ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 113 เข้าหา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 113 เข้าหา

ลั่วเซิงเหลือบมองสาวใช้ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

หงโต้วถลึงตา “คุณหนูของเจ้าเป็นใครกัน ถึงได้อยากเชิญคุณหนูของข้าไปเลี้ยงน้ำชา”

สาวใช้กระซิบ “แซ่ของคุณหนูข้าคือสวี่ มีความจริงใจที่จะ…”

“นำทางไป” ลั่วเซิงเพียงได้ยินคำว่าแซ่ ‘สวี่’ ก็กล่าวตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม

สาวใช้ไม่คิดว่าจะราบรื่นเช่นนี้ นางชะงักครู่หนึ่งแล้วจึงตอบรับ “โปรดตามบ่าวมาทางนี้เจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงหันไปเอ่ยกับคุณชายสามเซิ่ง “พี่ชาย ท่านนั่งอยู่ที่หอสุราไปก่อน ข้าจะพาหงโต้วไปดูทางนั้นสักหน่อย”

“ได้” คุณชายสามเซิ่งลังเลเล็กน้อย ก่อนจะผงกศีรษะรับคำ

เดิมทีเขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของน้องหญิง แต่เมื่อคิดถึงการปล้นที่เขาบังเอิญพบระหว่างทางไปเมืองหลวงครั้งก่อนก็คิดว่าตนเองกังวลมากเกินไป

หลังจากมองส่งลั่วเซิงเข้าไปยังโรงน้ำชาฝั่งตรงข้ามแล้ว คุณชายสามเซิ่งก็เดินกลับเข้าไปในหอสุราแล้วนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“โค่วเอ๋อร์” คุณชายสามเซิ่งโบกมือเรียกโค่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล

โค่วเอ๋อร์เดินเข้ามาใบหน้าเล็กฉายแววบึ้งตึง “คุณชายมีอะไรหรือเจ้าคะ”

“รู้หรือไม่ว่าใครมาหาคุณหนูของเจ้า”

โค่วเอ๋อร์กระตุกมุมปาก “บ่าวจะรู้ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ คุณหนูไม่ได้พาบ่าวเข้าไปด้วยเสียหน่อย คุณชายเป็นถึงบุรุษกำยำมานั่งสงสัยเรื่องเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ…”

คุณชายสามเซิ่งลูบจมูกเบาๆ แล้วนิ่งเงียบ

ดูท่าแล้วสาวใช้คงจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนัก เขาไม่ยั่วโมโหนางคงจะดีกว่า

ภายในห้องรับรองหรูหราของโรงน้ำชา ลั่วเซิงได้พบกับคุณหนูสวี่ที่สาวใช้ผู้นั้นกล่าวถึงแล้ว

มองไปแล้วคุณหนูสวี่น่าจะอายุสักสิบเจ็ดสิบแปดปี ดวงตาสุกสกาว ฟันขาวสะอาด เส้นผมดำขลับ เป็นหญิงงามที่สดใสท่านหนึ่ง

แต่คิ้วของนางกลับขมวดโดยไม่รู้ตัว อารมณ์และรูปโฉมดูขัดแย้งกันเล็กน้อย

เห็นว่าลั่วเซิงเดินเข้ามา คุณหนูสวี่ก็รีบร้อนหยัดกายขึ้นต้อนรับ กล่าวออกมาด้วยท่าทีรีบร้อนเล็กน้อย “ข้ายังกังวลว่าคุณหนูลั่วจะไม่มา…”

ลั่วเซิงมองคุณหนูสวี่อย่างลุ่มลึกคราหนึ่งพร้อมแย้มยิ้มตอบ “คุณหนูใหญ่สวี่ให้เกียรติเช่นนี้ ข้าจะไม่มาได้อย่างไร”

เด็กสาวตรงหน้าก็คือสวี่ฟาง บุตรสาวที่ท่านหญิงหวาหยางทิ้งเอาไว้และเป็นหลานสาวของลั่วเซิง

สวี่ฟางรีบค้อมกายคำนับให้ลั่วเซิง “ข้าอยากจะขอบคุณคุณหนูลั่วด้วยตนเองมาโดยตลอดสำหรับเรื่องของน้องชาย จนใจที่ตอนนี้เพิ่งจะมีโอกาส หวังว่าคุณหนูลั่วจะไม่ถือสา”

“นั่งก่อนแล้วค่อยพูดจากันเถอะ” ลั่วเซิงเดินตรงไปที่โต๊ะน้ำชาแล้วหย่อนกายนั่งแล้วรินชาให้ตนด้วยท่าทีผ่อนคลาย

สวี่ฟางหย่อนกายนั่งลงตรงข้าม

ลั่วเซิงยกถ้วยชาขึ้นแล้วมองนาง ยิ่งมองมากเท่าไรก็รู้สึกว่านางเหมือนพี่หญิงใหญ่มากขึ้นเท่านั้น

มรดกทางสายเลือดนั้นมหัศจรรย์ยิ่ง แม้คนจะจากไปแล้ว หากแต่ก็ยังมีร่องรอยการดำรงอยู่ในบุตรหลานที่กำเนิดจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนในโลกนี้เสมอ

เมื่อโดนลั่วเซิงจ้องมองเช่นนี้ สวี่ฟางก็ยิ่งอึดอัด

นางรู้จักชื่อเสียงอันเลวร้ายของคุณหนูลั่ว ก่อนหน้านี้แม้แต่คุณหนูของจวนอำมาตย์เฉินก็เคยตบมาแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ทำให้แม่เลี้ยงของตนต้องอับอายขายหน้า

และก็เป็นเพราะแม่เลี้ยงถูกบีบคั้นจนพ่ายแพ้ต่อคุณหนูลั่ว นางจึงรวบรวมความกล้าเชื้อเชิญในครั้งนี้

ลั่วเซิงเล่นกับถ้วยชาในมือ เอ่ยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “เหตุใดคุณหนูใหญ่สวี่ต้องขอบคุณข้าด้วยเล่า ข้าคิดว่าท่านจะตำหนิข้าเสียอีก อย่างไรเสียข้าก็พาน้องชายของท่านกลับมาที่จวนแม่ทัพใหญ่จริงๆ”

สวี่ฟางมองนาง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หลังจากนี้คงไม่มีใครกล้ารังแกน้องชายข้าอีกแล้ว แม้จะมีคนรังแกก็จะมีคนคอยช่วยเหลือเขา”

หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายของคุณหนูลั่วในครั้งนั้น แม้น้องชายจะถูกรังแกและยังนิ่งเงียบ ท่านพ่อและแม่เลี้ยงก็จะไม่สามารถเมินเฉยได้อีก

ดวงตาของลั่วเซิงทอแสงจางๆ รู้สึกยินดีขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อเทียบกับหลานชายที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบผิดเพี้ยน หลานสาวดูแล้วกลับมองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่ง

“ข้ายังรับเงินห้าพันตำลึงจากครอบครัวของท่านด้วย” ลั่วเซิงจิบชา

สวี่ฟางยิ้ม “คุณหนูลั่วก็บอกเองว่ารับเงินมาจากครอบครัวข้า”

แม้ว่าจะไม่ยอมรับ เงินห้าพันตำลึงก็ไม่มีทางตกไปอยู่ในมือของนาง

คิ้วของลั่วเซิงผ่อนคลาย “เช่นนั้นข้าจะยอมรับคำขอบคุณจากคุณหนูสวี่ไว้แล้วกัน”

สวี่ฟางหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วยกไปคารวะลั่วเซิง

ลั่วเซิงจิบชาคำหนึ่งแล้วเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสบายๆ “ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่สวี่ไม่ค่อยได้อยู่ในจวนโหวหรือ”

สวี่ฟางไม่คิดว่าลั่วเซิงจะเอ่ยถามเรื่องนี้ นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ “อืม น้าหญิงมารับข้าไปที่จวนกั๋วกงเป็นครั้งคราว”

น้าหญิงที่สวี่ฟางเอ่ยถึงก็คือหนิงกั๋วกงฮูหยิน ซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ กับท่านหญิงหวาหยาง

ความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางนั้นซับซ้อน เพียงสุ่มเลือกสองครอบครัวมาก็มีสัมพันธ์เครือญาติกันแล้ว ดังนั้นจวนเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกกวาดล้างด้วยข้อหากบฏญาติห่างๆ จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ครั้งที่ลั่วเซิงยังอยู่ในจวนอ๋องก็ได้รู้จากในจดหมายของท่านหญิงหวาหยางว่าพี่หญิงใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับหนิงกั๋วกงฮูหยิน

“เหตุใดถึงเอาแต่อยู่จวนผู้อื่นตลอดเล่า”

คำถามนี้ตรงไปตรงมาถึงขั้นไร้มารยาท

ความอับอายฉายขึ้นแวบหนึ่งบนใบหน้าสวี่ฟาง ทว่านางยังคงรักษาท่าทีสุขุมเอาไว้ “น้าหญิงรักเอ็นดูข้าตั้งแต่ยังเล็ก ตอนเด็กท่านแม่ก็พาข้าไปเล่นที่นั่นบ่อยครั้งก็เลยคุ้นชินน่ะ”

ลั่วเซิงค่อยๆ พยักหน้า “นึกออกแล้ว พวกเจ้าสองพี่น้องก็เหมือนกับข้า ล้วนไม่มีมารดา”

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย กระทั่งแฝงไปด้วยความเย็นชา แต่กลับสัมผัสเข้าที่จุดอ่อนไหวในใจของสวี่ฟางโดยไม่รู้ตัว

ใช่แล้ว พวกเขาต่างไม่มีมารดา…

คุณหนูลั่วเติบโตมามีนิสัยไม่เห็นผู้ใดในสายตาเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่านางไม่มีมารดาคอยอบรมสอนสั่งก็เป็นได้กระมัง

สวี่ฟางตระหนักได้เช่นนั้นก็ไม่รู้สึกขุ่นเคืองใจกับคำถามขวานผ่าซากที่คุณหนูลั่วเพิ่งจะเอ่ยถามอีกต่อไป

“คุณหนูสวี่รู้ใช่หรือไม่ว่าน้องชายของท่านถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง” หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถามคำถามเฉียบคมออกมาอีกครั้ง

สวี่ฟางหน้าแดงเล็กน้อย ข่มกลั้นความลำบากใจเอาไว้ “เคยเห็นแค่เพียงครั้งหนึ่ง เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้…”

หลังจากเงียบไปสักพัก นางก็หลุบตาลง “น้องชายไม่ค่อยสนิทกับข้านัก”

“เช่นนั้นท่านเล่า”

“ข้าหรือ” สวี่ฟางงุนงง เงยหน้าขึ้นสบตาลั่วเซิง

ลั่วเซิงมองใบหน้าของนางเงียบๆ ปราศจากอารมณ์ใด

ริมฝีปากสวี่ฟางขยับเล็กน้อย เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา “ข้ามีเพียงน้องชายคนเดียวเท่านั้น”

กล่าวเช่นนี้ ความหมายก็คือนางเต็มใจจะใกล้ชิดกับน้องชายของนาง

ลั่วเซิงบีบถ้วยชา ในใจสั่นไหว

จากการสนทนาครั้งนี้ อย่างน้อยก็เห็นได้ว่าหลานสาวมิได้โง่เง่า

เด็กสาวตัวน้อยที่สติปัญญาหลักแหลมวิ่งเข้ามาขอบคุณนางแล้วยังเปิดเผยเรื่องราวไม่น้อยให้ทราบ ทำเช่นนั้นเพื่อเหตุใดเล่า

คำถามเหล่านั้นของนางตรงประเด็นยิ่งและหากอีกฝ่ายไม่เต็มใจ ก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ตอบได้

จิตใจของลั่วเซิงสั่นไหวทีละน้อย มีคำตอบขึ้นมาอย่างคลุมเครือ

สวี่ฟางเข้าหานางพลางหยั่งเชิงอย่างระแวดระวัง

จุดประสงค์ในการเข้าหานั้นก็ชัดเจนแล้ว คือต้องการใช้ความร้ายกาจของคุณหนูลั่วต่อสู้กับแม่เลี้ยง

ลั่วเซิงย่อมยินดีกับเรื่องนี้

นางตัดสินใจถามคำถามอีกข้อหนึ่ง

“คุณหนูใหญ่สวี่มีน้องชายคนเดียวเช่นนี้ ทนได้อย่างไรหรือที่ทิ้งเขาไว้เพียงลำพังที่จวนโหว ในขณะที่ตนไปอาศัยอยู่ในจวนกั๋วกงบ่อยครั้ง”

“ข้าไร้ทางเลือก เพราะว่า…” สวี่ฟางคล้ายพูดไม่ออก นางกัดริมฝีปาก

จะพูดไม่ออกจริงหรือเป็นเรื่องอื่นนั้น ก็ยากที่จะบอกแล้ว

ลั่วเซิงไม่ได้ถามต่อ

เมื่อมีคนเริ่มเข้าหาเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องทำคือต้องแสดงความปรารถนาดีเพื่อให้อีกฝ่ายกล้าที่จะเข้าหาต่อไป แทนที่จะกระตือรือร้นมากเกินไปจนทำให้คนหวาดกลัว

ลั่วเซิงวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง “ชาที่นี่ไม่ค่อยดีนัก”

เมื่อเห็นว่าลั่วเซิงไม่ได้ถามต่ออีก สีหน้าของสวี่ฟางก็ซับซ้อนเล็กน้อย ดูเหมือนจะโล่งใจ แต่ก็คล้ายกับเสียใจเช่นกัน

“เช่นนั้นหรือ น้อยครั้งนักที่ข้าจะได้ออกมาจิบชาด้านนอกจึงไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก กลับไปต้องเลือกโรงน้ำชาดีๆ เพื่อขอโทษคุณหนูลั่วแล้ว”

ลั่วเซิงโบกมือแล้วชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “เหตุใดต้องกังวลขนาดนั้น คุณหนูใหญ่สวี่เห็นหอสุราที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหรือไม่”

สวี่ฟางมองออกไปข้างนอก

นั่นเป็นหอสุราที่ตกแต่งใหม่และยังไม่มีชื่อป้ายร้าน

“นั่นเป็นร้านของข้าเอง จะเปิดทำการวันที่แปดเดือนหน้า หากคุณหนูใหญ่สวี่มีเวลาก็มาอุดหนุนได้”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท