ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 87 พบกันที่หอสุรา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 87 พบกันที่หอสุรา

ลั่วเซิงกลับถึงเรือนเสียนอวิ๋นย่วน หงโต้วหน้าบานเป็นกระด้ง นางกำลังเล่าเรื่องวันนี้ให้โค่วเอ๋อร์ฟัง

โค่วเอ๋อร์บิดผ้าเช็ดหน้าในมือ สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเนื้อเรื่อง สุดท้ายถอนหายใจยาว “ทุกครั้งที่คุณหนูพาเจ้าออกไปก็เจอแต่ปัญหา บอกแล้วว่าไม่พาข้าไปด้วยไม่ได้หรอก”

หงโต้วกลอกตาอย่างไม่เกรงใจ “พาเจ้าไปด้วยทำไม คุณหนูจะเป็นลมเพราะฟังเจ้าบ่น หากคุณหนูเป็นลมไปก็จะไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตนเองได้นะ”

“หงโต้ว เจ้าหาว่าข้าพูดมากอีกแล้ว!” ใบหน้าวิจิตรงดงามของโค่วเอ๋อร์แดงก่ำราวกับถูกเหยียบหาง

นางพูดมากตั้งแต่เมื่อใดกัน ไม่ใช่เพราะมีเรื่องให้กังวลมากมายหรืออย่างไร ไม่เตือนไม่ได้หรอก

เมื่อเห็นโค่วเอ๋อร์มีทีท่าจะพูดน้ำไหลไฟดับ หงโต้วก็เขย่ากล่องในมือเบาๆ “ดูสินี่อะไร”

โค่วเอ๋อร์เปิดดู อดตะลึงไม่ได้ “นี่มันกริชที่คุณหนูมอบให้ไคหยางอ๋องมิใช่หรือ”

“ใช่แล้ว” หงโต้วได้ใจ “กริชกลับมาหาคุณหนูของเราอีกแล้ว คุณหนูเก่งใช่หรือไม่”

โค่วเอ๋อร์พยักหน้าประหนึ่งไก่จิกข้าว “อมิตาภพุทธ คุณหนูรู้จักเปิดทางให้ทรัพย์สินไหลเข้ามาแล้วประหยัดการไหลออกเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว”

“บอกแล้วว่าให้เจ้าพูดน้อยๆ คุณหนูต้องให้เจ้าเป็นกังวลด้วยหรือ”

ขณะที่สาวใช้ทั้งสองกำลังพูด ลั่วเซิงก็เดินเข้ามา

“คุณหนู” ทั้งสองคารวะพร้อมกัน

ลั่วเซิงเดินตรงเข้าไปนั่งลง โค่วเอ๋อร์รีบยื่นน้ำผสมน้ำผึ้งให้

ลั่วเซิงดื่มสองสามคำให้คอชุ่มชื่น นางเหลือบไปเห็นกริชที่วางอยู่บนโต๊ะ อดเม้มปากไม่ได้

คิดไม่ถึงว่าไคหยางอ๋องจะเป็นคนซื่อสัตย์ น่าเสียดายที่แซ่เว่ย จะซื่อสัตย์อย่างไรก็ไม่ใช่คนดี

หลังจากวิพากษ์ชายชุดสีแดงเข้มเงียบๆ เสร็จ ลั่วเซิงก็เรียกโค่วเอ๋อร์มา

“คุณหนูมีคำสั่งอะไรเจ้าคะ” อดติดตามคุณหนูออกไป โค่วเอ๋อร์กำลังอิจฉาสหายน้อยพอดี เมื่อได้ยินคุณหนูเรียกก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที

“ไปสืบหลินซู คุณชายรองของจวนผู้อาวุโสหลิน” ลั่วเซิงสั่งด้วยสีหน้าเงียบสงบ

นางจำหลานชายได้ว่าชื่อหลินซู คิดว่าไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายเพียงใด ชื่อก็คงไม่เปลี่ยนง่ายๆ

หงโต้วรีบเตือนว่า “คุณหนู ผิดแล้วๆ ชื่อผิดแล้ว คุณชายหลินผู้เข้มงวดและสง่าคนนั้นชื่อหลินเถิงเจ้าค่ะ”

แม้นางจะเพิ่งตามมาทีหลัง แต่ก็เห็นว่าคุณหนูสนใจในตัวคุณชายหลินท่านนั้นมาก

แน่นอนว่าเท่าที่นางดูแล้วเทียบกับบุรุษที่คุณหนูเคยลงมือเมื่ออดีต คุณชายหลินหน้าตาธรรมดาไปหน่อย แต่เอาเป็นว่าคุณหนูชอบก็พอ

โค่วเอ๋อร์สับสน

สรุปว่าคือหลินซูหรือหลินเถิง นางสืบไม่ได้หรอก หากไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง

“หลินซู มารดาของเขาคือท่านหญิงอู่หยาง คนที่เจ้าเคยไปสืบก่อนหน้านี้” ลั่วเซิงเอ่ย

“เจ้าค่ะ คุณหนูอยากทราบเกี่ยวกับคุณชายรองหลินด้านไหนเจ้าคะ”

“แค่ไปสืบมาว่าเขาพักผ่อนอยู่ในจวน ไม่ไปสำนักศึกษาวันไหนบ้าง”

เมื่อแน่ใจว่าหลานชายอยู่ในจวน นางก็จะได้ไปหา

โค่วเอ๋อร์ทราบเวลาพักผ่อนของหลินซูอย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่ทันถึงวันนั้น ลั่วเซิงกลับได้รับจดหมายนัดพบจากเว่ยหานเสียก่อน

ครั้งนี้จดหมายถูกยัดใส่มือของโค่วเอ๋อร์อย่างกะทันหันโดยชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆ ตอนที่โค่วเอ๋อร์เดินอยู่บนถนน จดหมายไม่ได้ให้คนเฝ้าประตูจวนลั่ว

หงโต้วจุ๊ปาก “ก่อนหน้านี้ยังให้ผ่านคนเฝ้าประตูอย่างเปิดเผยอยู่เลย ครานี้กลับหลบๆ ซ่อนๆ คุณหนู ไคหยางอ๋องคงไม่ได้กินปูนร้อนท้องหรอกนะเจ้าคะ”

“เขาคิดอย่างไรไม่สำคัญ” ลั่วเซิงพูดเสียงเย็นชาพลางเปิดจดหมาย เมื่อจำสถานที่และเวลานัดพบก็สั่งให้โค่วเอ๋อร์เก็บจดหมายให้ดี

โค่วเอ๋อร์ถือจดหมายพร่ำบ่นว่า “คุณหนูเก็บจดหมายนี้ไว้ทำไมหรือ บ่าวว่านะ จดหมายแบบนี้เผาทำลายทิ้งจะปลอดภัยกว่าเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงยิ้ม “เก็บไว้ถึงปลอดภัย อย่ามากความ เก็บไว้ให้ดีกับเทียบเชิญก่อนหน้านี้”

โค่วเอ๋อร์ได้ยินลั่วเซิงพูดเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก นางถือจดหมายเดินไปที่ห้องหนังสือ

หงโต้วทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีทั้งเทียบเชิญและจดหมายของไคหยางอ๋อง”

“นั่นน่ะสิ คิดไม่ถึงเลย” สายตาของลั่วเซิงมองผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าและหยุดอยู่ที่ต้นอวี้หลันในสวน

ดอกอวี้หลันสีขาวดุจหิมะบานสะพรั่งเต็มต้น ราวกับหิมะที่ทับเป็นชั้นๆ บนกิ่งไม้ ราวกับหัวใจที่เยือกเย็นของนาง

ไม่นานก็ถึงวันเวลานัดหมาย สถานที่นัดพบในครั้งนี้คือสวนหลังเรือนของหอสุราที่ไม่สะดุดตา

ตอนที่ลั่วเซิงถูกนำทางเข้ามาก็เห็นชายสวมชุดสีแดงเข้มคนหนึ่งนั่งข้างโต๊ะหินที่อยู่ใต้ต้นไม้ในสวนเงียบๆ ข้างหน้ามีกาน้ำชาหนึ่งใบและแก้วชาสองใบวางอยู่ ท่าทางกำลังรอคอยใครบางคน

เมื่อได้ยินเสียง เว่ยหานก็หันไปมอง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปต้อนรับ “คุณหนูลั่วมาแล้วหรือ”

ลั่วเซิงเดินไป เมื่อเดินผ่านองครักษ์ก็ชะงักฝีเท้า ถามว่า “เจ้าคือพี่น้องของสือเยี่ยน?”

สืออี้ชะงัก อดมองเว่ยหานไม่ได้ เมื่อเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรจึงตอบว่า “ข้าน้อยชื่อสืออี้ น้องของสือเยี่ยนขอรับ”

ลั่วเซิงพยักหน้า เดินไปข้างหน้าเว่ยหาน

“คุณหนูลั่วเชิญนั่ง”

ลั่วเซิงนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองเขายกกาน้ำชารินชา ท่าทางสง่างาม

“คุณหนูลั่วตาดี” เว่ยหานยื่นแก้วชาให้

สืออี้และสื่อเยี่ยนเป็นพี่น้องฝาแฝด หน้าตาแทบจะเหมือนกันทุกประการ ไม่คิดว่าคุณหนูลั่วจะจำได้ทันทีที่เห็น

ลั่วเซิงยกแก้วชาขึ้นจิบคำหนึ่ง พูดราบเรียบว่า “ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้ว แค่เห็นว่าไม่ค่อยเหมือนกับองค์รักษ์ใกล้ตัวท่านที่ไปนำกริชมาตอนอยู่จวนผิงหนานอ๋องน่ะเจ้าค่ะ”

เว่ยหานยิ้มๆ พูดเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม “ตอนนี้คุณหนูลั่วบอกข้าได้หรือยังว่าของที่ทำให้หมอเทวดาประทับใจคือสิ่งใด”

ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “เกรงว่าจะไม่ได้”

เว่ยหานขมวดคิ้ว

หลังจากที่ได้รู้จักกันก่อนหน้านี้ เขาไม่คิดว่าคุณหนูลั่วจะว่างจนล้อเล่นกับเขา

กลับคำกับเรื่องแบบนี้ก็ต้องดูว่าเขายินยอมหรือไม่

เมื่อมีความคิดในใจแล้ว ใบหน้าเว่ยหานยังคงสงบ รอเพียงหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามอธิบายเหตุผล

เมื่อเห็นเว่ยหานไม่ได้โมโห ลั่วเซิงก็ไม่ได้อุบไว้นาน พูดตรงๆ ว่า “ของที่ข้าให้หมอเทวดาสามารถเรียกความสนใจของเขาได้เพียงครั้งเดียว มีครั้งที่สองอีกไม่ได้”

“ข้ายังคงอยากรู้ว่าคืออะไร”

ก่อนหน้านี้การแลกเปลี่ยนไร้เสียงที่จวนผิงหนานอ๋อง เขาไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้

เว่ยหานรู้สึกเหมือนถูกหลอกอีกครั้ง ทว่าความเยือกเย็นสุขุมอย่างการไม่ใช้วาจารุนแรงกับสตรีเขายังคงมี

“คือยาชนิดหนึ่ง ยาที่หมอเทวดาสนใจ บัดนี้หมอเทวดาได้ของไปแล้ว ย่อมไม่สนใจอีก” ลั่วเซิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า จู่ๆ น้ำเสียงก็แปรเปลี่ยน “แต่ข้ามั่นใจแปดส่วนว่าจะช่วยเชิญหมอเทวดาให้ท่านอ๋องได้”

สีหน้าสงบของเว่ยหานเปลี่ยนแปลง “มั่นใจแปดส่วน?”

“อืม”

“ในเมื่อคุณหนูลั่วให้ยาไปแล้ว แล้วเตรียมจะใช้ของอะไรเชิญหมอเทวดาได้อีกหรือ”

ลั่วเซิงยิ้มพูดว่า “ครั้งนี้ไม่ต้องไปหาหมอเทวดา รอหมอเทวดามาจวนลั่วเพื่อหาข้าก็พอ”

เว่ยหานขมวดคิ้ว

คำพูดของคุณหนูลั่วทำเอาเขาสับสนไม่หมด

ไม่ไปเชิญหมอเทวดา รอหมอเทวดามาหาถึงที่เอง?

เมื่อคิดถึงความล้มเหลวหลายครา เว่ยหานยกแก้วชาขึ้นจิบคำหนึ่งเงียบๆ

คุณหนูลั่วคงไม่ใช่ว่ายังเรียกสติคืนจากคดีที่เกิดขึ้นในจวนผิงหนานอ๋องไม่ได้หรอกนะ หรือว่าหลอกเขาเล่นจนติดเป็นนิสัยแล้ว?

“ถ้าหากหมอเทวดาไม่มาเล่า”

“ท่านอ๋องรอก่อนได้ ไม่เกินหนึ่งเดือน หมอเทวดาต้องมาหาข้าที่จวนลั่วแน่นอนเจ้าค่ะ”

คำนวณเวลาแล้ว ระยะเวลาหนึ่งเดือนเพียงพอที่หมอเทวดาหลี่ส่งคนไปสืบเรื่องหมอเทวดาตัวปลอมและส่งจดหมายกลับมา

เท่าที่นางรู้จักหมอเทวดา หมอเทวดาต้องมาคิดบัญชีกับนางถึงที่แน่นอน

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท