ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 111 ไหลมาเทมา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 111 ไหลมาเทมา

“ข้ากลัวว่ามันจะจบอย่างเลวร้ายและสร้างปัญหาให้ท่านพี่” หยางซื่อสัมผัสได้ถึงการตำหนิจากน้ำเสียงของฉางชุนโหวจึงตะโกนโต้แย้งออกมา

ฉางชุนโหวได้ยินคำว่าท่านพี่เช่นนั้น ความโกรธส่วนใหญ่ที่สั่งสมมาจากคำนินทาระหว่างทางที่เขากลับมาก็มลายหายไป

สิ่งที่เขารักคือนิสัยอันอ่อนโยนดุจสายน้ำของหยางซื่อ

หยางซื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา นับได้ว่าพวกเขาเป็นสหายกันตั้งแต่วัยเยาว์ เขาได้เห็นความชื่นชมในตัวเขาในสายตาของลูกพี่ลูกน้องมาเนิ่นนานแล้ว

แต่หลังจากนั้น ท่านหญิงหวาหยางก็กลายมาเป็นภรรยาของเขา

ท่านหญิงหวาหยางงดงามสูงส่ง กิริยามารยาทไม่ธรรมดา เรื่องงานบ้านงานเรือนก็ทำได้ดี เดิมทีแล้วไม่มีอะไรด่างพร้อย เวลาผ่านไปนานเท่าไร ความรู้สึกที่มีต่อภรรยาก็ยิ่งลึกซึ้ง หากแต่น่าเสียดายที่ยังไม่มากพอ

หลังจากนั้นเมื่อท่านหญิงตั้งครรภ์ นางก็ปฏิเสธข้อเสนอของมารดาที่จะให้มีสาวใช้อุ่นเตียงมาคอยปรนนิบัติเขา

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาทะเลาะกับภรรยา ระหว่างนั้นมีสงครามเย็นเกิดขึ้นหลายวัน จนในที่สุดเขาก็ยอมเป็นฝ่ายง้องอน

หลังจากบุตรสาวคนโตให้กำเนิดได้ไม่ถึงสองปีก็ให้กำเนิดบุตรชายคนโต เพราะท่านหญิงไม่ต้องการ เขาจึงทำได้เพียงมีนางคนเดียว

ในตอนนั้นเอง เขาก็พบว่านิสัยอ่อนโยนดุจสายน้ำของลูกพี่ลูกน้องหญิงนั้นดึงดูดเขายิ่ง

ลูกพี่ลูกน้องหญิงหาได้หน้าตางดงามเช่นท่านหญิงไม่ ไม่ได้สูงสง่าเช่นท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ แต่นางเชื่อฟังเขาและคอยปรนนิบัติเขาอย่างเอาใจใส่

“พี่ชาย” หยางซื่อส่งเสียงเรียก เมื่อสังเกตเห็นว่าฉางชุนโหวเหม่อลอย

นางเข้าใจกระจ่างว่าเมื่อใดที่ควรเอ่ยเรียกเขาว่าท่านโหว เมื่อใดควรเอ่ยเรียกเขาว่าพี่ชาย

ทุกเสียงเรียกคำว่าพี่ชาย จะทำให้เขานึกถึงท่านหญิงหวาหยางที่สิ้นไปแล้ว

หยางซื่อไม่กลัวหากเขาจะนึกถึงคนที่ตายจาก เพราะสิ่งที่ฝังลึกที่สุดที่สตรีผู้นั้นทิ้งไว้ให้เขาคือความเย่อหยิ่งเยือกเย็นและคืนวันที่ยากลำบากยาวนานนับไม่ถ้วน

ทุกครั้งที่เขานึกถึงมัน เขาก็จะคิดถึงนางยิ่งกว่าเก่า คิดถึงความดีของนาง ไม่ว่าความโกรธจะรุนแรงเพียงใดก็ลดหายไปครึ่งหนึ่ง

ฉางชุนโหวได้สติ น้ำเสียงค่อยๆ อ่อนลงหลายส่วน “ข้าจะไปจวนแม่ทัพใหญ่”

หยางซื่อพยักหน้าท่วงท่าอ่อนหวาน เดินออกมาส่งฉางชุนโหวที่ประตูเรือน รอกระทั่งไม่เห็นแผ่นหลังของเขาแล้วจึงเดินกลับเข้ามา

“แม่ทัพใหญ่มิได้อยู่ที่จวนขอรับ” ได้ยินคนของจวนลั่วแจ้งเช่นนั้น ฉางชุนโหวก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจ

หากไม่ได้อยู่ที่นี่ก็คงอยู่ศาลาว่าการ

เมื่อคิดว่าต้องไปยังกรมขององครักษ์จิ่นหลิน ฉางชุนโหวก็คิดหนักเล็กน้อย

หากไร้เหตุสุดวิสัยก็ไร้ความจำเป็น ไม่ว่าใครล้วนไม่อยากไปเดินเล่นอยู่ที่ศาลาว่าการของเหล่าองครักษ์จิ่นหลิน

“ถึงแม้แม่ทัพใหญ่จะมิได้อยู่ที่จวน หากแต่คุณหนูสามกล่าวไว้ว่า หากนายท่านโหวมาถึงแล้วให้เข้าไปได้”

ฉางชุนโหวใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วผงกศีรษะรับ “เช่นนั้นรบกวนเจ้าแจ้งคุณหนูสามให้ด้วย บอกว่าฉางชุนโหวมารับบุตรชายกลับจวน”

ลั่วเซิงกำลังรออยู่ในห้องโถง ได้ยินเสียงฝีเท้า มือที่ถือถ้วยชาเอาไว้ก็อดกระชับแน่นขึ้นไม่ได้

นางไม่เจอพี่เขยรองที่จวนหลินในครั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าวันนี้จะได้เจอกับพี่เขยใหญ่ในเรือนของตนเอง

พี่เขยใหญ่…ลั่วเซิงท่องคำสามคำนี้เงียบๆ เมื่อคิดได้ว่าสวี่ชีถูกเลี้ยงดูจนนิสัยเป็นเช่นนี้ ก็หลงเหลือไว้เพียงความขุ่นเคือง

“คุณหนู ฉางชุนโหวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

ฉางชุนโหวเดินตามบ่าวที่นำทางเข้าไปในห้องโถง ก็เห็นเด็กสาวในอาภรณ์ราบเรียบกำลังหลับตาพริ้มจิบน้ำชา

เด็กสาวผิวพรรณขาวราวหิมะ เส้นผมดำขลับ กิริยาอาการเงียบสงบดุจดั่งภาพวาดภาพหนึ่ง มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคุณหนูลั่วผู้โอหังอวดดีในข่าวลือที่แพร่สะพัด

ฉางชุนโหวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

เดิมทีเขามาที่นี่เพื่อมาหาคน หากมาหาผิดคน นั่นคงน่าอับอายแล้ว

ลั่วเซิงกวาดสายตามองฉางชุนโหวเล็กน้อย

บุรุษในวัยสามสิบกว่า ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ในหน้าที่การงาน เมื่อเทียบกับความเขินอายที่พยายามกลบซ่อนไว้ครั้งไปยังจวนเจิ้นหนานอ๋องเพื่อรับตัวเจ้าสาวเมื่ออายุสิบแปดสิบเก้า ยามนี้เหลือไว้เพียงความสุขุมเยือกเย็น

ดูแล้วหลายปีมานี้คงใช้ชีวิตอย่างสบายอกสบายใจมากทีเดียว

ใบหน้าของลั่วเซิงมืดครึ้มลง

พี่สาวของนางตายแล้ว หลานชายตัวน้อยก็ถูกเลี้ยงดูเช่นคนโง่ หากแต่บุรุษผู้นี้กลับใบหน้าแดงฝาดเปี่ยมด้วยความภาคภูมิ นางเห็นแล้วก็รู้สึกไม่ยุติธรรมยิ่ง!

ลั่วเซิงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เอ่ยน้ำเสียงหงุดหงิด “เหตุใดท่านโหวถึงเพิ่งมารับบุตรชายรึ”

ฉางชุนโหวตกตะลึง

ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้คือคุณหนูลั่ว หญิงผู้บังคับบุตรชายของเรือนอื่นกลับจวนแล้วยังกระทำการได้อย่างผ่าเผยเช่นนี้ ไม่มีหญิงสาวชนชั้นสูงจากตระกูลใดสามารถทำได้

“ข้ามาช้าไปเล็กน้อย มิรู้ว่ายามนี้บุตรชายยู่ที่ใดหรือ””

“ท่านหมอเพิ่งตรวจดูอาการให้เขา ตอนนี้พักผ่อนอยู่ที่เรือนของข้า” ลั่วเซิงหันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้หงโต้วที่ยืนอยู่อีกฝั่ง “หงโต้ว นำใบแจ้งหนี้มอบให้ท่านโหวดูสิ”

ใบแจ้งหนี้อะไรกัน

ฉางชุนโหวตกตะลึงอีกครั้ง

โชคดีที่ไม่ต้องรอให้สับสนเป็นเวลานาน สาวใช้ตัวน้อยก็นำเอาใบรายการมามอบให้ทันที

ฉางชุนโหวรับไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากกวาดสายตามองคร่าวๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป “ห้าพันตำลึงรึ”

ลั่วเซิงเผยยิ้ม “ในนี้รวมค่าที่ท่านหมอวินิจฉัยให้คุณชาย ค่ายา ค่าใช้เตียง ค่าปรนนิบัติของบ่าว…ห้าพันตำลึงคงไม่มากไปกระมัง…”

ห้าพันตำลึงไม่มากไปอย่างนั้นหรือ

ฉางชุนโหวเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “คุณหนูลั่ว นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยรึ”

“มากไปหรือ” ลั่วเซิงเลิกคิ้ว “เกรงว่าท่านโหวคงมิทราบ บุตรของท่านได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสนัก เขาฟื้นตัวได้หลังจากรับประทานยาที่ข้าเก็บรักษาไว้มานานหลายปี ยาเม็ดเพียงอย่างเดียวก็มีค่าถึงสี่พันตำลึงแล้ว บุตรท่านนอนให้ท่านหมอดูอาการบนเตียงไม้จันทน์ที่ราคาไม่ต่ำกว่าพันตำลึง เตียงที่บุตรชายท่านได้ใช้ไปแล้วข้าย่อมไม่อาจใช้ได้อีก ท่านโหวในฐานะบิดาท่านจะไม่สนใจความเสียหายนี้ หรือข้าผู้มีเจตนาดีช่วยเหลือคนจะต้องแบกรับภาระนี้ไว้หรือ”

ฉางชุนโหวฟังแล้วก็ตื่นตะลึง

ลั่วเซิงมองเขาด้วยความดูถูก กล่าวต่อ “เม็ดยารวมกับค่าเตียงคิดเป็นห้าพันตำลึง ส่วนค่าตรวจดูอาการและค่าปรนนิบัติของบ่าวรับใช้ข้าเป็นคนจ่าย มีอะไรที่ท่านโหวไม่พอใจอีกหรือไม่”

“คุณหนูลั่ว ยาอะไรกันถึงได้มีตั้งราคาสี่พันตำลึง” ฉางชุนโหวอดถามออกมามิได้

นี่คือการขูดรีดแล้ว!

ลั่วเซิงยิ้มเยาะพลางส่ายหน้าราวกับกำลังมองคนตระหนี่ถี่เหนียวผู้หนึ่ง “ท่านโหว ท่านเอ่ยวาจาเช่นนี้ไม่เหมาะสมยิ่ง หรือในใจท่านคิดว่า ยาที่ช่วยชีวิตบุตรชายไม่คุ้มค่ากับเงินสี่พันตำลึง”

“แต่…” ฉางชุนโหวพูดไม่ออก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยากจะมอง

หากเป็นยาอายุวัฒนะ ไม่ว่าจะเงินมากน้อยเท่าไรย่อมคุ้มค่า แต่เป็นไปได้อย่างไรที่อาการบาดเจ็บจากการโดนเด็กกลุ่มหนึ่งรุมทุบตีต้องได้รับความช่วยเหลือในการช่วยชีวิตถึงเพียงนี้

หากแต่ก็ไม่สามารถเอ่ยสิ่งเหล่านี้ออกไปได้

ยามนี้ชีเอ๋อร์อยู่ในกำมือของคุณหนูลั่ว แม้จะเห็นว่าเขายังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้ในภายหลัง และอีกฝ่ายยืนยันว่าเขาดื่มยาอายุวัฒนะเพื่อช่วยชีวิต แต่ไหนเลยจะหาเหตุผลได้

ลั่วเซิงมองไปที่ใบหน้าอันไม่อาจคาดเดาได้ของฉางชุนโหว ริมฝีปากยกโค้ง “หากท่านโหวไม่อาจตัดใจจ่ายได้ก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ทิ้งบุตรท่านไว้ที่จวนลั่วแล้วกัน อย่างไรข้าก็สามารถเลี้ยงได้ จะได้ไม่ต้องกลับไปกับท่านแล้วจากโลกนี้ไปตั้งแต่ยังเยาว์วัยเพราะไม่มีเงินจ่ายค่ายา”

ฉางชุนโหวพลันหน้าเปลี่ยนสี

เขามาที่จวนแม่ทัพใหญ่ลั่วก็เพื่อจะรับบุตรชาย แต่กลับไม่ได้พาบุตรชายกลับไป หากผู้คนทราบข่าวว่าท่านโหวไม่อาจตัดใจจ่ายเงินได้ จำต้องทิ้งบุตรชายให้คุณหนูลั่วเลี้ยงดูที่นี่ จวนฉางชุนโหวคงไม่มีหน้าได้เชิดหน้าชูตาอีกแล้ว

มองเข้าไปในดวงตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเด็กสาว ฉางชุนโหวก็ตีหน้าขรึม ผงกศีรษะ “จวนโหวจะจ่ายห้าพันตำลึง”

ลั่วเซิงแย้มยิ้มอย่างมีความสุข “ท่านโหวยอมตัดใจได้ก็ดีแล้ว ข้ายังคิดว่าคุณชายสวี่มีมารดาเลี้ยงแล้วยังต้องมีบิดาเลี้ยงปราศจากผู้ที่รักเขาจริงๆ เสียอีก”

“คุณหนูลั่ว อย่าได้พูดจาส่งเดชทำลายชื่อเสียงฮูหยินข้า”

หงโต้วแผดเสียง “เจ้าสิหยุดกล่าวหาคุณหนูของข้าได้แล้ว คุณหนูของข้ารีบเข้าไปช่วยทุบตีคนที่ทำร้ายบุตรชายของเจ้า แล้วยังส่งบุตรชายของเจ้ากลับจวน ไม่คิดเลยว่าพอมาถึงหน้าประตูจะไม่เห็นฮูหยินออกมารับ กระทั่งรอจนฮูหยนิของเจ้ายอมออกมา คุณหนูของข้าก็บอกนางว่าบุตรชายของนางโดนรังแก นางกลับตอบว่านี่เป็นธุระของจวนโหว หาว่าคุณหนูของข้าแส่ไม่เข้าเรื่อง”

สาวใช้จุ๊ปาก “ไม่กล่าวคำขอบคุณแต่กลับเอ่ยเช่นนี้ ในฐานะมารดาควรจะโต้ตอบเช่นนี้รึ แม้แต่กลุ่มคนที่ยืนมุงรอรับชมเรื่องราวก็ทนมองไม่ได้ ถึงกับเอ่ยวาจาสนับสนุน แต่ก็ไม่คิดเลยว่าฮูหยินของเจ้าจะเป็นลม ด้านคุณหนูของข้าเห็นว่าบุตรชายของเจ้าไร้คนใส่ใจก็จิตใจเมตตาคิดช่วยเหลือ พาเขากลับมาที่นี่เพื่อให้หมอรักษา หากแต่ไม่คิดเลยว่า ผู้เป็นบิดาที่มารับเขาถึงที่นี่ กลับลังเลใจที่จะจ่ายค่ายา!”

ฉางชุนโหวไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่เค่อเดียว เอ่ยเสียงจริงจัง “ข้าฉางชุนโหวได้ตกปากรับคำใบค้างหนี้แล้ว ตอนนี้ข้าจะพาบุตรชายกลับจวน”

“ใบค้างหนี้?” หงโต้วขึ้นเสียงแหลมสูง ท่าทางราวกับไม่อยากเชื่อ “ท่านโหวผู้สูงศักดิ์มอบใบค้างหนี้ให้คุณหนูของพวกข้าหรือ นี่เหมาะสมแล้วรึ”

จุ๊จุ๊ คิดว่าจะให้ใบค้างหนี้แก่คุณหนูได้เหมือนกับไคหยางอ๋องอย่างนั้นสินะ

เขาทั้งแก่ ทั้งอัปลักษณ์ ไม่น่ามองเลยสักนิด!

ฉางชุนโหวกำหมัดแน่น เส้นเลือดปูดโปน กัดฟันกรอดแล้วกล่าวออกมา “เช่นนั้นข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง คุณหนูลั่วก็ให้คนนำจดหมายนี้ไปรับเงินที่จวนโหวแล้วกัน”

“ตกลง” ลั่วเซิงยิ้มกริ่มแล้วพยักหน้ารับ

เงินที่ใช้ซื้อร้านเครื่องประทินโฉมไปก็ได้กลับคืนมาครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อจากนี้การหาเงินให้ไหลมาเทมาอีกก็ยิ่งสำคัญมาก

แม่ทัพใหญ่ลั่วส่งคนมาจับตามองสถานการณ์ในจวนเงียบๆ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อทราบข่าว

“เซิงเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยขออภัยแก่ฉางชุนโหว แต่ยังได้รับเงินห้าพันตำลึงจากเขาด้วยอย่างนั้นรึ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท