ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 102 ในตรอก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 102 ในตรอก

สือเยี่ยนเหมาะสม

ขอไม่พูดถึงเรื่องอื่น การได้รู้จักกันระหว่างทางเข้าเมืองหลวง สำหรับคุณหนูลั่วแล้วอย่างน้อยสือเยี่ยนก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า

เดิมการส่งองครักษ์ประจำตัวของตนเองไปจวนคุณหนูลั่วนั้นไม่ค่อยเหมาะสมอยู่แล้ว แต่คุณหนูคนนี้คือคุณหนูลั่ว ส่งสาวใช้ไปอยู่กับนายบำเรอที่ผู้อื่นเลี้ยงไม่เหมาะสมยิ่งกว่า

สือเยี่ยนพูดมากไปหน่อย แต่พูดมากก็มีข้อดี อย่างน้อยในช่วงครึ่งปีที่เขาอยู่จวนสกุลลั่ว เขาก็สามารถรับข้อมูลมากมายทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ

เมื่อไตร่ตรองดีแล้ว เว่ยหานเรียก “สือเยี่ยน…”

สือเยี่ยนวิ่งแจ้นเข้ามา “นายท่านมีคำสั่งอะไรหรือขอรับ”

หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามเว่ยหานเผยรอยยิ้มแจ่มแจ้ง

“ส่งคุณหนูลั่วกลับจวนแทนข้า”

“ขอรับ” สือเยี่ยนประสานมือ ไม่รู้เลยว่าจากนี้จะได้ยินคำว่าอะไร

เว่ยหานน้ำเสียงคงเดิม “แล้วก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว”

สือเยี่ยน “?”

เว่ยหานไม่สนใจอาการงงงันขององครักษ์น้อย พูดขึ้นอีกว่า “อาศัยในจวนสกุลลั่วครึ่งปี ช่วยคุณหนูลั่วดูแลห่านสีขาวตัวใหญ่ที่นางเลี้ยงให้ดี”

สือเยี่ยน “??”

สือเยี่ยนงุนงงพักใหญ่ กว่าจะขานตอบ “นายท่าน ท่าน… ท่านให้ข้าเลี้ยงห่านหรือ”

เว่ยหานหรี่ตามองเขา สีหน้าเย็นชา “ทำไมรึ ไม่เต็มใจ?”

สือเยี่ยนสะดุ้ง รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “เต็มใจ ข้าน้อยเต็มใจขอรับ!”

เปรียบเทียบกับการขัดถังส้วมแล้ว เลี้ยงห่านสบายกว่ามาก เขารู้ว่าต้องเลือกอย่างไร

“เช่นนั้นกลับไปพร้อมคุณหนูลั่วเถอะ”

เมื่อเดินจากหอสุรามาไกล สือเยี่ยนที่เชื่องซึมยังคงครุ่นคิดเรื่องหนึ่ง เขาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของนายท่านนี่ มีฝีมือต่อสู้โดดเด่น เหตุใดต้องเลือกระหว่างขัดถังส้วมและเลี้ยงห่านสองอย่างนี้นะ

หงโต้วที่เดินอยู่ข้างๆ เบ้ปาก “เจ้าสือซานหั่ว เจ้าทำหน้าตาซังกะตายเช่นนี้ทำไม คงไม่ได้คิดว่าเลี้ยงต้าไป๋ให้คุณหนูของเราลำบากเจ้าหรอกนะ”

สือเยี่ยนตั้งสติได้ เพราะว่ายังไม่ได้คืนสติจากแรงกระทบกระเทือนใหญ่หลวงกลับมา เขาถามอย่างงงงันว่า “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”

“สือซานหั่ว[1]อย่างไร” หงโต้วกลอกตา “ข้ารู้ตัวหนังสือไม่มาก ไม่ชอบชื่อซับซ้อนเช่นนั้นของเจ้า เรียกซานหั่วง่ายกว่า”

ลั่วเซิงตำหนิหงโต้ว “หงโต้ว อย่าเสียมารยาท”

หงโต้วถูกดุ สายตาที่มองสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่เป็นมิตร “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกสือเยี่ยนแล้วกัน”

สือเยี่ยนฉลาดเป็นกรด รีบพูดว่า “ชื่อซานหั่วน่ะดี ที่จริงท่านพ่อท่านแม่ข้าก็เรียกข้าเช่นนี้”

เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนที่ต้องอาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่ครึ่งปี ไม่ประจบลูกพี่ใหญ่หงโต้วสาวใช้ข้างกายคุณหนูลั่วไว้คงใช้ชีวิตลำบาก

หงโต้วได้ยินก็สนใจ “จริงหรือ ครอบครัวเจ้าเรียกแบบนี้เหมือนกันหรือ เช่นนั้นหากเจ้ามีน้องชายก็ชื่อซื่อหั่วสิ?”

สือเยี่ยนพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้ามีน้องชายคนหนึ่งชื่อสืออี้ ปกติก็เรียกเขาซื่อหั่ว[2] ยังมีลูกพี่ลูกน้องอีกสองคน คนหนึ่งอู๋หั่ว อีกคนลิ่วหั่ว…”

หงโต้วหัวเราะชอบใจเหมือนเสียงระฆังเงิน

ไฟสาม ไฟสี่ ไฟห้า ไฟหก… เห็นทีสกุลสือจะขาดแคลนฟืนไฟจริงๆ

เมื่ออารมณ์ดีขึ้นแล้ว น้ำเสียงหงโต้วก็ดีขึ้น “สือซานหั่ว ข้าจะบอกเจ้าให้นะ งานเลี้ยงห่านที่เจ้าได้รับจากคุณหนูของเรา เจ้าได้กำไรจริงๆ”

“อย่างไรหรือ” สือเยี่ยนหูตั้ง

เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีสวัสดิการที่ผู้อื่นไม่รู้อีก อย่างเช่นว่าได้ทานอาหารสามมื้อจากฝีมือคุณหนูลั่วทุกวัน

โลภน้อยหน่อย หากท่านอาซิ่วเป็นคนทำก็รับได้

หงโต้วมองสือเยี่ยนนิ่ง ส่ายศีรษะถอนหายใจ “หน้าตาไม่ผ่าน”

สือเยี่ยน “???”

ทนแล้วทนเล่า จะทนไม่ไหวแล้ว

“ขอถามลูกพี่ใหญ่หงโต้ว เลี้ยงห่านกับเรื่องหน้าตาเกี่ยวข้องกันด้วยหรือ”

อีกอย่างเขาก็ไม่ได้อัปลักษณ์เสียหน่อย!

หงโต้วยิ้มๆ “กลับไปเจ้าก็จะรู้”

เห็นแก่สือเยี่ยนที่ทำได้ดีในวันนี้ นางไว้หน้าเขาสักเล็กน้อยแล้วกัน

สือเยี่ยนไม่ได้รู้สึกว่าถูกไว้หน้า รู้สึกเพียงว่าวันนี้เขาสะเทือนทั้งกายและใจยิ่งนัก

องครักษ์ประจำตัวแท้ๆ แต่กลับถูกนายท่านไล่มาเลี้ยงห่านให้คุณหนู และยังถูกกล่าวหาว่าหน้าตาอัปลักษณ์

เขาผิดไปแล้ว เขารู้เพียงว่านายท่านตกอยู่ในมือของคุณหนูลั่ว ยังเห็นใจอยู่หยกๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาต่างหากที่ตกเป็นเหยื่อ!

วันนี้ลั่วเซิงเดินเท้ามาหอสุรา ยามกลับจวนก็เดินเท้ากลับไปเช่นกัน นางฟังบทสนทนาที่ไม่จบไม่สิ้นของสือเยี่ยนและหงโต้วตลอดทาง จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลง

ตรอกที่นางเดินผ่านนั้นทั้งแคบและมืด ตรอกลึกนั้นประกอบด้วยอาคารสองแถวหันหลังเข้าหากัน ปกติแล้วไม่ควรมีใครอยู่ แต่ในเวลานี้มีเสียงดังออกมาจากตรอกนั้น

ที่ลั่วเซิงหยุดก็เพราะได้ยินเสียงด่าว่าอย่างสาดเสียเทเสีย “สวี่ชี เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายลับหลัง เจ้าสู้สิ แน่จริงก็สู้สิ ไม่ถึงตายอย่าหาว่าวันนี้เราจะจัดการเจ้า!”

สวี่ชี?

ลั่วเซิงเดินเข้าไปในตรอก ไม่ฟังเสียงของหงโต้วที่เรียกอยู่ข้างหลัง

“คุณหนูลั่ว…” สือเยี่ยนงุนงงไปหมด

อยู่ดีๆ ก็เดินเข้าไปในตรอกทำไมกันนะ

หงโต้วไม่มีเวลามาสนใจสือเยี่ยน นางรีบตามไป

แสงในตรอกสลัว ผนังถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำหลายชั้น เมื่อเทียบกับแสงแดดอันสดใสภายนอกแล้ว ในนี้ดูเหมือนโลกอีกใบหนึ่ง

สายตาของลั่วเซิงไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มสามสี่คนที่ต้อนชายหนุ่มคนหนึ่งจนมุม ทั้งต่อยและเตะเขา

ชายหนุ่มที่ถูกรุมไร้เรี่ยวแรงสู้กลับ ดวงตาทั้งคู่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง ราวกับสัตว์ตัวน้อยๆ ที่สิ้นหวังและโมโห

แต่ชายหนุ่มเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นคนทำร้ายหรือคนถูกทำร้าย นอกจากจะมีเสียงก่นด่าและเสียงเตะต่อยดังออกมาเป็นครั้งคราวแล้วก็ไม่ได้มีเสียงกรีดร้องชวนตกตะลึงอะไรดังออกไป

“พวกเจ้าทำอะไรน่ะ”

จู่ๆ เสียงเยือกเย็นของหญิงสาวก็ดังขึ้นในตรอกที่มืดสลัว ทำเอาชายหนุ่มสามสี่คนตกใจมองมาพร้อมกัน

เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวงดงามในชุดหรูหราคนหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “อย่าแส่ไม่เข้าเรื่อง นี่ไม่ใช่ที่ที่เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าควรมา!”

แสงสว่างในตรอกไม่ดีนัก ซึ่งเกิดจากการตัดกันของแสงแดดจ้าภายนอก ส่วนเด็กหนุ่มที่อยู่ในตรอกมานานเท่าไรไม่รู้ ย่อมไม่ส่งผลต่อการมองเห็นของพวกเขา ทันทีที่เห็นลั่วเซิงพวกเขาก็บอกได้เลยว่าเด็กสาวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นดูมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา ไม่รู้ว่าเป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้โง่เขลาจวนไหนกล้าบุกเข้ามาเพราะความอยากรู้อยากเห็น

ลั่วเซิงไม่ได้สนใจคำพูดของชายหนุ่ม สายตาของนางหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มที่ถูกรุมซ้อม นางเรียกอย่างสงบว่า “สวี่ชี”

ชายหนุ่มประหนึ่งสัตว์ตัวน้อยๆ หันมองมา แสดงสีหน้าสงสัย

ชายหนุ่มคนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “เจ้ารู้จักเขาหรือ เจ้าคนจวนไหน”

ในแวดวงของพวกเขาหากจะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

อย่างเช่นตอนนี้ พวกเขารู้สึกคุ้นหน้าคุณหนูคนนี้มาก แต่ก็คิดไม่ออกว่าคือผู้ใด

“สวี่ชี เจ้ามานี่”

น้ำเสียงหญิงสาวราบเรียบ หน้าตาสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้กำลังเผชิญกับชายหนุ่มที่ทำร้ายคนในตรอกมืด แต่เหมือนกับกำลังเดินเล่นในสวนในเรือนมากกว่า

ชายหนุ่มที่ชื่อสวี่ชีนิ่ง ชายหนุ่มใบหน้าดุร้ายสามสี่คนนั่นก็นิ่ง

เด็กสาวคนนี้ประหลาดเกินไปแล้ว

“เช่นนั้นข้าไปหานะ” ลั่วเซิงจับกระโปรงเดินเหยียบตะไคร่น้ำ ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว

นางเดินผ่านชายหนุ่มสามสี่คนที่อยู่ในภาวะชะงักงัน และหยุดลงข้างกายสวี่ชี

จนถึงครานี้ ชายหนุ่มสามสี่คนรวมถึงสวี่ชียังคงตะลึงงัน

พวกเขาไม่เคยเจอสตรีเช่นนี้มาก่อนเลย!

ส่วนลั่วเซิงหันกลับมาขวางสวี่ชีไว้ข้างหลัง สั่งด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “จัดการพวกเขาสักยก”

[1] ซานหั่วแปลว่าไฟสาม เนื่องจากคำว่า เยี่ยน ในชื่อ สือเยี่ยน ประกอบจากตัวอักษรคำว่าไฟสามตัว

[2] ซื่อหั่วแปลว่าไฟสี่ เนื่องจากคำว่า อี้ ในชื่อ สืออี้ ประกอบจากตัวอักษรคำว่าไฟสี่ตัว

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท