ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 86 พ่อเฒ่าดูแคลน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 86 พ่อเฒ่าดูแคลน

สตรีนางนั้นผอมมาก แต่กลับมีใบหน้างดงามดั่งบุปฝาล้อมจันทรา เมื่อได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไผ่เดินออกไปต้อนรับ

เว่ยเชียงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสตรีใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม ยื่นมือออกไปโอบเอวของนางไว้ “นั่งทำอะไรคนเดียวในห้องหรือ”

สตรีตอบอย่างสุภาพ “ทูลองค์ชาย หม่อมฉันกำลังอ่านหนังสือเพคะ”

“อ่านอะไรอยู่หรือ” เว่ยเชียงจูงมือของนางเดินเข้าไปข้างใน

มือของสตรีเย็นเล็กน้อย ทำให้อารมณ์หงุดหงิดหลังจากกลับมาจากจวนผิงหนานอ๋องของเขาผ่อนคลายลง

เขาไม่ชอบไปจวนผิงหนานอ๋อง ไม่ใช่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงครหา และไม่ใช่เพียงเพราะขัดแย้งกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด แต่เหตุผลหลักคือเขามักจะนึกถึงการตายของลั่วเอ๋อร์เสมอเมื่อเขากลับไปที่นั่น

การตายของลั่วเอ๋อร์คือปมที่เขาไม่มีวันก้าวข้ามได้ แค่นึกถึงก็ใจสลายแล้ว

เว่ยเชียงเดินไปนั่งลงข้างเก้าอี้ไผ่ หยิบหนังสือที่วางคั่นและกลับหัวขึ้นมา พูดขึ้นว่า “เหตุใดจึงอ่านประวัติศาสตร์ราชวงศ์ก่อน”

“อ่านฆ่าเวลาเพคะ” สตรีหลุบตาลง ตอบอย่างนอบน้อม

นางมีผมดกดำ ผมหน้าม้าที่หนาและยาวถึงคิ้วปรกคิ้วสีดำคู่หนึ่งไว้ ทำให้ความงดงามของนางถูกบั่นทอนลงไปหลายส่วน

เมื่อเทียบกับชายารัชทายาทผู้มีสง่าราศีและนางกำนัลรับใช้ที่ดูเฉลียวฉลาดเหล่านั้นแล้ว นางที่มีท่าทีเคารพนบนอบเมื่ออยู่ต่อหน้ารัชทายาทเสมอดูน่าเบื่อหน่ายด้วยซ้ำ

แต่เว่ยเชียงกลับไม่เคยรู้สึกรำคาญเลย

ทุกครั้งที่เขามีเรื่องกวนใจ แม้จะแค่มานั่งเล่นก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นได้

นางคือหนึ่งในสี่สาวใช้ประจำกายที่ลั่วเอ๋อร์ชอบมากที่สุด ได้เห็นนางก็เหมือนกับลั่วเอ๋อร์ยังอยู่ ได้ยินเสียงเรียก ‘ซื่อจื่อ’ ดังขึ้นในห้องที่ว่างเปล่านี้

จะว่าไปแล้วก็ช่วยไม่ได้

เขารู้จักกับลั่วเอ๋อร์ตั้งแต่เล็ก แม้จวนผิงหนานอ๋องจะไม่ได้อยู่เมืองเดียวกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง แต่กลับอยู่ห่างกันไม่ไกลนัก และเพราะเหตุนี้จึงมีโอกาสได้เจอกันทุกปี

พวกเขาเติบโตขึ้นทุกปี เขาเรียกนางว่าน้องลั่ว เมื่อทั้งสองหมั้นหมายเขาก็เรียกนางว่าลั่วเอ๋อร์ แต่ชื่อที่นางเรียกเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย

นางจะเรียกเขาว่าซื่อจื่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาเท่านั้น

เขาหวังว่าหลังจากแต่งงานแล้วนางจะเรียกเขาว่าพี่เชียงหรือไม่ก็สามี

เว่ยเชียงหลับตาลง รู้สึกเจ็บแปลบในใจ

จู่ๆ สตรีนางนั้นก็เงยหน้ามองบุรุษที่หลับตาลงตรงหน้า ก่อนจะหลุบขนตาดุจปีกผีเสื้อลง

นางรู้ว่าบุรุษคนนี้คิดถึงท่านหญิงอีกแล้ว

เขาคู่ควรด้วยรึ!

รอยยิ้มเหน็บแนมจากมุมปากหายไปอย่างรวดเร็ว นางกลับมามีท่าทีสุภาพและอ่อนโยนอีกครั้ง

“หากรู้สึกเบื่อก็ออกไปเดินเล่นสิ”

“หม่อมฉันไม่ชอบเดินเล่นเพคะ”

เว่ยเชียงได้ยินดังนั้นไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ เขาพูดอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นกลับไปข้าให้ขันทีส่งนิยายเรื่องสั้นสองสามเล่มให้เจ้าอ่าน”

“ขอบพระทัยเพคะ”

เว่ยเชียงกวาดตามองนางกำนัลรับใช้ในห้อง พูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด”

นางกำนัลทั้งสองลังเลครู่หนึ่งก่อนจะย่อเข่าให้และออกจากห้องไป

เมื่อออกมาถึงระเบียงเห็นท้องฟ้าสดใส นางกำนัลคนหนึ่งก็ถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “เสวี่ยนซื่อเป็นที่โปรดปรานจริงๆ”

ยังกลางวันแสกๆ อยู่แท้ๆ รัชทายาทก็ติดอวี้เสวี่ยนซื่อเช่นนี้ เรื่องนี้แม้แต่ชายารัชทายาทก็เทียบไม่ได้

นางกำนัลอีกคนหนึ่งยิ้มพูดว่า “เสวี่ยนซื่อเป็นที่โปรดปรานเป็นเรื่องดีนี่ เอาเถอะ หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว คนอื่นได้ยินเข้าจะไม่ดี”

ระเบียงเงียบลง ในห้องเงียบยิ่งกว่า

เว่ยเชียงเอนกายนอนลงบนตักของสตรีและหลับตาลง “ช่วยนวดศีรษะให้ข้าที”

นิ้วเย็นของสตรีแตะลงที่หน้าผากของบุรุษ เริ่มนวดคลึงเบาๆ

มือของนางค่อยๆ ไล่ลงไปจนถึงปลายคิ้วของบุรุษ

ท้ายที่สุดแล้ว กาลเวลายังคงทิ้งร่องรอยที่หางตาของบุรุษผู้นี้

ต่างจากท่านหญิงของนางที่มีอายุสิบเจ็ดปีตลอดไป

ขนตาของสตรีสั่นไหวเบาๆ จากนั้นนิ้วที่เรียวยาวก็ค่อยๆ ไล่กลับมายังหน้าผากราวกับไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น

จู่ๆ เว่ยเชียงก็ลืมตา “กำลังคิดอะไรหรือ”

“หม่อมฉันมิได้คิดอะไรเพคะ”

ในห้องเงียบลงอีกครั้ง

“อวี้เหนียง กำเนิดธิดาให้ข้าคนหนึ่งเถิด”

สตรีสะดุ้ง ผ่านไปนานจึงตอบอย่างสงบว่า “ขอบพระทัยในความกรุณาขององค์ชายเพคะ”

บนรถม้าระหว่างกลับจวน ลั่วเย่ว์แอบเหล่มองลั่วเซิงที่พักสายตาเป็นครั้งคราว

ลั่วเซิงลืมตามองไปที่นาง “มีอะไรหรือ”

ลั่วเย่ว์กัดปากเบาๆ เห็นนางกำลังจะหลับตาอีกครั้งก็รวบรวมความกล้าพูดว่า “พี่สาม วันนี้ขอบคุณพี่…”

ลั่วเซิงยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก “คิดว่าเจ้ามีเรื่องสำคัญอะไรเสียอีก ขอบคุณก็ขอบคุณสิ กระมิดกระเมี้ยนทำไมกัน”

ลั่วเย่ว์หน้าร้อนผ่าว

ในอดีตเคยไม่ชอบหน้ากัน บัดนี้ต้องมาก้มหัวขอบคุณก็ต้องรู้สึกเขินอายบ้าง

ลั่วฉิงเห็นทั้งสองดีกันแล้วก็ลอบดีใจ เมื่อคิดถึงพฤติกรรมต่อจวนผิงหนานที่เปลี่ยนไป นางก็เอ่ยปากโน้มน้าวว่า “น้องสาม ต่อไปหากอยากจะสืบผู้ชายคนไหน ส่งคนใช้ไปแอบสืบเงียบๆ ดีกว่า”

ลั่วเซิงมองลั่วฉิงอย่างประหลาดใจ

อยู่ดีๆ เหตุใดจึงพูดถึงเรื่องนี้นะ

ขณะที่นางกำลังสงสัย ลั่วฉิงก็ครุ่นคิดอย่างรอบคอบและกล่าวว่า “น้องสามถามต่อหน้าผู้อื่นจะทำให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์เอา ส่งผลต่อชื่อเสียง…”

ลั่วเซิงหัวเราะเบาๆ “พี่รองล้อเล่นแล้ว ข้ามีชื่อเสียงที่ไหน อีกอย่างข้าจะเอาของเกะกะอย่างชื่อเสียงไปทำไมกัน”

ลั่วฉิงพูดไม่ออก

นางก็แค่เห็นว่าน้องสามปฏิบัติตัวกับจวนผิงหนานอ๋องต่างจากเมื่อก่อน คิดว่าบางทีอาจจะพอกู้กลับมาได้บ้าง…

ใช้เวลาไม่นานรถม้าก็มาจอดหน้าประจูจวนลั่ว สามพี่สามทยอยลงจากรถม้า

“เซิงเอ๋อร์ เจ้าตามข้ามา” แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดเสร็จก็เดินมือไพล่หลังไปทางห้องหนังสือ

ลั่วเซิงพยักหน้าให้ลั่วฉิงและลั่วเย่ว์ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามไป

ลั่วเย่ว์เหม่อมองแผ่นหลังของลั่วเซิงอยู่นาน จนเมื่อลั่วฉิงเรียกนาง

“น้องสี่กำลังคิดอะไรหรือ”

ลั่วเย่ว์คลึงผ้าเช็ดหน้า พูดเสียงเบาว่า “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าพี่สามก็ดีเหมือนกัน พี่รองพี่ดูคุณหนูรองเฉินสิ คิดไม่ถึงเลยว่าลูกภรรยาเอกจวนอื่นจะทำเช่นนี้กับลูกอนุ ในอดีตอย่างมากพี่สามก็แค่ใช้แส้ตี…”

ลั่วฉิงพูดแทรกขึ้นอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “น้องสี่ จวนเฉินนั้นเป็นข้อยกเว้น เจ้าอย่าถือว่าเรื่องพรรค์นี้คือเรื่องปกติ”

น้องสามแตกต่างจากผู้อื่นมากแล้ว น้องสี่อย่าถูกพาเสียไปอีกคน

“แต่ว่า…” ลั่วฉิงยิ้ม “น้องสามโตแล้วจริงๆ”

มนุษย์เราคงต้องผ่านความล้มเหลวก่อนถึงจะเติบโต ไม่รู้ว่าน้องสามผ่านอะไรมาที่จินซา กลับมาจึงเปลี่ยนไปมากเช่นนี้

แม่ทัพใหญ่ลั่วที่เดินเข้าห้องหนังสือกลับไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของบุตรสาวอันเป็นที่รักเลย

ถึงอย่างไรนางก็เพิ่งถามเขาเรื่องหลานชายของผู้อาวุโสหลิน ซึ่งเป็นวิถีของบุตรสาวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

แม่ทัพใหญ่ลั่วนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ[1] และชี้เก้าอี้ข้างๆ “เซิงเอ๋อร์นั่งสิ”

ลั่วเซิงนั่งลง ท่าทีสงบนิ่ง

เรื่องเล็กน้อยอย่างหลานชายของผู้อาวุโสหลิน แม่ทัพใหญ่คงไม่ถามอะไรมาก ที่เรียกนางมาห้องหนังสือคงเป็นเพราะต้องการจะถามเรื่องของไคหยางอ๋อง

แม่ทัพใหญ่ลั่วถามถึงเว่ยหันตามคาด “เซิงเอ๋อร์ กริชฝังอัญมณีของเจ้ามอบให้ไคหยางอ๋องตั้งแต่เมื่อไร”

“ระหว่างทางกลับเมืองหลวงเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงไม่ปิดบังเรื่องนี้

แม่ทัพใหญ่ลั่วชื่นใจ “ที่แท้ให้ตอนนั้น ไม่คิดเลยว่าลั่วเซิงรู้จักขอโทษแล้ว”

ลั่วเซิงพูดต่อว่า “เอ่อ ลูกให้ไคหยางอ๋องช่วยดูแลระหว่างทางมิใช่หรือ ก็เลยให้กริชเป็นการขอบคุณเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วกะพริบตาสองสามที “ไม่ใช่ให้เพราะไถ่โทษเรื่องครานั้น แต่เป็นของขวัญขอบคุณที่ดูแลเจ้าหรือ”

ลั่วเซิงขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

แล้วมันไม่เหมือนกันหรือ

ส่วนแม่ทัพส่ายศีรษะช้าๆ และถอนหายใจ

ก็แค่ดูแลเด็กสาว เก็บทั้งเงินเก็บทั้งกริช ไคหยางอ๋องนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ

[1] คือเก้าอี้ไม้โบราณของจีน

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท