ตอนที่ 91 คุณหนูลั่วกำลังทำอะไร
เมื่อได้เห็นการปฏิบัติต่อหลินซูของญาติสตรีจวนหลินด้วยตนเอง ลั่วเซิงจึงวางใจลงได้ นอกจากนี้ยังจับจุดอ่อนอีกหนึ่งอย่างของไคหยางอ๋องได้ ถือเป็นเรื่องน่าดีใจที่คาดไม่ถึง
ศัตรูของนางคือองค์รัชทายาทและจวนผิงหนานอ๋อง การเผชิญกับอำนาจเช่นนี้ สถานะเช่นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วนั้นมิใช่อะไรเลย
เป็นสตรีเสเพลเกี้ยวพาคุณชายยามว่าง หรือรังแกสตรีสูงศักดิ์จวนอื่นเป็นครั้งคราว ครอบครัวแต่ละครอบครัวเมื่อโมโหแล้วสุดท้ายก็ยอมทนเพราะอำนาจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
แต่หากต้องเลือดตกยางออก เป็นอันตรายต่อชีวิตของครอบครัว แม้ฝ่ายตรงข้ามจะโอนอ่อนก็จะต่อสู้กลับอย่างเอาเป็นเอาตาย
แน่นอนว่าหากฮ่องเต้ต้องการตัดศีรษะผู้ใด ผู้นั้นย่อมต้องตาย เรื่องนี้ก็อีกเรื่อง
การที่ลั่วเซิงต้องการให้องค์รัชทายาทและจวนผิงหนานอ๋องชดใช้ เลือดต้องล้างด้วยเลือดนั้น ย่อมสามารถจินตนาการได้ถึงความยากลำบาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่านางไม่สามารถเป็นคนที่มีจิตใจเปิดเผย การใช้จุดอ่อนข่มขู่ไคหยางอ๋องให้ช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยในยามคับขันเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก
ระหว่างทางกลับจวน ลั่วเซิงอารมณ์ดีมาก
แม่ทัพใหญ่ลั่วเองก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน
กลับมาง่ายๆ ได้เช่นนี้ เหมือนกับกำลังฝันเลย
“หินไท่ซานของจวนหลินสวยหรือไม่ หากเซิงเอ๋อร์ชอบ เราขนหินจากไท่ซานมาประดับไว้ในสวนก็ได้” เมื่อแม่ทัพใหญ่ลั่วอารมณ์ดีก็พูดคุยมากขึ้น
ลั่วเซิงยิ้มๆ “ท่านพ่อมิต้องระดมกำลังไปขนหรอกเจ้าค่ะ”
พูดความจริง หินไท่ซานของจวนหลินก้อนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรนางยังจำไม่ได้เลย เพราะความสนใจทั้งหมดอยู่ที่หลานชายคนโต
แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินลั่วเซิงพูดเช่นนี้ อารมณ์ดีๆ ของเขาก็หายไป
แปลกจริงๆ ในอดีตสิ่งใดที่บุตรสาวชอบนางจะต้องเอามาให้ได้ เหตุใดครานี้จึงเปลี่ยนไปนะ
เมื่อคิดถึงความสนใจต่อคุณชายรองหลินเป็นพิเศษของบุตรสาว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ตบขาทีหนึ่ง
เข้าใจแล้ว ที่เซิงเอ๋อร์ไม่อยากนำหินไท่ซานมาไว้ในจวนก็เพราะต่อไปจะได้มีข้ออ้างไปจวนสกุลหลินอีก
ไม่ได้หรอกนะ จวนสกุลหลินเป็นจวนผู้รากมากดี แม้แต่ในกระดูกก็สูงส่ง ไม่เหมือนขุนนางผู้มีอำนาจที่ไร้ยางอายเหล่านั้น
หากบุตรสาวทำอะไรล่วงเกิน จวนสกุลหลินตายให้เขาดูจะทำอย่างไร
แม้เขาจะเคยชินกับความเจ็บความตายและมีคนมากมายตายในมือของเขา แต่นี่ก็ยังเป็นเรื่องลำบากอยู่เล็กน้อย
ลั่วเซิงเลิกคิ้ว “ท่านพ่อเป็นอะไรเจ้าคะ”
“ไม่ได้เป็นอะไร” แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มกลบเกลื่อน ลอบตัดสินใจว่าจะต้องรีบหาหินไท่ซานชั้นดีมาไว้ในจวนให้เร็วที่สุด
อืม หากหาหินชั้นดีไม่ได้ อย่างมากก็แค่ขอจากจวนผู้อาวุโสหลินมา
ระว่างหลานชายและหินไท่ซาน ผู้อาวุโสหลินน่าจะรู้ว่าต้องเลือกอะไร
“เช่นนั้นลูกขอกลับห้องก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปเถิด” เมื่อส่งบุตรสาวเสร็จ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็กลับไปที่ศาลาว่าการ
ลูกน้องคนหนึ่งถวายจดหมาย “ท่านแม่ทัพใหญ่ จดหมายจากนายท่านห้าขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วอ่านจดหมายก็คลายคิ้วที่ขมวดลง
เจ้าห้าเขียนในจดหมายว่าโจรป่าระหว่างทางถูกกำจัดไปมากกว่าครึ่งแล้ว ถือว่ารวดเร็วจริงๆ
มีงานราชการหลายอย่างที่ต้องจัดการในศาลาว่าการ แม่ทัพใหญ่ลั่วจมอยู่กับกองเอกสารราชการอย่างรวดเร็ว
หลายวันมานี้ เมืองหลวงเกิดเรื่องสองสามเรื่องต่อเนื่องกัน
เรื่องแรกคือคุณหนูรองของจวนอำมาตย์เฉิน หลังจากที่ร่วมงานเลี้ยงวันเกิดพระชายาผิงหนานอ๋องแล้วก็เสียชีวิตกะทันหันในคืนนั้น เรื่องที่สองคือไม่รู้ว่าเหตุใดจวนผู้อาวุโสหลินจึงตัดต้นไม้จำนวนหนึ่งในคราเดียว ส่วนอีกเรื่องหนึ่งยังคงเกี่ยวข้องกับจวนอำมาตย์เฉิน
อำมาตย์เฉินถูกข้าราชการฟ้องให้ขับออกจากตำแหน่ง โทษฐานที่สำคัญที่สุดคือการปกครองดูแลครอบครัวที่หละหลวม
แน่นอนว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วก็เป็นส่วนหนึ่งในข้าราชการเหล่านั้น
การได้ทำงานในเน่ยเก๋อ[1]คือจุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิตของเหล่าข้าราชการต้าโจว ทุกวันนี้อำมาตย์เฉินเดินมาถึงจุดๆ นี้ได้ไม่รู้ว่าเหยียบย่ำผู้คนมากมายเท่าไร
ตำแหน่งอำมาตย์ทุกตำแหน่งล้วนมีคนนับไม่ถ้วนจับจ้อง จ้องจนตาแดง บัดนี้กว่าจะจับจุดอ่อนที่ปกปิดไว้ไม่ได้ของอำมาตย์เฉิน ทั้งยังมีแม่ทัพใหญ่ลั่วคอยเติมน้ำมันในกองเพลิง แน่นอนว่าต้องดึงอำมาตย์เฉินลงจากตำแหน่งได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้อำมาตย์เฉินผู้สง่าผ่าเผยมาหลายปีต้องกลับบ้านเก่าเกษียณตนเอง ตระกูลเฉินซึ่งถือว่าเป็นสมาชิกของแวดวงชั้นนำในเมืองหลวงถูกไล่ออกกะทันหัน และทั้งครอบครัวก็ออกจากเมืองหลวงอย่างน่าเศร้าใจ
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเหยียบย่ำอำมาตย์เฉินและผู้ที่เฝ้าดูความเดือดร้อนของผู้อื่นต่างพากันทอดถอนใจ พวกเขาเข้มงวดกับการเลี้ยงดูลูกหลานของตระกูลอย่างมิได้นัดหมาย
เมื่อคนเหล่านี้สั่งสอนลูกหลานยังไม่ลืมที่จะเตือนว่า “อย่าไปเปรียบเทียบกับคุณหนูลั่ว จวนสกุลลั่วมองเพียงระยะสั้น แน่นอนว่าชอบแบบไหนก็ทำเช่นนั้น”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเป็นขุนนางผู้ทรงอำนาจและยังเป็นขุนนางผู้เป็นที่โปรดปราน ยิ่งเป็นบุคคลเช่นนี้ก็ยิ่งเกรงกลัวการขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์องค์ใหม่ เพราะขุนนางของราชวงศ์เก่าจะถูกแทนที่ด้วยขุนนางของราชวงศ์ใหม่
อนาคตต้องมีวันที่สกุลลั่วต้องชดใช้หนี้
อะไรนะ ลูกๆ ของแม่ทัพใหญ่ลั่วสามารถพลิกตัวได้โดยอาศัยการแต่งงานกับบุรุษดีๆ?
พูดเป็นเล่น นอกจากคุณหนูใหญ่ลั่วที่มีสัญญาหมั้นหมายอยู่นานแล้ว บุตรสาวสามคนที่เหลือจะแต่งออกไปได้น่ะสิแปลก
แต่ก็มีบางคนไม่ค่อยเห็นด้วย “ได้ยินมาว่าคุณหนูลั่วมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับไคหยางอ๋องด้วย”
คนที่ได้ยินคำพูดนี้ยิ้มหยัน “หากเจ้าเคยถูกคุณหนูลั่วเกี้ยวพา จะลือว่าเจ้าคลุมเครือกับคุณหนูลั่วก็ย่อมได้ ผู้ชายคนหนึ่งถูกผู้หญิงล่วงเกิน ยังจะแต่งผู้หญิงเข้าจวนอย่างยินดีปรีดาอยู่รึ”
ไม่ได้แน่นอน เว้นแต่ผู้ชายคนนี้เสียสติ
ไคหยางอ๋องเสียสติหรือ
เว่ยหานเสียสติจริงๆ ดังนั้นตั้งแต่วันที่แยกกับคุณหนูลั่วหลังจากกลับมาจากหอสุราก็คอยเฝ้านับวันเวลาเงียบๆ เฝ้าดูเพียงว่าหมอเทวดาหลี่จะไปจวนลั่วหรือไม่
ระหว่างนี้ สือเยี่ยนรายงานเรื่องให้เขาฟังมากมาย เช่น คุณหนูลั่วไปจวนหลิน ขอให้คุณชายทั้งสองของจวนหลินพาเดินชมสวน คุณหนูลั่วเดินเล่นซื้อของในตลาดยิ้มให้บุรุษรูปงามคนหนึ่ง ทำเอาชายคนนั้นตกใจวิ่งหนีลนลาน คุณหนูลั่วพาลูกพี่ลูกน้องทั้งกินดื่มและเที่ยวอย่างสนุกสนาน คุณหนูลั่ว…
เว่ยหานไล่สือเยี่ยนไปขัดถังส้วมเหมือนเดิม เปลี่ยนให้สืออี้ไปคอยจับตามองแทน ในที่สุดหูก็สงบลง
ท่านอ๋องหนุ่มที่ได้รับความสงบคืนก็อดคิดไม่ได้ว่า วันนี้คุณหนูลั่วทำอะไรอีกนะ
แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจว่าคุณหนูลั่วทำอะไร หลักๆ เป็นเพราะสงสัยว่าคุณหนูลั่วทำอะไรถึงล่อหมอเทวดามาได้
หลังจากผ่านไปหลายวันไม่ได้ยินข่าวคราวมีค่าอะไรจากปากของสืออี้คนน่าเบื่อหน่ายนั่น เว่ยหานก็สลับหน้าที่ของสองพี่น้องเงียบๆ อีกครั้ง
วันนี้ จู่ๆ ผู้คนที่ได้รับป้ายหมายเลขเข้าไปรอพบหมดเทวดาในเรือนก็ได้ยินเสียงตะโกนโมโหดังลั่น “มีอย่างที่ไหน โมโหจริงๆ!”
ทุกคนอดมองหน้ากันไม่ได้
หมอเทวดากำลังตะโกนหรือ
ไม่ได้สิ คนอย่างหมอเทวดาจะตะโกนเสียงดังลั่นเช่นนี้ได้อย่างไร
ในห้อง หมอเทวดาหลี่จับจดหมายไว้แน่นด้วยสีหน้าโมโหจนหน้าดำหน้าแดง
เขาส่งคนไปหนานหยางเพื่อยืนยันว่ามี ‘หมอเทวดาหลี่’ อีกท่านหนึ่งอยู่ที่นั่น อ้างชื่อเขารักษาผู้ป่วยอยู่หรือไม่
ใครจะไปคิดว่าเมืองหนานหยางไม่มีหมอเทวดาหลี่ แต่จินซากลับมีหมอเทวดาหวัง ชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปถึงหนานหยางแล้ว
หมอเทวดาหวังคนนั้นนอกจากจะขายยาบำรุงปราณแล้ว ยังขายยาลดไข้ด้วย!
ใช่แล้ว ฝ่ายตรงข้ามเรียกยาลดไข้ว่ายาเชียนจิน แต่ฟังจากปากของคนที่ถูกส่งไปและดูจากยาเม็ดสองเม็ดที่ส่งกลับมาพร้อมจดหมาย ยาเชียนจินที่ว่าก็คือยาลดไข้
แค่นี้ยังไม่พอ การที่สามารถใช้ยาลดไข้ช่วยชีวิตคนนั้นถือเป็นการสั่งสมบุญกุศล แต่การใช้ยาบำรุงปราณรักษาอาการป่วยให้ผู้อื่นแต่กลับไม่รู้จักกระสายยานั้นหมายความว่าอย่างไร
ใช่แล้ว ที่ชื่อเสียงของหมอเทวดาหวังดังไปถึงหนานหยางไม่ใช่เพราะมีฝีมือการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่เพราะเจ้าสารเลวคนนี้ขายยาปลอม!
น่าโมโหจริงๆ
สิ่งที่ทำให้หมอเทวดาหลี่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือหมอเทวดาหวังเจ้าคนน่ารังเกียจนั่นมียาบำรุงปราณและยาลดไข้ได้อย่างไร
หมอเทวดาหลี่เคราสั่นเทิ้ม ถอนหายใจ
อยากจะคลายความสงสัยก็ต้องรอคนที่ถูกส่งไปพาเจ้าสารเลวนั่นกลับมาเมืองหลวง
ดีที่นับๆ ดูแล้วก็ใกล้จะถึงแล้ว
[1] คือ องค์กรในระบบราชการของจักรวรรดิจีน เปรียบเสมือนคณะรัฐมนตรีในปัจจุบัน