ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 118 พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 118 พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่

สิ้นเสียงตะโกน ชายฉกรรจ์ก็แทบจะหลั่งน้ำตา

เงินห้าตำลึงเชียวนะ มิใช่เพราะเหตุผลอื่น เขาคงจะเสียสติไปแล้วถึงใช้เงินห้าตำลึงกับบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม

“บะหมี่หยางชุนมาแล้ว” หลังจากนั้นไม่นาน คุณชายสามเซิ่งที่แต่งกายเป็นเสี่ยวเอ้อร์ของร้านก็มาพร้อมกับถาดขนาดกลางใบหนึ่ง เหนือถาดมีถ้วยสีครามใบหนึ่งพวยพุ่งด้วยไอร้อนสีขาว

ชายฉกรรจ์ตั้งอกตั้งใจมองดู

บะหมี่หยางชุนชามหนึ่งราคาห้าตำลึง จะต้องมองดูให้ดี

เส้นบะหมี่ราวกับกับเส้นเงินในน้ำแกงสีใส โรยหน้าด้วยต้นหอมเล็กน้อย

ต้นหอมสีเขียวสด มองแล้วน่ารับประทาน แต่แม้จะเขียวเพียงใดก็เป็นเพียงต้นหอมเท่านั้น มิใช่หยกมรกต

ไม่มีเนื้อสักชิ้นเลยจริงรึ

ชายฉกรรจ์หยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยความโศกเศร้าแล้วก็ต้องตกตะลึงในทันที

ตะเกียบนี้…ดูเหมือนจะทำมาจากเงิน

เขาไม่กล้าเชื่อเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมิกล้าเอ่ยถาม หยิบตะเกียบคีบเส้นบะหมี่แล้วส่งเข้าปาก

เมื่อเส้นบะหมี่เข้าปาก ชายฉกรรจ์ก็นิ่งงันไปในทันที

รสชาติเหนียว นุ่ม กลมกล่อมอันไม่อาจพรรณนาได้นี้คือบะหมี่หยางชุนจริงๆ รึ

แม้ในใจจะสงสัย หากแต่มือกลับตอบสนองฉับไวยิ่ง

ยามนั้นจึงได้ยินเพียงเสียงของชายฉกรรจ์กำลังกลืนเส้นบะหมี่ลงไปเสียงซู้ดซาด

ซู้ดซาด ซู้ดซาด ชายฉกรรจ์ถือชามสีครามไว้ในมือ ท้ายที่สุดก็ยกถ้วยขึ้นซดน้ำแกงจนไม่เหลือสักหยด แม้แต่ต้นหอมก็ไม่มีให้เห็น จากนั้นเขาก็นิ่งอึ้ง

เขาเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เขากินอยู่นี้ แท้จริงแล้วอาจมิใช่บะหมี่หยางชุน

บะหมี่หยางชุนหนึ่งชามราคาสิบเหวิน นั่นคือบะหมี่หยางชุนที่เขาเคยกินอยู่บ่อยๆ

“ลูกค้ายังอยากจะสั่งอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ” โค่วเอ๋อร์ยิ้มพรายเอ่ยถาม

ชายฉกรรจ์ได้สติ ก้มมองชามที่เลียจนสะอาดหมดจน

พูดอย่างกับว่าเขาสามารถสั่งอย่างอื่นตามใจชอบได้ มิใช่ว่ามีเพียงหัวหมูย่างหรือไร

คิดได้เช่นนั้น ชายฉกรรจ์ก็อยากจะหลั่งน้ำตา

บะหมี่หยางชุนยังอร่อยเช่นนี้ เช่นนั้นหัวหมูย่างที่แพงหูฉี่นั่นจะอร่อยเท่าใดเล่า!

“เอาบะหมี่หยางชุนมาอีกชาม!” ชายฉกรรจ์กัดฟันกรอดแล้วตะโกนประโยคนี้ออกไป

เสียงตะโกนนั้น ดึงดูดความสนใจของเหล่าเสนาบดีผู้กำลังหมกมุ่นอยู่กับการกินหัวหมูย่าง

“มีบะหมี่หยางชุนด้วยหรือ” เสนาบดีจ้าวที่เคราย้อมไปด้วยน้ำราดเอ่ยถามหงโต้วอย่างงุนงง

สุรารสชาติดีมาก หัวหมูย่างก็อร่อยล้ำจนเขาลืมสั่งอาหารจานอื่นไปในชั่วพริบตา

แม่ทัพใหญ่ลั่วอุตส่าห์เป็นเจ้ามือ หากเขาสั่งเพียงหัวหมูย่าง เช่นนั้นจะไม่เป็นการดูถูกหรือ

“หากยังมีอาหารอะไรอีก ก็ยกมาจานละหนึ่งเช่นเดิม”

หงโต้วมองเสนาบดีจ้าวก็รู้สึกถูกชะตายิ่ง ส่งรอยยิ้มหวานให้แล้วกล่าว “นอกจากหัวหมูย่างแล้ว ยังมีบะหมี่หยางชุนเจ้าค่ะ”

เสนาบดีจ้าว “…”

นี่มิใช่เหมือนไม่ได้พูดอะไรรึ

ผู้ดูแลรีบเดินเข้ามา “ขออภัยด้วย ร้านเล็กๆ แห่งนี้เพิ่งจะเปิดทำการจึงยังมิได้เตรียมการมากมาย อาหารในวันนี้จึงมีเพียงหัวหมูย่างเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นพรุ่งนี้จะมีอะไรบ้าง” เสนาบดีจ้าวเอ่ยถามออกมาโดยมิรู้ตัว

เว่ยหานยกตะเกียบขึ้นไม่พูดจา หากแต่สนใจคำถามนี้มากเช่นกัน

“พรุ่งนี้…” ผู้ดูแลเหลือบไปทางลั่วเซิงด้วยสายตาตัดพ้อแล้วจึงกัดฟันเอ่ยออกมา “พรุ่งนี้มีเนื้อวัวตุ๋นเจ้าค่ะ”

“แล้วมีอะไรอีก”

“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ”

เสนาบดีจ้าวนิ่งเงียบ

วันนี้มีแต่หัวหมูย่าง พรุ่งนี้ก็มีแต่เนื้อวัวตุ๋น ในเมื่อมีอาหารเพียงจานเดียวเช่นนี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเตรียมการไม่เตรียมการ

แต่เห็นแก่หัวหมูย่างจานนี้ พรุ่งนี้เขาจะมาอีก

“ท่านอ๋อง ลองชิมบะหมี่หยางชุนสักหน่อยดีหรือไม่ขอรับ” ในฐานะแสร้งทำเป็นเจ้ามือ เสนาบดีจ้าวจึงเอ่ยถามอย่างใส่ใจยิ่ง

เว่ยหานตอบกลับกระชับรัดกุม “หนึ่งชาม”

เสนาบดีจ้าวหันไปบอกหงโต้ว “บะหมี่หยางชุนสามชาม”

คราแรกคิดว่าจะกินหัวหมูย่างนี้ไม่หมด หากแต่ตอนนี้กลับคิดว่าคงไม่พอ เช่นนั้นก็สั่งบะหมี่หยางชุนเพิ่มอีกสักชามแล้วกัน

ไม่นาน บะหมี่หยางชุนสามชามก็ยกเข้ามา

เสนาบดีจ้าวหันไปพยักหน้าให้หงโต้วอย่างสงวนท่าที “เอาหัวหมูย่างมาเพิ่มอีกหนึ่งชุดเถอะ”

“สองชุด” เว่ยหานเอ่ยแก้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เสนาบดีจ้าวชะงักไปชั่วครู่

ไม่คิดเลยว่าไคหยางอ๋องเองจะกินเก่งเช่นนี้

หลินเถิงข่มกลั้นความร้อนผ่าวบนใบหน้าแล้วมองไปทางผู้เป็นนาย “ใต้เท้า ข้าน้อยเองก็คิดว่ายังกินได้อีกสักชุดขอรับ”

เสนาบดีจ้าวเอ่ยสั่งอย่างไม่ลังเล “หัวหมูย่างสามชุด”

คุณชายสามเซิ่งพุ่งเข้ามาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกค้า สามจานจะไม่มากไปหรือขอรับ”

“ไม่มากไปหรอก คนละชุดก็พอดีแล้ว” เสนาบดีจ้าวตอบกลับทันที เพราะเพลิดเพลินกับการกิน จึงชี้แจงกลับไปอย่างอารมณ์ดี

“แต่ว่าท่าน…อย่างไรเสียหัวหมูย่างกินมากไปก็มิดีต่อการย่อย…”

ด้วยวัยของเสนาบดีจ้าวแล้ว กินเช่นนี้จะดีรึ

เสนาบดีจ้าวกลับไม่ใส่ใจ “สั่งไปก่อนแล้วกัน กินไม่หมดอย่างไรก็ห่อกลับได้”

คุณชายสามเซิ่งร่างกายสั่นเทา มองไปทางสื่อเยี่ยนเพื่อขอความช่วยเหลือ

สื่อเยี่ยนเข้าใจกระจ่าง แต่ว่านายท่านก็อยู่ที่นี่ด้วย จะให้เขาพูดอะไรเล่า

เมื่อเห็นว่าสื่อเยี่ยนไม่สามารถช่วยอะไรได้ คุณชายสามเซิ่งก็ตัดสินใจเด็ดขาด กล่าวออกไป “ควรแจ้งให้ใต้เท้าทราบก่อนว่า หัวหมูย่างของพวกเรานั้นหนึ่งชุดราคาหนึ่งร้อยตำลึงขอรับ”

เสนาบดีจ้าวเคราสั่นทันที

ด้วยอยู่ในแวดวงขุนนางมานานนับสิบกว่าปี ความสามารถในการข่มกลั้นมิให้กรีดร้องออกไปจึงพอมีอยู่บ้าง

เขาสงบจิตสงบใจ ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หนึ่งชุดราคาหนึ่งร้อยตำลึงอย่างนั้นหรือ”

“ขอรับ ขาดไปแม้แต่เหวินเดียวก็ไม่ขายขอรับ” เพื่อปกป้องหัวหมูย่างของตน คุณชายสามเซิ่งถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตแล้ว

ผู้ดูแลย่ำเท้าเข้ามา “เซิ่งซาน…”

คุณชายสามเซิ่งใบหน้าปราศจากอารมณ์ “ราคาระบุไว้ชัดเจน ไม่หลอกลวงคนชราหรือทารก มิอาจรอให้พวกเขากินเสร็จก่อนแล้วจึงค่อยบอกราคาได้”

ผู้ดูแลตาค้างเดินกลับมาที่ตู้คิดเงิน

หากแต่เสนาบดีจ้าวยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา ขณะเดียวกันก็กำลังคำนวณด้วยตาว่าพวกเขาทั้งสามคนกินดื่มไปทั้งหมดเท่าไร

หลังจากทำการคำนวณนี้แล้ว เสนาบดีเฒ่าก็แทบจะเป็นลม

แม้ว่าเขาจะเป็นถึงเสนาบดี หากแต่เงินเดือนที่ได้ส่วนใหญ่ก็เก็บหอมรอมริบมอบให้กับฮูหยิน มิได้มีเงินส่วนตัวมากมายนัก

จบเห่แล้ว จบเห่แล้ว เขาไม่มีเงินจ่ายค่าอาหาร หลังจากนี้ก็จะโดนกล่าวโทษ หากฝ่าบาทถามว่าเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไรเล่า

เอ่อ เสนาบดีจากกรมยุติธรรมกินข้าวแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน

สวรรค์ ชื่อเสียงตลอดชีวิตของเขาหายไปหมดสิ้นแล้ว…ประเดี๋ยวก่อน!

เสนาบดีจ้าวมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เมื่อตระหนักได้ถึงบางอย่าง

เขาเป็นหน้าม้า อาหารมื้อนี้ก็มีแม่ทัพใหญ่ลั่วออกเงินให้!

หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ เสนาบดีเฒ่าจึงพยักหน้าให้คุณชายสามเซิ่งอย่างสงวนท่าที “เอาหัวหมูย่างสามชุดเพิ่มสุราอีกสามกา”

คุณชายสามเซิ่งยกอาหารมาด้วยความเจ็บปวดใจ

หลินเถิงเหลือบมองผู้เป็นนายด้วยความประหลาดใจ

ไม่คิดเลยว่าเสนาบดีจ้าวจะใจกว้างเช่นนี้

เสนาบดีจ้าวสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคงดุจเขาไท่ชาน

หอสุราแห่งนี้เป็นของบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทัพใหญ่ลั่ว แน่นอนว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วย่อมรู้ราคา

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ร้ายดีอย่างไรเขาก็เป็นถึงขุนนางขั้นสอง เหตุใดต้องเขินอายด้วยเล่า กลับกันจะไม่สื่อว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วเป็นคนตระหนี่หรือ

เช่นนั้นก็ต้อง กินให้เรียบ!

แน่นอนว่า เหตุผลหลักคือแพงราคาเกินไป หากวันหน้าอยากกินอีกก็ต้องจ่ายเองแล้ว ไม่สามารถกินจนอิ่มแปล้เช่นนี้ได้

ด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้าเมื่อคิดว่าหากกินน้อยลงแม้แต่คำเดียวก็จะขาดทุน เสนาบดีจ้าวจึงจัดการหัวหมูย่างชุดที่สองจนไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

กระทั่งสุดท้าย หงโต้วก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เอ่ยด้วยใบหน้าทะมึน “ใต้เท้าทั้งสามค่อยมาใหม่คืนพรุ่งนี้ก็ได้นะเจ้าคะ คืนพรุ่งนี้มีเนื้อวัวตุ๋น”

เสนาบดีจ้าวเช็ดปากแล้วเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “คิดเงินได้”

หากพรุ่งนี้มาก็ต้องเปิดกระเป๋าของตนเองจ่ายเองแล้วน่ะสิ นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร

หงโต้วหยิบใบแจ้งหนี้ขึ้นมาอ่าน “หัวหมูย่างหกหัวหกร้อยตำลึง สุราสิบกาสามร้อยตำลึง บะหมี่หยางชุนแปดชามสี่สิบตำลึง ทั้งหมดคิดเป็นเงินเก้าร้อยสี่สิบตำลึงเจ้าค่ะ”

เสนาบดีจ้าวสงบนิ่งราวขุนเขา “ลงบัญชีเอาไว้ว่าเป็นของจวนเสนาบดีแล้วส่งใบแจ้งหนี้มาให้ข้า พรุ่งนี้จะมีคนมาจ่ายเงิน”

“ลงบัญชี?” หงโต้วเอ่ยเสียงสูงขึ้นฉับพลัน

ยามนั้นลั่วเซิงก็เอ่ยออกมา “หงโต้ว นำใบแจ้งหนี้มอบให้เสนาบดีจ้าว”

หงโต้วนำใบแจ้งหนี้ยัดใส่มือเสนาบดีจ้าว เอ่ยงึมงำ “จะมาลงบัญชีไว้ได้อย่างไร”

เสนาบดีจ้าวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

หากไม่ลงบัญชีไว้ ให้เขาอยู่นี่ล้างจานหรือไร

ลั่วเซิงที่นั่งอยู่ตรงตู้คิดเงินมาโดยตลอดค่อยๆ ก้าวเข้ามา

“เสนาบดีจ้าวกินอิ่มหรือไม่เจ้าคะ”

“อิ่มแล้ว”

ลั่วเซิงพยักหน้ารับ หันมองไปทางหลินเถิง “คุณชายหลินก็คงอิ่มแล้วกระมัง”

เว่ยหานที่ถูกมองข้าม “…”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท