขาเพิ่งกลับมาจากพระราชวังก็ได้ยินเรื่องซือหนานถูกฆ่า จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ไปดูองครักษ์จิ่นหลินเลย

“คุณหนูสามกลับห้องไปแล้ว คงอารมณ์ไม่ดีเพราะเพิ่งฆ่าคนไป พี่ใหญ่อย่าไปรบกวนเลยจะดีกว่า” อวิ๋นต้งเตือนด้วยความหวังดี

เขาแค่รู้สึกว่าคุณหนูสามเสียใจ ส่วนจะเป็นเพราะหวาดกลัวหรืออย่างอื่นนั้น เขาก็ไม่รู้เช่นกันและเขาไม่คิดจะอยากรู้ด้วย

“รู้แล้ว”

เมื่ออวิ๋นต้งจากไป ผิงลี่ที่อยู่ต่อหน้าฉีซื่อจึงระบายความโกรธในใจออกมา “ครานั้นให้เจ้าตามเจ้าห้าไป คุณหนูสามพูดแค่คำเดียวเจ้าก็ถอยเสียแล้ว หากเจ้ายืนหยัดไปด้วยจะเกิดปัญหาเละเทะเช่นนี้หรือ”

ฉีซื่อยิ้มขมขื่น “ครานั้นคุณหนูสามพูดจารุนแรงเช่นนั้น ข้าก็มีศักดิ์ศรี ไม่อยากฝืนตามไปด้วย”

ผิงลี่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบสองสามคำไล่อารมณ์คุกรุ่นออกไป พูดด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า “เป็นเพราะว่าเจ้าทำให้คุณหนูสามไม่พอใจหรือว่านางปฏิบัติต่อเจ้าห้าต่างออกไปกันแน่”

“ข้าจะไปรู้ที่ไหนกัน” ฉีซื่อจิบชาคำหนึ่ง

หากเป็นอย่างแรกแสดงว่าเขาไม่ได้เรื่อง หากเป็นอย่างหลัง แสดงว่าเขาหน้าตาอัปลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนล้วนไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจ

ผิงลี่ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง

หน้าต่างในห้องหนังสือปิดไว้แน่น แสงแดดส่องผ่านม่านมุ้งสีเขียว

ผิงลี่ถือถ้วยชาถอนหายใจ “คุณหนูสามโตแล้ว ความคิดของนางยิ่งคาดเดาไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ”

ทว่ากลับเป็นผู้ที่พ่อบุญธรรมมิอาจเมินเฉยได้

ห้องหนังสือตกอยู่ในความเงียบ

ผิงลี่เพิ่งกลับถึงจวนแม่ทัพใหญ่ไม่นาน รางวัลมากมายถูกยกมาจากพระราชวังอย่างต่อเนื่อง

แม่ทัพใหญ่ลั่วฟื้นแล้ว สิ่งของเหล่านี้คือยาบำรุงที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แม่ทัพใหญ่ลั่ว

ยังมีคนรับใช้อีกกลุ่มหนึ่งนำรางวัลไปให้หมอเทวดาหลี่

ตั้งแต่ที่หมอเทวดาหลี่เดินออกจากประตูเรือน ดวงตามากมายไม่รู้กี่คู่ในเมืองหลวงก็คอยจับตามอง ตอนนี้ในที่สุดก็มั่นใจในข่าวเรื่องที่หมอเทวดาช่วยให้แม่ทัพใหญ่ลั่วฟื้น

แม้แต่ฮ่องเต้ก็พระราชทานรางวัลให้แม่ทัพใหญ่ลั่ว พวกเขาจะไม่แสดงท่าทีอะไรสักเล็กน้อยเลยหรือ

ทันใดนั้นเองลานหน้าประตูของจวนสกุลลั่วก็เต็มไปด้วยผู้คน ตั้งแต่ราชวงศ์และขุนนาง ไปจนถึงข้าราชการน้อยใหญ่ ผู้ที่ไปด้วยตนเองได้ก็ไปด้วยตนเอง ผู้ที่ไปด้วยตนเองไม่ได้ก็ส่งผู้ดูแลไป

จะได้เจอแม่ทัพใหญ่ลั่วหรือไม่นั้นไม่สำคัญ สำคัญที่มารยาท

เมื่อออกจากจวนสกุลลั่ว คนไม่น้อยยังมุ่งตรงไปหาหมอเทวดาหลี่

แม่ทัพใหญ่ลั่วสลบไปหนึ่งเดือนกว่า สำนักแพทย์หลวงหมดปัญญา ทว่าทันทีที่หมอเทวดาออกโรงก็ช่วยให้เขาฟื้นได้ทันที นี่มันเซียนมีชีวิตชัดๆ!

ไม่มีผู้ใดป่วยหนักในจวนแล้วจะทำไม แค่ปวดหัวตัวร้อน ให้หมอเทวดารักษาจะเหมือนกับให้หมอสามัญรักษาหรือ บางทีหมอเทวดาอาจจะกำจัดต้นตอของอาการปวดหัวตัวร้อนได้ก็เป็นได้

ผู้คนที่คิดเช่นนี้มีมากมายนัก เพราะเหตุนี้อย่าว่าแต่โรงน้ำชาที่อยู่ด้านนอกเรือนของหมอหลวงหลี่ แม้แต่พื้นที่โล่งหน้าป่าก็ไม่มีที่ให้ยืน

ทว่าเด็กเฝ้าประตูกลับแจกป้ายหมายเลขแค่สามสิบใบ ในบรรดาผู้ที่ได้รับป้ายหมายเลขมีเพียงอย่างมากสามคนที่จะได้รับการรักษาจากหมอเทวดา เห็นได้ว่าโอกาสที่จะได้รับการรักษานั้นน้อยนิดมาก

ผู้คนมากมายมองประตูจวนของหมอเทวดา มีคนทอดถอนใจ “นี่มันยากกว่าสอบขุนนางอีก”

คนข้างๆ ยิ้มขมขื่น “ยากกว่าสอบขุนนางอยู่แล้ว สอบขุนนางไม่ผ่านก็แค่ไม่ได้ตำแหน่ง แต่สำหรับคนบางคนในนี้แล้วการไม่ได้หมอเทวดารักษาก็คือตาย”

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้นผู้คนมากมายเห็นด้วย ยิ่งเมื่อพวกเขาพบว่าแม้แต่ไคหยางอ๋องยังถูกปฏิเสธให้รอข้างนอก พวกเขาก็ยิ่งเข้าใจถึงความยากลำบากในการขอพบหมอเทวดามากขึ้น

ผู้คนที่มาเพราะอาการป่วยเล็กน้อยเช่นปวดหัวตัวร้อนกลับไปเงียบๆ ส่วนคนที่มาเพราะคนในจวนป่วยหนัก ป่วยระยะสุดท้ายและป่วยเป็นโรคประหลาดรอให้รักษานั้นก็หนักใจ

ของอะไรกันนะที่ทำให้หมอเทวดาสนใจได้

พวกเขาคิดถึงคนๆ หนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย คุณหนูลั่ว!

คุณหนูลั่วสามารถทำให้หมอเทวดาที่เคยลั่นวาจาว่าจะไม่มีวันรักษาแม่ทัพใหญ่ลั่วรักษาให้ได้ ของที่นางนำไปต้องเรียกความสนใจของหมอเทวดาได้เป็นอย่างยิ่งแน่ๆ

หากสืบได้ว่าคืออะไรก็คงมีโอกาสได้เจอหมอเทวดา!

คนเฝ้าประตูจวนสกุลลั่วจู่ๆ ก็พบว่าคนที่เพิ่งซาไปกลับมาออกันเต็มอีกครั้ง มีจำนวนไม่น้อยยังเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยที่เพิ่งเจอกันเมื่อครู่

เมื่อคนเฝ้าประตูรู้ว่าคนเหล่านี้มาขอพบคุณหนูสามก็ไม่กล้าตัดสินใจเอง เขารีบไปแจ้งข่าวให้หงโต้ว

ผ่านไปไม่นาน หงโต้วและโค่วเอ๋อร์ก็มาถึงห้องโถง

“มาขอเยี่ยมคุณหนูของเราหมดเลยรึ” หงโต้วรับเทียบเชิญปึกหนึ่งมาจากคนรับใช้ พลิกดูลวกๆ นางดูพลางเบ้ปาก

“คุณหนูไม่ต้องการพบฮูหยินฉางชุนโหวนะ ยังมีหน้าส่งเทียบเชิญมาให้ นี่ใครกัน เทียบเชิญของรองบัญชาการกองทหารและม้าเป่ยเฉิง ให้ตายเถอะ สมาชิกในครอบครัวของข้าราชการต่ำต้อยยังคิดจะพบคุณหนู!” หงโต้วพลิกผ่านอย่างเร็วๆ จนเห็นเทียบตัวอักษรสีทองหม่นใบหนึ่งจึงหยุดลง

นี่มัน… เทียบของจวนไคหยางอ๋อง?

หงโต้วครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะดึงเทียบใบนั้นออกมาใส่เข้าไปในแขนเสื้อ คืนเทียบที่เหลือกลับไปให้คนเฝ้าประตู พูดอย่างหมดความอดทนว่า “ไปบอกพวกเขาว่าคุณหนูไม่ว่างพบ”

สองวันนี้คุณหนูนอนอยู่ในห้องตลอด บอกว่าเหนื่อยเพราะเดินทาง นางอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูยังไม่ได้เลย คนพวกนี้ยังคิดจะพบคุณหนู? ฝันไปเถอะ

คนเฝ้าประตูกอดเทียบขานตอบ

โค่วเอ๋อร์ดักคนเฝ้าประตูไว้ “พูดแบบนี้ไม่ได้หรอก เหล่าหวัง เจ้าบอกว่าคุณหนูคอยดูแลแม่ทัพใหญ่ อีกทั้งคุณหนูไม่สะดวกที่จะพบคนนอกมากมาย หวังว่าพวกเขาจะเข้าใจ”

“ขอรับ” คนเฝ้าประตูโล่งอก รีบเดินออกไป

ระหว่างทางที่กลับไป หงโต้วเบ้ปากเบาๆ “คุณหนูไม่สะดวกที่จะพบคนนอกมากมายหรือ คุณหนูเลี้ยงแม้แต่นายบำเรอ เจ้าพูดเช่นนี้มีแต่จะทำให้คนอื่นคิดว่าเรามันจอมปลอม”

โค่วเอ๋อร์หน้านิ่ง “ข้าก็แค่บอกว่าจะลองมาดูกับเจ้า เรื่องที่คุณหนูเลี้ยงนายบำเรอไม่ได้หนักหัวคนนอกเสียหน่อย แต่เจ้าพูดแบบนี้จะทำให้ผู้อื่นผิดใจเอา หงโต้ว เจ้าตรงไปตรงมาแบบนี้ไม่ได้นะ…”

หงโต้วฟังโต้วเอ๋อร์พร่ำบ่นตลอดทางจนกลับถึงเรือน นางหยิบเทียบเชิญของจวนไคหยางอ๋องใบนั้นออกมาจากแขนเสื้อ เคาะประตูห้องของลั่วเซิง

“เข้ามา” เสียงราบเรียบดังขึ้นจากในห้อง

หงโต้วและโค่วเอ๋อร์ผลักประตูเข้ามา เห็นลั่วเซิงนั่งพิงหมอนข้าง มือถือหนังสือเล่มหนึ่ง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท