ตอนที่ 115 ลูกค้า
ผู้ดูแลแทบจะกระอักเลือดใส่หน้าเถ้าแก่คนใหม่
ในที่สุดนางก็เข้าใจได้ว่า ในตอนที่เถ้าแก่คนใหม่สะบัดตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเงินเพื่อซื้อร้านนี้ หาใช่เพราะความเย่อหยิ่งไม่ แต่เป็นการขาดความรู้ต่อเรื่องทางโลกต่างหากเล่า
“เถ้าแก่ ท่าน…ท่านรู้หรือไม่ว่าบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามที่แผงลอยริมทางนั้นราคาเท่าไหร่”
ลั่วเซิงใคร่ครวญ กล่าวตอบ “สิบเหวินหรือ”
ผู้ดูแลหญิงถึงกับหลั่งน้ำตา
นี่มิใช่ว่าเข้าใจกระจ่างชัดดีหรอกหรือ เหตุใดเมื่อถึงคราวตั้งราคาอาหารในร้านของตนถึงได้เหลวไหลนักเล่า
เมื่อคิดว่ายังพอกอบกู้สถานการณ์ได้ก่อนหอสุราจะเปิดทำการ ผู้ดูแลก็กล่าวอย่างอ้อมค้อม “เถ้าแก่ เช่นนั้นบะหมี่หยางชุนของพวกเราจะไม่แพงไปหน่อยหรือหากคิดชามละห้าตำลึง”
ห้าตำลึงเลยนะ หากกินบะหมี่หยางชุนที่ด้านนอก วันหนึ่งก็สามารถกินได้วันละชาม ทั้งยังพอกินไปได้อีกหนึ่งปีด้วยซ้ำ
ลั่วเซิงเลิกคิ้ว
ที่แท้เพราะตั้งราคาไว้สูงเกินไป
ราคานี้เป็นนางที่คำนวณไว้แล้ว
หอสุราที่จะเปิดให้บริการไปอีกนาน แน่นอนว่าจะให้คิดหนึ่งร้อยตำลึงเช่นเดียวกับบะหมี่ผัดเครื่องหนึ่งชามที่ไคหยางอ๋องยอมจ่ายระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวงคงไม่ได้
อย่างไรเสีย คนโง่ที่มีเงินเช่นนั้นก็มิได้มีมาก
นางเปิดหอสุราก็เพื่อล่อคนบางคนให้มาติดเบ็ด ไม่อาจปล่อยให้ปลาตื่นตกใจจนว่ายหนีไปได้
และแน่นอนว่าเพราะหอสุรามีไว้สำหรับคนบางคนเท่านั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ลูกค้ามากันเยอะจึงไม่สามารถตั้งราคาให้ต่ำได้
ห้าตำลึงสำหรับบะหมี่หยางชุนเลิศรสหนึ่งชาม ราคานี้กำลังพอดี
“บะหมี่หยางชุนของเราคุ้มค่ากับราคานี้”
ผู้ดูแลริมฝีปากสั่นเทา อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง
เหตุใดถึงได้ตั้งราคานี้กัน ในนั้นมีไข่นกกระทาทองคำซ่อนอยู่รึ
หงโต้วกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย “ผู้ดูแล เจ้าช่วยใจกว้างกว่านี้สักนิดมิได้หรือ ห้าตำลึงต่อบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามนั่นแพงรึ บางคนถึงกับยอมจ่ายหนึ่งร้อยตำลังเพื่อซื้อบะหมี่ผัดเครื่องหนึ่งชามที่คุณหนูของข้าทำเชียวนะ”
“หนึ่งร้อยตำลึง?” เสียงของผู้ดูแลที่เคยมั่นคงเปลี่ยนเป็นแหลมสูง
นี่เป็นเรื่องตลกกระมัง
ผู้ดูแลมองไปที่ลั่วเซิงโดยไม่รู้ตัว
ใบหน้าของเถ้าแก่ราบเรียบมาก
ผู้ดูแลจึงมองไปทางคุณชายสามเซิ่งที่แต่งกายเป็นเสี่ยวเอ้อร์ของร้าน
คุณชายสามเซิ่งยื่นมือออกมาแล้วกล่าว “บะหมี่ผัดเครื่องหนึ่งชามหนึ่งร้อยตำลึง มีคนกินไปห้าชามในคราวเดียว”
สายตาของผู้ดูแลเบิกค้าง “มีคนโง่เช่นนี้ด้วยหรือ”
คุณชายสามเซิ่งชี้แจ้งด้วยความยินดี “หามีใครโง่ไม่ แน่นอนว่าเขายินดีจ่ายเงินนั้นเพราะมันคุ้มค่า””
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็หันหน้ากลับมาถามสื่อเยี่ยนเพื่อหาคนสนับสนุน “ถูกหรือไม่ สื่อเยี่ยน”
ใบหน้าของสื่อเยี่ยนปราศจากอารมณ์ “ใช่ ข้าคิดว่าบะหมี่หยางชุนเองก็ควรขายชามละหนึ่งร้อยตำลึงเช่นกัน”
เขากินบะหมี่ผัดเครื่องชามละหนึ่งร้อยตำลึงแล้วมันอย่างไรเล่า
ผู้ดูแลตกอยู่ในความสงสัยในตนเองอย่างลึกซึ้งอีกครา
ว่ากันว่าต่างอาชีพความรู้ความเข้าใจย่อมแตกต่าง นางที่เป็นเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมอาจไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นเจ้าของหอสุราก็เป็นได้
กลิ่นของเนื้อที่ขจรขจายจากด้านหลังเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงประทัดดังลั่น หอสุราก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
คนเดินถนนหยุดฝีเท้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น บ้างก็เดินเข้ามาในหอสุราหมายจะลองชิม
ยามนี้ ดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า ระหว่างนั้นแสงสว่างในโถงใหญ่ก็เริ่มมืดสลัวลง
หากแต่หอสุราแห่งนี้กลับต่างออกไป ด้วยโถงใหญ่มีแสงไฟส่องสว่างเป็นพิเศษ
โต๊ะและม้านั่งทุกตัวถูกจัดวางอย่างประณีตและเรียบร้อย
ควบคู่ไปกับกลิ่นหอมของเนื้อที่ขจรขจายอยู่ในอากาศ ผู้ที่เดินเข้ามาด้วยความใคร่รู้ก็ไม่อาจเดินต่อไปได้
หากเดินมิได้แล้ว เช่นนั้นก็นั่งลงแล้วลิ้มรสดูเถิด
คนไม่น้อยคิดเช่นนี้ก่อนค่อยๆ หย่อนกายนั่งลง
“ลูกค้าท่านนี้อยากรับประทานอะไรหรือขอรับ” คุณชายสามเซิ่งมีผ้าเช็ดเหงื่อสีขาวราวหิมะพาดอยู่บนไหล่ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสดใส
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเอ้อร์รูปงานเสียจนไม่เหมือนเสี่ยวเอ้อร์ในร้าน ผู้ที่นั่งลงก็คล้ายจะลังเลครู่หนึ่ง กล่าวตอบ “เอาสุรามาหนึ่งกา แล้วเอาของแกล้มมาหนึ่งจาน”
หอสุรานี้มิได้ใหญ่มาก ราคาอาหารย่อมถูกกว่าหอสุราไม่น้อย เสียเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อลองของสดใหม่ย่อมไม่เลว
“ขอรับ” คุณชายสามเซิ่งตอบรับด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจกับหัวหมูย่างที่กำลังจะขายออกไป แต่เสี่ยวเอ้อร์ที่ดีก็ไม่อาจคาดหวังเพียงว่ามันจะขายไม่หมดและเหลือเอาไว้ให้ตนเองกินได้
เมื่อเห็นว่าคุณชายสามเซิ่งกำลังจะยกอาหาร ผู้ดูแลก็นั่งไม่ติดแล้ว
“เซิ่ง…เซิ่งซาน ต้องบอกราคาลูกค้าก่อนนะ”
“เอ่อ สุราหนึ่งกาสามสิบตำลึง หัวหมูย่างหนึ่งจานสิบห้าตำลึง แนะนำว่าพวกท่านควรซื้อหัวหมูย่างทั้งหัวดีกว่าเพราะราคาเพียงร้อยตำลึงเท่านั้นขอรับ” คุณชายสามเซิ่งเอ่ยอย่างเอาใจยิ่ง
ทว่า หลังจากที่เขาเอ่ยคำเหล่านี้ออกไป ภายในโถงใหญ่ก็เงียบเป็นเป่าสาก จากนั้นทุกคนที่สั่งอาหารแล้วและผู้ที่ยังไม่ได้สั่งก็ลุกจากโต๊ะ
“ร้านพวกเจ้าเป็นร้านเถื่อนหรือไร”
สื่อเยี่ยนใบหน้าปราศจากอารมณ์ “ราคานี้ระบุไว้ชัดเจน ไม่หลอกลวงคนชราหรือทารก”
เมื่อเห็นรูปร่างสูงโปร่งสง่างามและดวงตาเฉียบคมของสื่อเยี่ยน ผู้ที่คิดก่อความวุ่นวายก็หยุดลง
โชคดีที่มิใช่ได้รู้ราคาตอนคิดบัญชีจึงไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน
กลุ่มคนที่เข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นด่าทอสาปแช่งแล้วจากไป
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนเข้ามาอีกครา พอได้ยินราคาก็ด่าทอสาปแช่งอีกครั้งแล้วจากไปเช่นกัน
คนเข้าๆ ออกๆ มองดูกระทั่งดวงตะวันลับขอบฟ้าจวบจนจันทราสาดแสงก็ไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่คนเดียว
หงโต้วเอามือเท้าคาง ท่าทางสงสัยยิ่ง “ทำไมถึงไม่มีคนมาลองชิมเลยเล่า”
ผู้ดูแลอยากจะกลอกตา
เงินไม่ได้มาจากลมหอบมาให้เสียหน่อย
ช่างเถอะ นางเป็นเพียงผู้ดูแลไม่อาจทำงานในส่วนเถ้าแก่ร้านได้ มีเวลาว่างบ้างก็ไม่เลว
จวนแม่ทัพใหญ่ลั่ว แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยถามบ่าวคนหนึ่งว่า “หอสุรายังไม่มีลูกค้าอีกหรือ”
“ไม่มีขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วถอนหายใจ
เซิงเอ๋อร์หารู้ถึงความทุกข์ยากของใต้หล้าไม่ ด้วยเหตุนี้ราคาสุราอาหารจึงกำหนดไว้สูงจนเกินไป
กล่าวถึงตรงนี้ผู้ดูแลที่จ้างไว้ก็ไม่รู้ความ เซิงเอ๋อร์ไม่เข้าใจ เป็นไปได้หรือว่าผู้ดูแลร้านจะไม่เข้าใจเช่นกัน
เมื่อนึกถึงหอสุราของบุตรสาวที่เปิดวันแรกและต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีลูกค้าสักคน ความรู้สึกสงสารก็ก่อตัวขึ้นจับใจแล้วแม่ทัพใหญ่ลั่วก็เกิดความคิด
ดูเหมือนว่าเสนาบดีจ้าวจะยังยุ่งอยู่กับงานที่ศาลาว่าการ
“ไปยังกรมยุติธรรมแล้วแจ้งแก่เสนาบดีจ้าวว่า หอสุราแห่งหนึ่งเปิดใหม่ที่ถนนชิงซิ่ง วันนี้หากเขามีเวลาว่างก็ให้ไปลองชิมอาหารที่นั่น บอกว่าข้าเลี้ยงเอง”
บ่าวรับคำสั่งแล้วจากไป แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ถอนหายใจอีกครา
เพราะเกรงว่าจะทำลายศักดิ์ศรีของบุตรสาว เขาจึงไม่สามารถออกหน้าได้และไม่อาจสั่งให้คนขององครักษ์จิ่นหลินไปที่นั่นได้
อีกอย่างหากส่งชาวบ้านธรรมดาให้ไปกินดื่ม คงจะดูปลอมยิ่งกว่านี้
เสนาบดีจ้าวย่อมเหมาะสม เซิงเอ๋อร์คงเดาไม่ได้หรอกว่าเป็นหน้าม้าที่เขาส่งไป
เป็นเรื่องจริงที่เสนาบดีจ้าวยังไม่เลิกงาน
เมื่อไม่นานมานี้มีคดีหนึ่งสร้างปัญหาจนหัวหมุน หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
เมื่อได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วเป็นเจ้ามือ เสนาบดีจ้าวก็ดีใจยิ่งกับการให้หน้านี้
ไม่ว่าจะยุ่งมากเพียงไรก็ต้องกินข้าว ถนนชิงซิ่งเองก็มิได้ไกลจากที่นี่
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถเข้ามา “หลินเถิง ไปดื่มกัน”
หลินเถิงตามมาอย่างเงียบๆ
ภายในร้านยังคงไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
คุณชายสามเซิ่งลูบท้องของตนเบาๆ ยิ้มกล่าว “น้องหญิง ไม่สู้…พวกเรามากินกันเองดีหรือไม่”
ลั่วเซิงกลับสงบมาก “รอจนกว่าร้านจะปิดก่อน”
ผู้ดูแลยังคงย้ำคำพูดเดิมๆ “เถ้าแก่ พวกเราลดราคาลงมาสักหน่อยเถอะ”
“ไม่จำเป็น” ลั่วเซิงหรี่ตามองตรงไปที่ประตู
จากความเข้าใจของนางที่มีต่อแม่ทัพใหญ่ลั่ว วันนี้หากเปิดร้านวันแรกแต่กลับไร้ลูกค้า อย่างน้อยเขาต้องหาคนมาเป็นหน้ามาเพื่อไม่ให้บุตรสาวเสียหน้า
ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นหน้าม้า เพราะอย่างไรหลังจากนี้หน้าม้าก็จะกลายเป็นลูกค้าจริงๆ หลังจากได้รับประทานอาหาร
ตราบใดที่มีลูกค้าจริงๆ สักคนหนึ่ง ย่อมมีคนที่สองและคนที่สามตามมาเป็นธรรมดา…
เสียงฝีเท้าดังลอดมาจากทางประตู ลำแสงสายหนึ่งสั่นไหว จากนั้นบุรุษผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา
เมื่อลั่วเซิงเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
คนผู้นี้มิน่าใช้หน้าม้าที่แม่ทัพใหญ่ลั่วหามา หากแต่เป็นลูกค้าตัวจริง