ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 120 บทสรุป

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 120 บทสรุป

ในที่สุดลูกค้าคนสุดท้ายของร้านก็จากไป คุณชายสามเซิ่งใบหน้ามืดครึ้มก่นด่าออกมา “กินเข้าไปได้ กินเข้าไปได้จริงๆ!”

“พี่ชายอย่าร้อนใจเลย ข้าจำได้ว่าย่างไว้แปดหัว”

เพื่อฤกษ์ยามอันดีในการเปิดกิจการค้าขาย นางย่างหัวหมูไปทั้งหมดแปดหัว

คราแรกคิดว่าเพราะตั้งราคาสูงลิ่วไว้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดกิจการและถึงแม้จะมีแม่ทัพใหญ่ลั่วส่งหน้าม้าให้มาอุดหนุนบุตรสาวก็ตาม อย่างมากก็คงจะขายออกแค่สี่หัวเท่านั้น

ไม่คิดเลยว่าจะยังมีไคหยางอ๋องด้วย…

คุณชายสามเซิ่งเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม “แค่สองหัว ยังไม่พอข้าหนึ่งคนกินเสียด้วยซ้ำ”

แม้แต่ชายชราอย่างเสนาบดีจ้าวที่เป็นดั่งไม้ใกล้ฝั่งยังกินไปถึงสองหัว เขาจะกินพอได้อย่างไรกัน!

สื่อเยี่ยนไม่เห็นด้วยหลังจากได้ยิน “คุณชายเซิ่ง ท่านกินคนเดียวคงไม่ดีกระมัง”

“หยุดเถียงกันได้แล้ว หัวหมูย่างยังอุดปากของพวกท่านไม่ได้หรือ” หงโต้วยกหัวหมูย่างที่หั่นเป็นชิ้นบางมาวางบนโต๊ะ

โค่วเอ๋อร์ก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิดพร้อมกับจานที่สอง

แม้ว่าคุณชายสามเซิ่งอยากจะโผเข้าไปตะครุบมันแค่ไหน แต่เขาก็ยังจำได้ว่าตนยังมีน้องหญิงอยู่ “น้องหญิง มากินข้าวกันเถอะ”

“พวกท่านกินกันเถอะ โค่วเอ๋อร์ ให้ท่านอาซิ่วเอาบะหมี่หยางชุนให้ข้าหนึ่งชาม จากนั้นก็ให้มากินข้าวด้วยกัน”

โค่วเอ๋อร์รับคำแล้วเดินออกไป ไม่นานหลังจากนั้น ท่านอาซิ่วเองก็ออกมาจากครัวพร้อมกับชามบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามในมือ

ผู้ดูแลใช้หางตามองเหลือบมองฉากนี้อยู่เงียบๆ หลายครา

คนของเถ้าแก่ใหม่ทุกคนล้วนหน้าตาโดดเด่น เว้นแต่แม่ครัวที่ให้ความรู้สึกน่ากลัวเล็กน้อย

โชคดีที่อยู่แต่ในครัวเท่านั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าขาย

การปรากฏตัวของอาซิ่วดึงดูดความสนใจของผู้ดูแลหญิง แต่สำหรับคนอื่นนั้นกลับมีเพียงความยินดี

เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้วก็เริ่มรับประทานอาหารได้

คุณชายสามเซิ่งรีบตะโกน “ท่านอาซิ่ว มากินหัวหมูย่างกันเถอะ”

ท่านอาซิ่ววางบะหมี่หยางชุนไว้ข้างมือของลั่วเซิง จากนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อน

“อาซิ่ว ผู้ดูแล พวกเจ้าก็มากินด้วยกันเถอะ”

ท่านอาซิ่วยอบกายลงแล้วเดินเข้าไปหาคุณชายสามเซิ่งและคนอื่นๆ

นางอยากลองชิมดูว่าหัวหมูย่างจะมีรสชาติเหมือนกับที่ท่านหญิงทำหรือไม่

ผู้ดูแลรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “เถ้าแก่ นี่มันจะไม่เหมาะกระมัง…”

เถ้าแก่คือคุณหนูลั่ว และชายหนุ่มที่นางเรียกว่าเซิ่งซานต่อหน้าลูกค้าก็คือลูกพี่ลูกน้องของคุณหนูลั่ว แท้จริงแล้วทั้งสองเป็นชนชั้นสูง

นางซึ่งเป็นเพียงผู้ขายแรงงานคนหนึ่ง จะอาจหาญไปนั่งร่วมโต๊ะกินดื่มกับคนชนชั้นสูงได้อย่างไร

“ในหอสุราแห่งนี้ ไม่แบ่งแยกชนชั้น”

หลังจากได้ยินลั่วเซิงเอ่ยออกมาเช่นนั้น ผู้ดูแลหญิงเดินเข้าไปแล้วหย่อนกายนั่งลง

“เริ่มกินได้” คุณชายสามเซิ่งใช้ตะเกียบคีบหูหมูขึ้นมา

สื่อเยี่ยนเองก็ไม่ยอมแพ้ มือไม้ฉับไวปานอสนีบาตคีบแก้มหมูยัดเข้าไปในปากตนอย่างรวดเร็ว

ด้านหงโต้วใช้ศอกผลักสื่อเยี่ยนออก เพื่อแย่งตำแหน่งที่ดีที่สุด

โค่วเอ๋อร์รีบจนตะโกนออกมา “ไอ้หยา พวกเจ้าจะแย่งกันแบบนี้มิได้…”

หงโต้วหยิบตะเกียบคีบเนื้อหัวหมูยัดเข้าปากโค่วเอ๋อร์

โค่วเอ๋อร์ดวงตาแข็งทื่อไปชั่วขณะ กลืนเนื้อหัวหมูลงคออย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยคำต่อไปออกมา “หัวหมูย่างอร่อยยิ่ง ไม่แย่งกันกินคงไม่ได้แล้ว!”

ผู้ดูแล…ผู้ดูแลไม่อยากคำใด เพียงตั้งหน้าตั้งตากินเท่านั้น

ลั่วเซิงเห็นว่าทุกคนมีความสุขกับการกินเช่นนี้ รีมฝีปากก็อดโค้งขึ้นมิได้ หยิบชามบะหมี่ขึ้นมาแล้วเริ่มกินบ้าง

เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม รสชาติกลมกล่อม น้ำแกงก็เลิศรสหาใดเปรียบ ทั้งยังคงมีรสชาติเหมือนกับบะหมี่หยางชุนที่นางเคยกินที่จวนอ๋อง

ตอนนั้นนางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะนั่งกินบะหมี่หยางชุนเช่นนี้ ในหอสุราเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองหลวง

ลั่วเซิงเดินไปที่ประตูแล้วมองออกไปด้านนอก

ค่ำคืนมืดมิดช่างยาวนาน โคมนับพันส่องสว่าง จันทรากลางฤดูร้อนยังคงเงียบสงัด

ท่านอาซิ่วหันมองไปทางเงาร่างสีเข้มที่ยืนอยู่ตรงประตู สีหน้าซับซ้อน

ความเคลื่อนไหวบนโต๊ะอาหารดังขึ้นฉับพลัน

สื่อเยี่ยนและคุณชายสามเซิ่งประหนึ่งใช้ตะเกียบเป็นดาบฟาดฟัน ยื้อแย่งเนื้อหัวหมูชิ้นสุดท้าย

ขณะที่ทั้งสองยังคงต่อสู้กันอยู่นั้น หงโต้วก็หยิบเนื้อหัวหมูขึ้นมายัดเข้าปากของนางแล้ว

สื่อเยี่ยนและคุณชายสามเซิ่งหัวใจเจ็บปวดยิ่ง ร้อนครวญครางออกมาทันที

หงโต้วกวาดตามองพวกเขา ยิ้มเยาะใส่

หึ ต่อหน้านางยังจะกล้าแย่งอาหารกันอีก

ด้านโค่วเอ๋อร์มิได้คิดจะขยับตะเกียบแย่งชิงด้วย ด้วยรู้ว่ามีหงโต้วอยู่ด้วยพยายามไปก็ไร้ความหมายจึงได้แต่ปลอบใจตนเอง “พรุ่งนี้ยังกินเนื้อตุ๋นได้”

สื่อเยี่ยนและคุณชายสามเซิ่งก็ปลอบใจตนเองอยู่เช่นกัน แต่พวกเขารู้สึกว่าสาวใช้ตัวน้อยที่มีน้ำใจอย่างโค่วเอ๋อร์นั้นหายากยิ่ง

ผู้ดูแลอดถามซิ่วเยว่มิได้ “แม่ครัวใหญ่ เนื้อตุ๋นก็อร่อยเช่นเดียวกับหัวหมูย่างใช่หรือไม่”

สวรรค์ ที่นางกินเข้าไปเป็นหัวหมูย่างอะไรกัน

หากรู้เร็วกว่านี้ว่าหัวหมูย่างอร่อยเพียงใด ไหนเลยที่นางจะต้องกังวลเรื่องค้าขายไม่ได้

แต่หากขายไม่ออก นางนี่แหละจะซื้อมากินเอง!

หรือหาก เถ้าแก่จะยอมให้นางกินจนเต็มอิ่ม ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างเลยก็ย่อมได้

ซิ่วเยว่เหลือบมองไปทางลั่วเซิงแล้วพยักหน้า “ก็อร่อยเหมือนกัน”

“แค่อร่อย หรือว่าอร่อยมากกันเล่า” ผู้ดูแลซักถามต่อ

ซิ่วเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ “เทียบกับหัวหมูย่างแล้วต่างก็อร่อยในแบบของตัวเอง”

ผู้ดูแลลอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นางจะเป็นผู้ดูแลของมีหอสุราไปตลอดชีวิต!

มีลูกค้าทั้งหมดเพียงสองโต๊ะรวมกับโต๊ะที่พวกตนเพิ่งกิน ทั้งหมดช่วยกัน ใช้เวลาไม่นานหอสุราก็กลับมาสะอาดเอี่ยมอ่องเช่นเดิม

ผู้ดูแลหยิบสมุดบัญชีออกมา “วันนี้ฤกษ์ดีเปิดกิจการ มีรายได้รวมหนึ่งพันสี่สิบตำลึง หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพวกวัตถุดิบและกำลังคนแล้ว กำไรอย่างน้อยก็หนึ่งพันตำลึงขึ้นไป… เพื่อให้การค้าขายของร้านเราเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ทุกท่านสามารถแสดงความเห็นเพิ่มเติมได้ ดูว่ายังมีจุดใดที่ต้องการปรับปรุงหรือไม่”

“ข้ามีความเห็น” คุณชายสามเซิ่งเป็นคนแรกที่อ้าปาก

ทุกสายตาหันไปมองเขา

“ร้านของเรามิได้ใหญ่มาก ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้กำลังคนเยอะเกินไป พรุ่งนี้ซานหั่วไม่ต้องมาช่วยก็ได้กระมัง”

กำลังหลักในการแย่งชิงหัวหมู ต้องรีบกำจัดออกไป

แล้วหงโต้วล่ะ มิผิดที่หงโต้วเป็นกำลังหลักโดยแท้จริง แต่เขาไม่กล้านี่นา

สื่อเยี่ยนได้ยินก็ระเบิดทันที “ข้าไม่ไป!”

เมื่อเห็นว่าทุกคนจ้องมองเขา องครักษ์ตัวน้อยก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเผยความปราดเปรื่องออกมาเป็นพิเศษ กล่าวว่า “อาหารของร้านเราอร่อยเช่นนี้ วันหน้าลูกค้าต้องไม่น้อยแน่นอน ไหนเลยจะพอเล่า อีกอย่าง ข้ามิใช่เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเพียงอย่างเดียวนะ”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเป็นอะไร” หงโต้วเอ่ยถาม

สื่อเยี่ยนตบหน้าอกตน “ความจริงแล้วข้าเป็นมือต่อยตีที่แสร้งปลอมตัวเป็นเสี่ยวเอ้อร์ พวกเจ้าคิดดูสิ อาหารของร้านเราอร่อยเช่นนี้ หากมีคนที่ซื้อไม่ได้หรือไม่มีเงินจ่าย เกิดการแย่งชิงขึ้นมาจะทำอย่างไร ในร้านนี้ยังมีคนที่มีทักษะมากกว่าข้าอีกรึ”

ทุกคนได้ยินก็อดพยักหน้ามิได้

มีเหตุผล ควรมีคนรู้เรื่องต่อยตีอยู่ด้วย

สื่อเยี่ยนเห็นทุกคนพยักหน้าก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ

ทำเอาเขาตกอกตกใจแทบตาย

“อย่างนั้นข้าเองก็มีความเห็น”

หัวใจของคุณชายสามเซิ่งบีบรัดแน่น

หรือว่าเจ้าสื่อซานหั่วนี่ต้องการจะแก้แค้นอย่างนั้นรึ

สื่อเยี่ยนเหลือบมองไปทางประตูแล้วลดเสียง “ข้าคิดว่าอาหารที่สั่งสำหรับแต่ละโต๊ะควรมีจำกัด เช่นหัวหมูย่างในวันนี้ ไม่ควรจะกินเท่าไรก็ได้กระมัง หากผู้ที่มากินจุมากแล้วกินจนหมด เช่นนั้นลูกค้าโต๊ะอื่นจะทำอย่างไรเล่า”

ด้วยรู้จักนายท่านของตนดี หลังจากนี้เกรงว่าเขาอาจจะมาทุกวัน

เขาจะกล้าเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้านายท่านได้อย่างไรเล่า เช่นนั้นก็ต้องมีกฎเกณฑ์ในร้านนี้ถึงจะทำได้

ทุกคนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นคำแนะนำที่ดี หากปล่อยลูกค้าที่กินจุกินอาหารจนหมด พวกเขาจะกินอะไรเล่า

“ข้าเองก็มีความเห็น” หงโต้วยกมือขึ้นบ้าง

สาวใช้สีหน้าจริงจัง “ห้ามมิให้มีการลงบัญชี”

ผู้ดูแลได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า “เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ได้ ร้านของพวกเราราคาค่อนข้างสูง โดยปกติแล้วคนก็มิได้นำเงินจำนวนมากเช่นนั้นติดตัวเมื่อออกไปกินข้าววนอกเรือน”

ลั่วเซิงกล่าวขึ้นบ้าง “หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของจวนใดก็จดบัญชีไว้แล้วค่อยไปเก็บที่จวนของพวกเขาในภายหลัง หากยังไม่จ่ายก็ไม่ต้องให้ลงบัญชีเพิ่ม”

หลังจากสิ้นสุดข้อสรุป มีหอสุราแห่งนี้ก็ขัดกลอน การเปิดกิจการค้าขายในวันแรกก็สิ้นสุดลง

กลับมาถึงจวนเสนาบดีจ้าวที่ล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยแล้วก็ล้มตัวลงนอนข้างฮูหยิน แต่แล้วจู่ๆ ฮูหยินก็คว้าเคราของเขาเอาไว้

“นายท่าน ข้าดมดูแล้วเหตุใดเคราของท่านถึงหอมเช่นนี้”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท