ตอนที่ 69 ยากที่จะจัดการ
“ท่านหญิงหวาหยางที่คุณหนูให้บ่าวสืบคือภรรยาคนแรกของฉางชุนโหว ท่านสิ้นใจไปหลายปีแล้วเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงกัดริมฝีปาก พยายามรักษาน้ำเสียงสงบ “สิ้นใจอย่างไร”
“จวนเจิ้นหนานอ๋องเกิดเรื่องเมื่อสิบสองปีก่อน ท่านหญิงหวาหยางเป็นผู้เสนอขอหย่าร้าง จวนฉางชุนโหวเห็นแก่คุณธรรมน้ำมิตรไม่ได้ตกลง หลังจากนั้นท่านหญิงหวาหยางก็ล้มป่วย คงเป็นเพราะมิอาจปล่อยวางได้ ท่านจึงสิ้นใจหลังจากนอนบนเตียงมาเป็นเวลาหลายเดือน…”
หงโต้วที่อยู่ข้างๆได้ยินดังนั้นก็เบ้ปาก “จวนฉางชุนโหวเห็นแก่คุณธรรม? ถุย ข้าไม่เห็นจะดูออกเลย”
ลั่วเซิงมองหงโต้ว
เสียงของสาวใช้ดังและชัดเจน หลังจากถ่มถุยทีหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “หากจวนฉางชุนโหวเห็นแก่คุณธรรมจริงๆ เหตุใดบุตรชายและบุตรสาวที่ภรรยาคนแรกทิ้งไว้จึงไม่มีหน้ามีตาเหมือนบุตรของภรรยาคนต่อมาเล่า บ่าวไม่รู้ความในที่ซับซ้อนเหล่านั้นหรอกนะเจ้าคะ รู้เพียงว่าผู้ใดมีชีวิตที่ดีคือคนที่ได้รับความโปรดปรานจริงๆ”
ลั่วเซิงเงียบ
ผู้ใดมีชีวิตที่ดีย่อมคือคนที่ได้รับความโปรดปราน คำพูดนี้คือความจริง ไม่เชื่อลองดูคุณหนูลั่วก็จะรู้
หากเปลี่ยนเป็นสองพี่น้องลั่วอิงหยอกเย้าท่านอ๋องและเลี้ยงนายบำเรอ ไม่ถูกแม่ทัพใหญ่ลั่วตบตายน่ะสิแปลก
“ไหนลองว่ามาซิว่าได้รับความโปรดปรานอย่างไร” ลั่วเซิงถามด้วยน้ำเสียงสงบ แต่หากเป็นคนที่รู้จักท่านหญิงชิงหยางดีย่อมรู้ว่านางโกรธกริ้วแล้ว
โค่วเอ๋อร์พูดว่า “จริงๆ ก็ไม่มีข่าวลือว่าฉางชุนโหวลำเอียงรักลูกของภรรยาใหม่มากกว่า แต่ว่าคุณหนูรองของจวนฉางชุนโหวเพิ่งอายุสิบสองก็มีชื่อเสียงในเมืองหลวง คุณหนูใหญ่สิบเจ็ดปีแล้ว ยังไม่มีการหมั้นหมายจนถึงทุกวันนี้ ใช้เวลาเกือบทั้งปีอาศัยอยู่ในจวนหนิงกั๋วกง…”
ลั่วเซิงไม่ได้ตั้งใจฟังที่เหลือ ความสนใจของนางไปหยุดอยู่ที่อายุของคุณหนูรองจวนฉางชุน
“สิบสองปี? ถ้าเช่นนี้ ครานั้นท่านหญิงหวาหยางป่วยสิ้นใจไปเพียงไม่นาน ฉางชุนโหวก็แต่งงานใหม่?”
ฉางชุนโหวในบัดนี้คือซื่อจื่อในครานั้น
หากนับตามอายุลวง[1] คุณหนูรองจวนฉางชุนโหวอายุสิบสองในตอนนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพี่เขยใหญ่ครองตนเพื่อพี่หญิงใหญ่ครึ่งปีเป็นอย่างมากก่อนจะแต่งงานใหม่
ผู้ชายคนหนึ่งที่ปากบอกว่ารักและภักดีต่อภรรยา เสียภรรยาไปไม่เกินครึ่งปีก็แต่งเมียใหม่ ความรักและภักดีมีมากเท่าไรกัน
มิหนำซ้ำพี่หญิงใหญ่มีร่างกายที่แข็งแรงมาโดยตลอด แม้ที่บ้านจะเกิดเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ เวลาเพียงสั้นๆ ไม่กี่เดือนกลับป่วยจนตายจากไป
หายนะเช่นนี้ นางอดที่จะคาดเดาและมองพวกเขาเหล่านั้นด้วยความอาฆาตพยาบาทไม่ได้
“ฉางชุนโหวแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขาหลังจากท่านหญิงหวาหยางสิ้นใจด้วยอาการป่วยห้าเดือน บอกว่าเพื่อช่วยดูแลบุตรชายและบุตรสาวคู่หนึ่งที่ท่านหญิงหวาหยางทิ้งไว้”
ดวงตาลั่วเซิงเย็นชา น้ำเสียงราบเรียบ “คิดรอบคอบจริงๆ แล้วท่านหญิงอู่หยางเล่า”
โค่วเอ๋อร์เองก็ไม่รู้ว่าคุณหนูให้นางสืบเรื่องเหล่านี้ทำไม แต่คุณหนูถามอะไรนางก็ตอบสิ่งนั้น
“ท่านหญิงอู่หยางเมื่อได้ข่าวว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับบ้านของตนก็ฆ่าตัวตาย…” โค่วเอ๋อร์เห็นสีหน้าลั่วเซิงขาวซีด นางชะงักเล็กน้อย ถามอย่างเป็นห่วงว่า “คุณหนูท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ เป็นเพราะร่างกายยังไม่หายดีหรือ บ่าวบอกแล้วให้ท่านพักผ่อนอีกสองวัน กังวลเรื่องมากมายเช่นนี้ไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ…”
ลั่วเซิงฟังสาวใช้บ่นเงียบๆ ไม่ได้รู้สึกรำคาญ
หัวใจของนางเย็นชืดและเสียใจเกินไป คนรอบๆ ตัวนางต้องมีชีวิตชีวา ปล่อยใจเป็นอิสระ ถึงจะทำให้นางรู้สึกได้ว่านางยังอยู่บนโลกใบนี้
นางเตรียมใจไว้แล้วสำหรับเรื่องของพี่สาวทั้งสองคน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะไม่มีใครเหลืออยู่เลย…
ลั่วเซิงสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าสงบลง “พูดต่อเถอะ”
“สามีของท่านหญิงอู่หยางสอนหนังสืออยู่ที่กั๋วจื่อเจียน ยังไม่ได้แต่งงานใหม่ มีลูกชายคนหนึ่งเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาชิงหย่า เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงในหมู่คนรุ่นเดียวกัน…”
“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ”
สองวันต่อมาลั่วเซิงไม่ได้ออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว นางขลุกตัวอยู่ในสนามประลองของคุณหนูลั่ว รื้อฟื้นวิชาการต่อสู้ที่หย่อนยานไปนานอีกครั้ง
แม่ทัพใหญ่ลั่วสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของบุตรสาวก็รู้สึกเป็นกังวล เขาจึงแอบมาดูที่สนามประลองเงียบๆ
ลูกธนูพุ่งออกมาจากสายธนูที่ถูกง้างออกเต็มที่ราวกับดาวตกปักเข้าที่กลางเป้า
แม่ทัพใหญ่เดินเข้าไป ไม่รู้ว่ารู้สึกชื่นใจหรือกังวลดี “ทักษะการยิงธนูของเซิงเอ๋อร์พัฒนาขึ้นมากเลย”
เมื่อก่อนบุตรสาวสวยแต่กระบวนท่าแต่ใช้การไม่ได้จริง วันนี้แค่ดูการยิงธนูก็น่าสนใจจริงๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งคลั่งไคล้การต่อสู้สิ
“พรุ่งนี้ก็จะไปร่วมงานเลี้ยงจวนผิงหนานอ๋องแล้ว เหตุใดเซิงเอ๋อร์จึงอยู่แต่ในสนามประลอง”
“รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม บางทีอาจจะได้ใช้จริงๆ เล่า” หญิงสาวที่ถือธนูในมือพูดด้วยน้ำเสียงสงบ
เรื่องบางเรื่องนางให้พวกหงโต้วไปทำได้ แต่เรื่องบางเรื่องนางต้องทำด้วยตนเองเท่านั้น
แม่ทัพใหญ่ลั่วใจกระตุก เขาเกลี้ยกล่อมอย่างจริงจังว่า “เซิงเอ๋อร์ เมื่อเจ้าถึงจวนผิงหนานอ๋อง ผู้ที่มาต้อนรับเจ้าคงจะเป็นท่านหญิงน้อย อาวุธเช่นแส้ยาว กริชและธนูในแขนเสื้อพวกนี้อย่านำติดตัวไปเลย ดูยิ่งใหญ่แต่ใช้ประโยชน์ได้น้อย”
“เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงเอ่ยขึ้นเบาๆ
เห็นบุตรสาวตอบตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ่งวางใจไม่ลง เขาย้ำอีกครั้งว่า “พรุ่งนี้องค์รัชทายาทก็จะไปด้วย เซิงเอ๋อร์เจ้าอย่าสร้างความเดือดร้อน ไม่เช่นนั้นทำให้องค์รัชทายาทตื่นตระหนกตกใจ พ่อคงทำได้เพียงส่งเจ้าไปจวนท่านยายอีก”
“องค์รัชทายาทก็จะเสด็จไปหรือ” ลั่วเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
นางเดาได้ว่าเว่ยเชียงจะไป แต่ก็รู้สึกต่างออกไปเมื่อได้ยินคำยืนยัน
“ย่อมเสด็จไปด้วยแน่นอน ถึงอย่างไรก็เป็นงานเฉลิมฉลองวันเกิดของชายาเอกผิงหนานอ๋อง ดังนั้นเซิงเอ๋อร์เจ้าต้องสำรวมหน่อยนะ”
ลั่วเซิงหลุบตาลงเล็กน้อย ดูเชื่อฟังมาก “ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะไม่สร้างปัญหา”
วันนี้นางเก็บผมหน้าม้าขึ้น เผยหน้าผากเรียบเนียนอวบอิ่ม ดูเรียบร้อยและสง่างาม
ผู้แม่ทัพใหญ่ลั่ววางใจลง ยิ้มพูดว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้พ่อรอเจ้า แต่งตัวให้สุภาพด้วย”
ตั้งแต่ที่ลูกสาวกลับมาจากจินซาก็สวมใส่ชุดธรรมดา แม้จะดูดีมากเช่นกัน แต่สวมเสื้อผ้าสดใสและงดงามดูโดดเด่นกว่า
ไม่แน่ว่าจะมีผู้ใดหมายปองเข้าแล้วมาขอสู่ขอจวนแม่ทัพใหญ่เล่า
แม่ทัพใหญ่ลั่วจินตนาการ
จูหานซวงคุณหนูรองของจวนอันกั๋วกงและเว่ยเหวินนัดเจอกันจึงรู้ข่าวว่าลั่วเซิงจะมางานเลี้ยง ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาในใจนาง
“คิดไม่ถึงเลยว่าลั่วเซิงจะมางานเลี้ยง สร้างปัญหาให้ผู้อื่นจริงๆ”
เว่ยเหวินยิ้มปลง “ถึงอย่างไรก็ต้องส่งเทียบเชิญให้ ใครจะไปคิดว่านางจะมา”
จูหานซวงยิ้มเย็นชา “ข้าว่านางมีจุดประสงค์อื่น”
พรุ่งนี้ไคหยางอ๋องก็จะมาเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเว่ยหานที่ปฏิบัติต่อลั่วเซิงอย่างแตกต่างในวันนั้น จูหานซวงก็รู้สึกหัวใจเหมือนถูกมีดเฉือน
จูหานซวงกัดปาก กระซิบข้างหูของเว่ยเหวินว่า “ท่านหญิง ท่านยินดีที่จะเห็นคนๆ นี้กระโดดโลดเต้นไปมาต่อหน้าเหมือนตั๊กแตนเช่นนี้ตลอดไปหรือ”
“หานซวง พรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของท่านแม่ข้า”
“แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดเช่นกันไม่ใช่หรือ ลั่วเซิงถูกแม่ทัพใหญ่ลั่วตามใจจนกำเริบเสิบสาน ในยามปกติก่อเรื่องแม้แต่ผมเส้นหนึ่งก็ทำอะไรไม่ได้”
เว่ยเหวินเงียบ
จูหานซวงเห็นดังนั้นก็ยกมุมปาก
แม้ว่าท่านหญิงจะพูดถึงลั่วเซิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อันที่จริงความเกลียดชังที่มีต่อลั่วเซิงในใจมีไม่น้อยไปกว่านาง
ไม่เช่นนั้น นางเองก็คงเสนอความคิดเช่นนี้
“เจ้ามีแผนการอะไร” เมื่อเงียบไปครู่หนึ่ง เว่ยเหวินก็เอ่ยปากถาม
จูหานซวงพูดแผนการในใจออกมา “หาวิธีขังนางกับชายคนหนึ่งไว้ แล้วค่อยเปิดโปงนางต่อหน้าผู้อื่น…”
จูหานซวงยังไม่ทันพูดจบ เว่ยเหวินก็ส่ายศีรษะ “วิธีนี้ไม่ได้ผล”
“อย่างไรหรือ”
“ลั่วเซิงมีชื่อเสีย หากชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา ผู้อื่นจะไม่เชื่อ”
“เช่นนั้นก็เลือกหนุ่มรูปงามมาสักคน”
เว่ยเหวินมองจูหานซวง น้ำเสียงซับซ้อน “แต่หากเป็นเช่นนี้ นางก็จะฉุดกลับบ้านน่ะสิ”
จูหานซวง “…”
นางลืมไปว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่หญิงสาวปกติ
[1] คือการนับอายุแบบโบราณ โดยอิงวันตรุษจีนเป็นหลัก