ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 92 ขาดเสี่ยวเอ้อร์หรือไม่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 92 ขาดเสี่ยวเอ้อร์หรือไม่

เวลาใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงเวลาหนึ่งเดือนที่ลั่วเซิงเคยเอ่ยไว้ หมอเทวดาหลี่ก็ยังไม่ไปจวนสกุลลั่วเสียที

เว่ยหานเริ่มรู้สึกว่าเขาถูกหญิงสาวคนนั้นหลอกอีกแล้ว อาจจะเป็นเพราะเขาชินชาแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก

เพียงแต่ว่าเชิญหมอเทวดามาไม่ได้ สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องยุ่งยากจริงๆ…

ส่วนลั่วเซิง ยามกินก็กิน ยามดื่มก็ดื่ม นางใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินเล่นตลาด ราวกับว่าลืมเรื่องที่รับปากไคหยางอ๋องไว้

แน่นอนว่าคุณหนูลั่วไม่ได้ไปตลาดเพียงผู้เดียว โดยปกติจะไปพร้อมพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง สาวใช้อีกสองคน บางครั้งยังพาสตรีสามัญที่สวมผ้าคลุมปิดหน้ามาด้วย

ในแง่ของความเหิมเกริมนั้น น้อยกว่าอดีตมาก แต่ในแง่ของอำนาจนั้น ไม่ได้น้อยไปกว่าอดีตเลย

เห็นได้จากความจริงที่ว่าบุรุษหลายคนที่ภาคภูมิใจในความงามของตัวเองจะหลีกเลี่ยงคุณหนูลั่วเหมือนกับเลี่ยงงูเลี่ยงแมงป่อง

เมื่อเจอผู้ชายอีกคนหนึ่งที่จำคุณหนูลั่วได้ เขาก็หลุบสายตาลงทำทีอยากจะหลีกเลี่ยง หงโต้วเอามือเท้าเอวถ่มถุยว่า “ถุย ไม่ลองตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาบ้าง คิดว่าตนเองเป็นเทพเซียนหรือไร”

ผู้ชายที่คุณหนูเลี้ยงมีคนไหนไม่หล่อเหลาเหมือนพานอัน[1]บ้าง คุณชายซือเสียชีวิตไปแล้วขอไม่กล่าวถึง รู้หรือไม่ว่าคุณชายหมิงและเสี่ยวฟู่เสวี่ยตอนนี้กำลังทำอะไร

พวกเขากำลังเลี้ยงต้าไป๋!

คุณชายรูปงามเช่นนั้นยังถูกไล่ไปเลี้ยงห่าน ใบหน้าคางยื่นคล้ายสัปปะรดนั่นคิดว่าตนเองเลิศเลอประเสริฐศรีมากหรือถึงคิดว่าคุณหนูจะชอบ?

หงโต้วยิ่งคิดยิ่งโมโห

โค่วเอ๋อร์ห้ามปรามอยู่ข้างๆ “พอแล้ว คนอัปลักษณ์มักทำอะไรแปลกๆ โมโหเพราะเรื่องนี้ไม่คุ้มหรอก”

“ข้าโมโหที่พวกเขามีตาหามีแววไม่” หงโต้วเดือดดาล

โค่วเอ๋อร์ถือผ้าเช็ดหน้ายิ้มพูดว่า “ข้าว่าพวกเขาไม่ใช่มีตาหามีแววไม่หรอก หากอยากจะหลีกเลี่ยงคุณหนูของเราเหมือนเลี่ยงงูเลี่ยงแมงป่อง ถ้าเจอแล้วก็เดินเลี่ยงไปเงียบๆ ก็ได้ แต่กลับทำท่าทีตื่นตระหนกตกใจ รู้หรือไม่ว่าเขาเรียกว่าอะไร”

“อะไรหรือ” หงโวถามอย่างให้ความร่วมมือ

“แสร้งปล่อยเพื่อจับ!” โค่วเอ๋อร์ใช้นิ้วชี้ที่ขาวเนียนชี้ไปข้างหน้า “คนประเภทนี้ทำเป็นไม่เอาไม่ชอบ ในใจคงอยากจะให้คุณหนูชอบแทบแย่ คุณหนูของเราคือใครกัน คือคุณหนูที่เห็นไข่มุกเป็นกรวดหิน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะมีคุณชายสูงศักดิ์มากมายเช่นนี้ คนไม่มีจะกินคิดแต่ประจบสอพลอมีมากถมไป”

สมัยราชวงศ์ก่อนยังมีอัครมหาเสนาบดีสองท่านแย่งชิงกันแต่งหญิงม่ายเพื่อสินเดิมก้อนใหญ่ ผู้ชายห่วยแตกทำตัวเป็นสูงส่งอะไรกัน

หงโต้วพยักหน้าจริงจัง “โค่วเอ๋อร์ เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดมีเหตุผลมาก!”

โค่วเอ๋อร์เม้มปากเล็กน้อย “มีครั้งไหนที่ข้าพูดไม่มีเหตุผลกัน ข้าบอกแต่แรกแล้ว ทุกสิ่งจะมองแค่ผิวเผินไม่ได้…”

หงโต้วปิดหูเงียบๆ

ลั่วเซิงไม่สนใจสาวใช้สองคนที่พูดไม่หยุด จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าถามซิ่วเย่ว์ที่เงียบมาตลอดทางว่า “ท่านอาซิ่ว ท่านคิดว่าที่นี่เป็นอย่างไร”

ซิ่วเย่ว์เงียบแสดงความประหลาดใจ

นางไม่เข้าใจว่าจู่ๆ คุณหนูลั่วถามนางเรื่องนี้ทำไม

ลั่วเซิงยื่นมือชี้ออกไป พูดราบเรียบว่า “ครั้งหน้าเราจะเปิดหอสุราที่นี่ ท่านคิดว่าจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าหรือไม่”

ท่านอาซิ่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดตามความจริงว่า “หากแม่ครัวมีฝีมือทำอาหารเช่นคุณหนู ย่อมต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเจ้าค่ะ”

ระหว่างทางที่เข้าเมืองหลวงนางได้รู้จักฝีมือการทำอาหารอันยอดเยี่ยมของคุณหนูลั่ว ช่วงหลายวันที่นางอยู่จวนแม่ทัพใหญ่ นางทำงานอยู่ในครัว คุณหนูลั่วมักจะขอให้นางทำอาหารให้นางกิน

เมื่อซิ่วเย่ว์ทำเสร็จแล้ว คุณหนูลั่วมักจะเรียกนางมาเพื่อชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของอาหาร

ทุกครั้งที่ฟังคำชี้แนะของคุณหนูลั่ว นางก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณหนูลั่วเหมือนท่านหญิง จนกระทั่งบางครั้งที่ตกอยู่ในภวังค์ มักจะเกิดภาพลวงตาว่าคุณหนูลั่วและท่านหญิงคือคนๆ เดียวกัน

ไม่เช่นนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่บนโลกนี้จะมีคนที่มีความคิดเหมือนกันสองคน

แต่ท่านหญิงจากไปตั้งแต่เมื่อสิบสองปีก่อน ไม่มีความสัมพันธ์กับคุณหนูลั่วแม้แต่น้อย

คงเป็นเพราะนางคิดถึงท่านหญิงมากเกินไปแล้ว

ท่านหญิงของนางน่ะ เป็นสตรีที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว

ลั่วเซิงเห็นน้ำตาในดวงตาของซิ่วเย่ว์ก็รู้สึกเศร้า แต่กลับทำได้เพียงแสร้งไม่เห็นน้ำตาเหล่านั้น ยิ้มถามว่า “ถึงครานั้นให้ท่านอาซิ่วเป็นแม่ครัวใหญ่ดีหรือไม่”

“ข้าหรือเจ้าคะ” ซิ่วเย่ว์ชะงักงัน

“อืม ท่านเป็นแม่ครัวใหญ่ ข้าก็จะช่วยด้วย เช่นนี้หอสุราคงมีลูกค้าเยอะแน่ๆ ใช่หรือไม่”

“ใช่ๆ!” ซิ่วเย่ว์ไม่ทันตอบ คุณชายสามเซิ่งที่เดินมาข้างๆ พยักหน้าหงึกๆ ตื่นเต้นจนเกือบจะจับมือลั่วเซิงไว้แล้ว

เป็นเขานั้นไม่ง่ายหรอกนะ ที่มาส่งน้องสาวเข้าเมืองหลวงแล้วยังไม่ยอมกลับไปก็เพราะรอกินอาหารที่น้องสาวรับปากเอาไว้!

สุดท้ายรอแล้วรออีก แม้แต่จดหมายจากมารดาผู้ให้กำเนิดที่ถามว่าเหตุใดจึงยังไม่กลับมาก็ได้รับแล้ว เขาก็ยังไม่ได้กินอาหารฝีมือน้องสาวเลย

ต้องเป็นเพราะว่าสวรรค์ทนเห็นเขาน่าสงสารเช่นนี้ไม่ได้แน่ๆ คิดไม่ถึงว่าน้องสาวจะเปิดหอสุรา และยังลงครัวด้วยตนเองด้วย!

“น้องลั่ว!” คุณชายสามเซิ่งสูดหายใจเข้าลึก ถามอย่างจริงจังว่า “หอสุราเจ้าขาดเสี่ยวเอ้อร์หรือไม่”

หากน้องสาวจะลงครัวด้วยตนเองเป็นครั้งคราวจริงๆ เช่นนั้นเขาจะเขียนจดหมายตอบกลับไปว่าภายในปีสองปีนี้จะไม่กลับไปแล้ว เขาจะทำงานในเมืองหลวง สวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิด

“เสี่ยวเอ้อร์? ย่อมต้องการ แต่ว่าท่านพี่…”

“ข้าทำได้!” คุณชายสามเซิ่งตบหน้าอก “น้องลั่วดูร่างกายข้าสิ มีแรงยกจานแน่นอน และยังเป็นมืออันธพาลให้เป็นครั้งคราวได้ด้วย”

เขายังบีบแก้มตนเองเบาๆ “หน้าตาก็ไม่เลว ลูกค้าไม่ตกใจหนีแน่นอน”

เขาคิดว่าหากต้องการดึงดูดลูกค้าผู้หญิงเข้ามานั้นก็ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ว่าต้องรู้จักถ่อมตนบ้าง เขาจึงไม่ได้พูดออกมา

คนที่บังเอิญเดินผ่านมาส่ายศีรษะเงียบๆ

คุณชายเหล่านี้พูดจาเหลวไหลอะไรกัน อยู่ๆ จะไปเป็นเสี่ยวเอ้อร์ เป็นไปได้อย่างไร

คนๆ นั้นเดินช้าลงเพราะความสงสัย

“น้องลั่ว ได้หรือไม่” คุณชายสามเซิ่งถามด้วยสีหน้าคาดหวัง

“หากท่านพี่ไม่ถือสา ย่อมได้เจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงไม่คิดว่าให้คุณชายสามเซิ่งเป็นเสี่ยวเอ้อร์ไม่ได้ ในเมื่อเขาอาสาจะเป็นเอง

เมื่อหอสุราเปิดจริงๆ นางในฐานะที่เป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วจะเป็นแม่ครัวด้วย

“เช่นนั้นก็ตามนี้นะ”

ลั่วเซิงพยักหน้า “ตามนี้เจ้าค่ะ”

คนที่เดินชะลอความเร็วลงเพื่อฟังเรื่องผู้อื่นเดินจากไปด้วยสีหน้างุ่มง่าม เดินพลางคิดว่า ต่อไปที่นี่จะเปิดหอสุรา เขาต้องมาลิ้มลองเสียแล้ว

ลั่วเซิงมองไปที่ร้านๆ หนึ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

การเดินเล่นตลาดหลายวันมานี้ในที่สุดก็เป็นผลเสียที ร้านค้าร้านนี้ต่อไปก็จะเป็นหอสุราของนางแล้ว

นางเดินลัดเลาะทุกซอกทุกมุม สำรวจแผนผังของสถานที่ที่เหล่าข้าราชการชอบมารวมตัวกันอย่างรอบคอบ เพียงเพื่อเลือกสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการเปิดหอสุรา

ระยะทางจากจวนผิงหนานอ๋องถึงที่นี่มีเพียงถนนเส้นหนึ่งที่สะดวกที่สุด และถนนเส้นนี้ยังมีสถานที่หลายแห่งที่สะดวกสำหรับการซุ่มโจมตีและหลบซ่อนตัว

นางจะใช้หอสุราเป็นเหยื่อล่อให้ผิงหนานอ๋องติดเบ็ด เมื่อปลาคุ้นเคยกับการใช้เส้นทางเดิมเพื่อหาอาหารในเวลาเดิม นางจะฆ่าผิงหนานอ๋องเพื่อสังเวยพ่อแม่และญาติของนาง!

ลั่วเซิงสายตาเยือกเย็น ลุ่มลึกไม่เห็นก้นบึ้ง นางจ้องร้านขายเครื่องประทินโฉม ริมฝีปากเหยียดตรง

จู่ๆ คุณชายสามเซิ่งก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เขาเตือนว่า “น้องลั่ว ร้านที่เจ้าบอกว่าจะเปิดหอสุราคือร้านเครื่องประทินโฉมหรือ”

หงโต้วเบ้ปาก “แล้วทำไมหรือ คุณหนูชอบ แค่ซื้อมาก็ได้แล้ว”

“ข้าเห็นเขาทำมาค้าขายไม่เลว หากไม่ขายเล่า”

จะเปิดหอสุราล้มเหลวไม่ได้นะ เป็นกังวลจริงๆ

“ไม่ขาย?” หงโต้วยกเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย ใช้สายตาเหลือเชื่อมองคุณชายสามเซิ่ง “คุณชายหลานนอก พูดเรื่องขำขันอะไรกัน สิ่งของที่คุณหนูเราชอบ ไม่มีใครไม่ขาย”

ไม่ขาย นั่นก็เป็นเพียงเพราะเงินไม่พอ

คุณหนูของพวกนางขาดแคลนเงินหรือ

[1] หนึ่งในสี่หนุ่มรูปงามในประวัติศาสตร์จีน

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท