ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 114 มีหอสุรา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 114 มีหอสุรา

วันที่แปดเดือนห้า เหมาะแก่การเปิดกิจการ ออกเดินทาง หลีกเลี่ยงประตู ก่อสุสาน

บนถนนชิงซิ่ง ร้านค้าที่แต่เดิมเป็นเครื่องประทินโฉมในที่สุดก็เปลี่ยนป้ายใหม่ สนองความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจำนวนไม่น้อย

“มีหอสุรา…” ชายหนุ่มที่แต่งกายคล้ายบัณฑิตผู้หนึ่งอ่านอักษรสี่ตัวใหญ่บนแผ่นป้ายก็ส่ายหัวซ้ำไปซ้ำมา

อีกหนึ่งชายฉกรรจ์ผู้ไม่รู้หนังสือมองป้ายหอสุราด้วยความสงสัย เอ่ยถามบัณฑิตด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “สอบถามหน่อย หอสุราแห่งนี้มีนามว่าอะไรหรือ”

“มีหอสุรา”

“ข้ารู้แล้วว่าเป็นหอสุรา ข้าถามชื่อของหอสุราแห่งนี้”

“ก็มีหอสุราไงเล่า!” บัณฑิตหนุ่มส่ายหัวพลางถอนหายใจแล้วเอามือไพล่หลังเดินจากไป

ด้วยชื่อที่หยาบและตรงไปตรงมาเช่นนี้ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสงวนไว้สำหรับพวกคนหยาบโง่เขลาเหล่านั้น

ช่างเถอะ ช่างเถอะ ไปโรงน้ำชาตรงข้ามเพื่อดื่มชาแล้วกัน

เหลือเพียงชายฉกรรจ์ที่ถูกดึงดูดความสนใจ เขาสาวเท้าก้าวเข้าไปถาม “ผู้ดูแล หอสุราของพวกท่านนามว่าอะไรหรือ”

ผู้ดูแลหญิงที่กำลังก้มหน้าดูบัญชีอยู่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของชายฉกรรจ์พลันสว่างวาบ

โอ้ เป็นหญิงวัยกลางคนผู้งามล้นเปี่ยมเสน่ห์จริงแท้!

ช่างเป็นบุญตานัก

ก่อนที่ผู้ดูแลจะได้เอ่ยปาก เสียงหวานไพเราะใสแจ๋วสายหนึ่งก็ดังขึ้น “เจ้าไม่รู้หนังสือรึ ป้ายก็เขียนไว้แล้ว”

ใบหน้าของชายฉกรรจ์พลันมืดครึ้มเมื่อได้ยิน

นังหนูที่ไหนพูดจาแสลงหูเช่นนี้

เมื่อเขาหันมองไปตามเสียงก็อดตื่นตะลึงมิได้

หอสุราแห่งนี้แฝงกลิ่นอายชั่วร้ายบางส่วน มีเจ้าของร้านหน้าตาสะสวยก็ช่างเถิด แต่เสี่ยวเอ้อร์หญิงก็ยังอรชรน่ารักด้วย!

ผู้ดูแลเห็นว่าผิดปกติจึงรีบร้อนแก้ความเข้าใจผิด “เรียนนายท่าน หอสุราของพวกข้านามว่ามีหอสุรา”

“ชื่อนี้…” ชายฉกรรจ์คิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยออกมา “ตรงไปตรงมายิ่ง”

ผู้ดูแลได้ยินคำวิจารณ์ริมฝีปากก็กระตุกยิกๆ

นางยังคิดว่าชื่อนี้ค่อนข้างหยาบเกินไปเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่คนใหม่ได้เลือกชื่อร้านไว้แล้ว คนอื่นก็เห็นดีเห็นงาม ชวนให้สงสัยว่านางอาจผิดปกติอยู่ผู้เดียว

เมื่อพิจารณาจากท่าทีของแขกท่านนี้ก็กระจ่างชัดแล้วว่านางมิได้ผิดปกติ

ชายฉกรรจ์หันมองรอบด้านของหอสุราก็เห็นหน้าต่างหลายบานมีแสงลอดผ่านเข้ามาในห้องโถง โต๊ะเก้าอี้ใหม่เอี่ยมอ่องพลันอดพยักหน้าไม่ได้

แม้ชื่อร้านจะแปลกประหลาด แต่เห็นแก่ที่สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ลองชิมหน่อยแล้วกัน ลูกค้าคนแรกไม่แน่ว่าอาจได้ครึ่งราคาก็ได้

ชายฉกรรจ์หย่อนกายลงนั่ง วางท่วงท่าองอาจกล้าหาญ “มีสุราอาหารอะไรบ้าง จัดมาได้เลย”

แม้เขาจะไม่รู้หนังสือ แต่เขามีเงิน!

ผู้ดูแลปากกระตุกยิกๆ กล่าวตอบ “หอสุราของพวกข้ามิได้เปิดในตอนเที่ยงวัน หากท่านต้องการดื่มสุรารับประทานอาหาร มิสู้รอจนถึงตอนเย็นมารับประทานอาหารเถอะ”

“อะไรนะ” ชายฉกรรจ์ได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง

ในฐานะที่ประณีตรอบรู้ในทุกด้าน เป็นผู้มีความสามารถทำให้กิจการร้านเครื่องประทินโฉมเจริญรุ่งเรือง ผู้ดูแลจึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยปากอธิบายอย่างอารมณ์ดี “ร้านมีหอสุราของพวกเราขายเฉพาะตลาดตอนเย็นเท่านั้น”

เดิมนิสัยของนางไม่ได้ดีเช่นนี้ตลอด แต่จนใจที่กฎของเจ้าของร้านคนใหม่นั้นไล่ลูกค้ามากจนเกินไป

ชายฉกรรจ์ฟาดมือลงบนโต๊ะทีหนึ่ง ใบหน้าฉายแววดุร้าย “ผู้ดูแลมิได้ล้อข้าเล่นกระมัง”

เขาไม่เคยได้ยินว่ามีหอสุราที่ไม่ขายอาหารตอนกลางวันมาก่อน

นี่คือการรังแกเขาที่ไม่รู้หนังสือเป็นแน่จึงไม่ต้อนรับเขา!

ยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งโมโห ชายฉกรรจ์ฟาดมือลงบนโต๊ะอีกครา

ลมรุนแรงวูบหนึ่งพัดเข้ามา เสียงคำรามดังลั่น “ใครมาสร้างปัญหาที่นี่”

ชายฉกรรจ์สะดุ้งอีกครั้งเมื่อเห็นเด็กหนุ่มปราดเข้ามาตรงหน้า อดขยี้ตาไม่ได้

แม้แต่อันธพาลก็ยังหน้าตาน่ารักสะอาดสะอ้าน นี่คือหอสุราจริงหรือ

ครั้นนึกถึงกฎแปลกประหลาดที่เปิดเฉพาะในตอนเย็นเท่านั้น ชายฉกรรจ์ก็ตระหนักได้ทันที

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว ประเดี๋ยวตอนเย็นข้าจะมาใหม่” ชายฉกรรจ์ประสานมือคำนับเด็กหนุ่มรูปงาม เดินจากไปพร้อมรอยยิ้มกริ่ม

คุณชายสามเซิ่งลูบคางแล้วเอ่ยถามผู้ดูแลหญิงว่า “ผู้ดูแล ท่านรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับรอยยิ้มของเจ้าอันธพาลที่ก่อปัญหาเมื่อครู่หรือไม่”

ผู้ดูแลใบหน้าปราศจากอารมณ์ “ไม่มี”

สิ่งที่ผิดปกติที่สุดก็คือหอสุราแห่งนี้นี่แหละ!

คุณชายสามเซิ่งเห็นผู้ดูแลตอบเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปหลังครัวนะ”

หงโต้วโยนผ้าเช็ดเหงื่อลงบนโต๊ะ “ข้าเองก็จะไปดูด้วย”

พริบตาก็เหลือเพียงผู้ดูแลคนเดียวในโถงใหญ่ นางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปปิดประตูร้านเงียบๆ

ไม่ได้ นางต้องเจรจากับเถ้าแก่คนใหม่ให้ดีเสียก่อน

คุณชายสามเซิ่งไม่ได้วิ่งเข้าไปในครัวด้านหลัง แต่หยุดอยู่ด้านนอกครัวด้านหลัง ดวงตามองดูหม้อใหญ่สามใบที่ตั้งเคียงกันอย่างกระตือรือร้น

หม้อใหญ่สามใบสูงเท่าครึ่งหนึ่งของตัวคน แม้ฝาหม้อจะปิดแน่นแต่ก็ยังได้ยินเสียงเดือดปุดดังลอดออกมาได้

หลังจากจ้องมองหม้อใบใหญ่ใบแรกอยู่พักหนึ่ง คุณชายสามเซิ่งก็เอ่ยถามเสียงดัง “น้องหญิง เนื้อวัวตุ๋นนี้จะได้ที่เมื่อไหร่หรือ”

ลั่วเซิงเดินออกจากในครัวพลางเช็ดมือด้วยผ้าเช็ดหน้า “นี่เตรียมไว้สำหรับพรุ่งนี้ เนื้อวัวต้องแช่ไว้ให้นานถึงจะเข้าเนื้อ”

คุณชายสามเซิ่งถอนหายใจด้วยความผิดหวัง

เขาเฝ้ามองด้วยตาตนเองตั้งแต่น้องหญิงทุบกระดูกวัวให้แตกเป็นชิ้นๆ แล้วใส่ลงในหม้อ จากนั้นจึงใส่เนื้อวัวอีกหลายสิบจินลงไป ตามด้วยเติมเครื่องปรุงรสสูตรลับ

เมื่อคิดถึงการใช้ไฟอ่อนตุ๋นจนน้ำไขกระดูกออกมา จากนั้นน้ำแกงแสนอร่อยก็จะดูดซึมเข้าไปในเนื้อชิ้นใหญ่ทีละชิ้น เท่านั้นก็รู้แล้วว่าจะอร่อยเพียงใด

คุณชายสามเซิ่งรีบพุ่งไปยังหม้อใบที่สอง “น้องหญิง หัวหมูย่างในหม้อนี้เล่า”

ตอนที่น้องหญิงพาอาซิ่วมาปรุงหัวหมูย่างด้วยกันเขาก็คอยดูอยู่ด้วย

น้ำแกงห้ารสหม้อนี้ต้มตั้งแต่เช้าตรู่เมื่อวานแล้วทิ้งไว้จนถึงวันนี้ เมื่อใส่หัวหมูที่ทอดจนเนื้อเปลี่ยนเป็นสีแดงสุกลงไปในหม้อจำนวนหนึ่งก็เคี่ยวต่อไปด้วยไฟอ่อน

ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ เขามักจะสงสัยอยู่ตลอดว่าน้ำแกงในหม้อจะเสียหรือไม่

แม้ว่ากลิ่นหอมจะทำให้เขาไม่สามารถขยับขาได้ แต่มโนธรรมของเขาบังคับให้เขาต้องถามออกไป

ประจวบเหมาะกับที่ซิ่วเยว่เดินออกมาพอดี เมื่อได้ยินสิ่งนี้สีหน้าก็พลันเปลี่ยน “เดิมทีน้ำแกงจะต้องมีความเปรี้ยว เพื่อให้หัวหมูที่ย่างสุกแล้วมีกลิ่นหอมเหนียวนุ่มมากขึ้น นี่คือเคล็ดลับของจานนี้”

กล่าวถึงเรื่องนี้ นางก็อดมองไปทางลั่วเซิงไม่ได้

เมื่อเช้าวานนี้ คุณหนูลั่วสั่งให้นางต้มน้ำแกงห้ารสเพื่อเก็บไว้สำหรับเปิดร้าน นางคาดการณ์ไว้แล้วว่างานในวันนี้จะต้องจัดการกับหัวหมูจำนวนมาก

นางอยากรู้มากกว่าใครว่าคุณหนูไปเรียนรู้เคล็ดลับนี้มาจากที่ใด

เคล็ดลับการตุ๋นหัวหมูเป็นสูตรที่ได้เรียนรู้มาจากตำราโบราณเขียนขึ้นโดยพ่อครัวจวนอ๋องเท่านั้น ว่ากันว่าไม่อาจเปิดเผยสู่ภายนอกได้…

ซิ่วเยว่รู้สึกว่านางคิดไกลเกินไปแล้วอีกครั้ง

“จะไม่เสียหรือ” คุณชายสามเซิ่งได้ยินคำว่า ‘หอม เหนียว นุ่ม’ ไม่ได้ เขากลืนน้ำลายในทันที

กลิ่นหอมแบบนี้ ถึงจะเสียแล้วเขาก็ยอมกิน อย่างแย่ที่สุดก็แค่เรียกหมอเท่านั้น!

“คุณชาย ท่านอย่าได้ก่อปัญหาอีกเลย หัวหมูย่างหม้อนี้เป็นอาหารแกล้มเหล้าที่หอสุราต้องขาย จะเสียได้อย่างไรเล่า” หงโต้วกลอกตาใส่คุณชายสามเซิ่ง

“ข้าก็แค่ถาม” คุณชายสามเซิ่งลอบกลืนน้ำลายเงียบๆ แล้วมองไปที่หม้อใบสุดท้ายอย่างอ้อยอิ่ง

หม้อใบนี้ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดใจมากกว่าเดิม

เขาเฝ้ามองน้องหญิงใส่แม่ไก่แก่สองตัว เป็ดอ้วนสองตัว ขาหมูจำนวนหนึ่ง และกระดูกหมูหลายสิบชิ้นลงไปในหม้อ…

แต่สุดท้ายก็ตักทั้งหมดออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงน้ำแกงหม้อนี้เท่านั้น

น้องหญิงบอกว่า น้ำแกงหม้อนี้ไว้สำหรับราดบะหมี่หยางชุน

เห็นได้ชัดว่าบะหมี่หยางชุนไม่ใช่แบบนี้!

ดวงตาของคุณชายสามเซิ่งมองตรงมา ในหัวมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น หิว

ในเวลานี้ ผู้ดูแลก็เดินเข้ามา หลังจากใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง นางก็ต้านทานกลิ่นหอมที่กำลังกัดกร่อนเอาไว้ได้แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เถ้าแก่ ข้าอยากจะปรึกษาท่านเกี่ยวกับราคาของสุราและอาหาร”

“ได้สิ” ลั่วเซิงเดินออกมตรงโถงใหญ่

ผู้ดูแลรีบเดินตามไป

“หนึ่งร้อยตำลึงสำหรับหัวหมูย่างอย่างนั้นหรือ”

“อืม”

“สิบตำลึงสำหรับสุราถ้วยเล็ก?”

“อืม”

ผู้ดูแลสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “นี่ก็ช่างเถิด ห้าตำลึงสำหรับบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม?”

ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “ตั้งต่ำไปหรือ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท