ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 133 จักจั่นหยก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 133 จักจั่นหยก

เมื่อคนเมาถึงขีดสุดแล้วก็สามารถทำได้ทุกอย่าง

ชายฉกรรจ์และชายมีหนวดพุ่งกายเข้าใส่สือเยี่ยนทั้งทางซ้ายขวา

สือเยี่ยนหันมองซ้ายขวา เอ่ยถามลั่วเซิงอย่างหวาดหวั่น “เถ้าแก่ ข้าสามารถลงมือได้หรือไม่”

ความหุนหันพลันแล่นเมื่อวานนี้แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังชั่วนิรันดร์!

เพียงเพราะจับเจ้าสารเลวโยนออกไปนอกร้านด้วยมือเดียว เขาก็เลยไม่ได้กินไก่แช่น้ำมัน!

ไม่ได้กิน!

หาใช่เรื่องเกินจริงไม่ หากจะบอกว่าเขาเกลียดเจ้าสารเลวผู้นี้อย่างสุดซึ้ง เขาถึงกับอยากชกมันให้ตายเสียด้วยซ้ำ

แต่จะใจร้อนไม่ได้อีก หากวู่วามแล้วไม่ได้กินเนื้อแช่วุ้นของวันนี้อีกเล่า นั่นนับว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของเขาแล้ว

ลั่วเซิงไม่ได้เอ่ยปาก หากแต่หงโต้วกลับเอามือเท้าสะเอวแล้วเอ่ยเสียงดุ “สือซานหั่ว เจ้าทำได้หรือไม่หา เจ้าคนพวกนี้ประชิดกายขนาดนี้แล้ว เจ้ายังโง่เง่า ยืนทื่ออยู่อีกทำไม ประเดี๋ยวก่อน เจ้าเด็กหน้าดำนั่นกำลังทำอะไรน่ะ”

ภายในโถง ไม่มีใครสนใจขี้เมาทั้งสองคนที่เกาะหนึบอยู่ที่สือเยี่ยน แต่มองดูเด็กชายหน้าดำที่กำลังหมกมุ่นอยู่ในครัวอย่างเงียบเชียบ

“เจ้าเด็กตัวดำนี่ดื่มมากเกินไปกระมัง หากต้องการจะวิ่งหนี ประตูอยู่ตรงนี้ต่างหาก” คุณชายสามเซิ่งงุนงง

ด้วยลั่วเซิงไม่ได้กล่าวอะไรและทุกคนล้วนสงสัยจึงไม่มีใครหยุดเด็กชายหน้าดำที่กำลังเร่งรีบอย่างบ้าคลั่งได้

ในพริบตานั้น เด็กชายหน้าดำก็รีบวิ่งเข้าไปในลานเรือน

เด็กหนุ่มยืนอยู่ในลานเรือนกวาดตามองไปรอบๆ อย่างว่างเปล่า ด้วยความมึนเมาเล็กน้อยจึงเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “มะ หม้อ หม้ออยู่ไหนเล่า”

หลังจากขยับจมูก ดวงตาของเด็กชายหน้าดำก็สว่างวาบ รีบวิ่งไปที่หม้อขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ด้านนอกห้องครัว

ประจวบเหมาะกับที่ซิ่วเยว่ได้ยินการเคลื่อนไหวเลยเดินออกมา ก็เห็นว่าเด็กชายหน้าดำคนหนึ่งกำลังพุ่งตรงไปที่หม้อใบใหญ่ ก็เข้าขวางไว้ในทันที

เนื้อตุ๋นหม้อนี้ร้อนฉ่า หากหกลงบนร่างของเด็ก เนื้อคงได้สุกไปครึ่งหนึ่งแน่นอน…

เมื่อเห็นว่าเด็กชายหน้าดำกำลังจะกระโจนเข้าใส่ซิ่วเยว่ ลั่วเซิงก็หยิบลูกคิดเหล็กในมือดีดมันออกไป

ลูกคิดโค้งอย่างสง่างามกลางอากาศ แล้วส่งเสียงดังกริ๊งกระแทกเข่ากับเข่าของเด็กชาย

ขาของเด็กชายหน้าดำอ่อนลง ก่อนจะล้มลงแทบเท้าของซิ่วเยว่ราวกับสุนัขที่กำลังเคี้ยวโคลน ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะหยุดนิ่ง

จี้จักจั่นหยกพลันหลุดออกมาจากคอของเด็กชายหน้าดำ ก่อนตะตกลงในครรลองสายตาของซิ่วเยว่อย่างเงียบเชียบ

ม่านตาของซิ่วเยว่หดตัวลง จ้องมองไปที่จี้จักจั่นหยกนั้นราวกับถูกอสนีบาต

ผู้ดูแลหญิงอุทานด้วยความประหลาดใจ สายตาหันมองลั่วเซิงด้วยความตื่นตะลึงยิ่ง

นางเป็นผู้ดูแลร้านมานานนับหลายปี วันนี้เพิ่งจะได้รู้ว่าลูกคิดเหล็กสามารถใช้งานเช่นนี้ได้

เถ้าแก่คงจะไม่ทุบตีเจ้าเด็กหน้าดำจนตายหรอกกระมัง

ซิ่วเยว่ยอบกายลงด้วยความงุนงง เหยียดมือออกไปอย่างสั่นเทาแล้วเอามืออังจมูกสัมผัสลมหายใจของเด็กชายหน้าดำ

ลั่วเซิงเดินเข้ามา เอ่ยเสียงเรียบ “ตีให้ตายไม่ได้หรอก”

จากนั้นเสียงครวญครางสายหนึ่งก็ดังขึ้น

ซิ่วเยว่ล้มฟุบไปกับพื้น ท่าทางราวกับยกหินออกจากอก

ลั่วเซิงเหลือบมองซิ่วเยว่ด้วยความประหลาดใจ “ท่านอาซิ่ว เป็นอะไรไปหรือ”

“ข้า…” ซิ่วเยว่พลันเงยหน้าขึ้น สบนัยน์ตากับหญิงสาวอย่างสุภาพแล้วฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย “บ่าวไม่เป็นไรเจ้าคะ…”

ลั่วเซิงสังเกตเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของซิ่วเยว่ได้และความรู้สึกภายในดวงตานั่นอีก

รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความอ่อนแอและสับสนยิ่ง ดูไม่เหมือนว่าจะสบายดี

นางเบนสายตา มองไปทางเด็กชายหน้าดำที่นอนกรนพังพาบอยู่บนพื้นแล้วใช้ความคิด

นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซิ่วเยว่เห็นเด็กหน้าดำคนนี้

ระหว่างทางไปเมืองหลวง เด็กชายหน้าดำพุ่งเข้าไปปล้น ซิ่วเยว่เองก็อยู่ตรงจุดนั้น

แต่ยามนั้น ตอนที่นางคว้าตัวเด็กชายหน้าดำไปเป็นตัวประกัน ก็ไม่เห็นท่าทางของซิ่วเยว่จะแปลกไป

ครั้งนี้ ทำไมถึงแตกต่างไปจากเดิมเล่า

ลั่วเซิงหันกลับมาเพ่งมองที่ร่างของเด็กหน้าดำ

ถึงเวลาปิดร้านแล้ว ยามนี้จันทร์ครึ่งเสี้ยวแขวนอยู่เหนือยอดไม้ สาดแสงกระจัดกระจายสอดประสานกับแสงสีส้มที่เปล่งออกมาจากโคมไฟใต้ชายคา

บางอย่างพลันตกเข้ามาในสายตาของลั่วเซิง

ลั่วเซิงยอบกายลง เหยียดนิ้วขาวพิสุทธิ์ออกมาแล้วหยิบจักจั่นหยกที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างเงียบๆ

จักจั่นหยกผูกไว้ด้วยด้ายแดง ซึ่งคล้องอยู่รอบคอของเด็กชายหน้าดำ

ฉับพลันซิ่วเยว่ก็ยื่นมือออกมาแล้วจับจักจั่นหยกเอาไว้

ลั่วเซิงหันมองไปที่ซิ่วเยว่ เอ่ยถามน้ำเสียงสงบ “อาซิ่วรู้จักสิ่งนี้หรือ”

ซิ่วเยว่อยากอ้าปากปฏิเสธ แต่น้ำเสียงของหญิงสาวนั้นหนักแน่นยิ่งและการเลิกคิ้วเล็กน้อยในท่าทางเอ่ยถามนั้นคุ้นเคยมากเกินไป ทำให้นางไร้เรี่ยวแรงที่จะปฏิเสธโดยพลัน

ซิ่วเยว่พลันคุกเข่าลง แล้วโขกหน้าผากให้ลั่วเซิง

ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “อาซิ่วกำลังทำอะไรกัน”

นางวางจักจั่นหยกลงแล้วหยัดกายขึ้น หากแต่กลับไม่ได้ช่วยประคองซิ่วเยว่ที่กำลังโขกศีรษะอยู่บนพื้น

ซิ่วเยว่เป็นสาวใช้ติดตามนาง เช่นนั้นท่าทางเช่นนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเด็กชายหน้าดำคนนั้นแน่นอน

สิ่งที่นางสงสัยคือตัวตนของเด็กชายหน้าดำคนนี้

ซิ่วเยว่เงยหน้าขึ้น “เด็กคนนี้เป็นหลานชายของข้าที่หายตัวไปนานนับหลายปี คุณหนูได้โปรดอนุญาตให้ข้าเก็บเขาไว้ข้างๆ กายด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

“มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือนี่” หงโต้วประหลาดใจ “เช่นนั้นตอนที่มายังเมืองหลวง เหตุใดเจ้าถึงจำเด็กคนนี้ไม่ได้ตอนที่พบเขาเล่า”

อาซิ่วกำลังวางแผนอยู่แน่ คนๆ เดียวแย่งความดีความชอบไปยังไม่พอ แล้วนี่ยังจะเอาประโยชน์เข้าตัวอีก!

ต้องเปิดเผยแผนการของนาง

ซิ่วเยว่กางมือออก เผยให้เห็นจักจั่นหยกรูปร่างธรรมดาชิ้นหนึ่ง

“หลานชายของบ่าวหายไปนานมากแล้ว ตอนแรกก็จำเขาไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อครู่ได้เห็นจักจั่นหยกที่เขาสวมอยู่จึงจำได้…”

หงโต้วห่อปาก “ดำเช่นนี้แล้ว เจ้ายังจำเขาไม่ได้อีกหรือ””

“หงโต้ว” ลั่วเซิงกวาดสายตาเหลือบมองหงโต้วนิ่งๆ

หงโต้วตะครุบปาก “บ่าวอดไม่ได้นี่เจ้าคะ”

คุณหนูเข้าข้างอาซิ่วมากนัก แม้แต่สงสัยสักนิดก็พูดออกไม่ได้

“อาซิ่ว ลุกขึ้นเถอะ”

ซิ่วเยว่เหลือบมองเด็กชายหน้าดำอย่างลังเล

ลั่วเซิงคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเขาเป็นหลานชายของเจ้า แน่นอนว่าเขาอยู่ได้”

“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู!” ซิ่วเยว่โขกศีรษะอีกครา จากนั้นก็โน้มตัวไปกอดเด็กชายหน้าดำเอาไว้

พยายามอุ้มขึ้นมา แต่เขากลับไม่ขยับ

เด็กชายหน้าดำดูแล้วอายุเพียงสิบสองหรือสิบสามปีเท่านั้น แต่เขากลับแข็งแรงตัวหนักนัก

“ข้าเอง” หงโต้วอุ้มเด็กหน้าดำขึ้นมาอย่างง่ายดาย เอ่ยถามซิ่วเยว่ด้วยสีหน้าถากถาง “เจ้าจะเอาหลานชายไปไว้ที่ไหนเล่า”

ซิ่วเยว่อดมองไปทางลั่วเซิงไม่ได้

“พาไปวางไว้ที่ห้องปีกข้างก่อนเถอะ เขาดื่มมากเกินไป” ลั่วเซิงเอ่ยเสียงเรียบ หากแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย

ซิ่วเยว่ถูกซื้อมาจากข้างนอกเมื่ออายุได้สามขวบ หลังจากนั้นก็ได้รับการฝึกฝนจากหมัวหมัวผู้ดูแลจนกระทั่งอายุห้าขวบก็ส่งมาปรนนิบัตินาง

ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านาง ว่าซิ่วเยว่ไม่มีญาติในจวนอ๋องด้วยซ้ำ แล้วหลานชายมาจากที่ใดกันเล่า

ก่อนจวนอ๋องจะถูกทำลาย ซิ่วเยว่เป็นหนึ่งในสี่สาวใช้ของนางและหลังจากจวนอ๋องถูกทำลายแล้ว ซิ่วเยว่ก็ใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่เป็นเวลาสิบสองปีในฐานะหญิงชราหน้าตาอัปลักษณ์

ที่มาของเด็กชายหน้าดำน่าสงสัยยิ่ง

เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาอาจจะลูกหลานของผู้ที่รอดชีวิตจากจวนอ๋อง

ลั่วเซิงคิดแล้วก็เยาะเย้ยตนเองไป หากมิใช่ว่านางได้รู้จากปากของซือหนานว่าน้องชายของนางตกกระแทกจนตายในคืนนั้นตั้งแต่เมื่อสิบสองปีที่แล้ว เมื่อเห็นเจ้าเด็กหน้าดำคนนี้ นางอาจคิดว่าเป็นเป่าเอ๋อร์น้องชายของตนด้วยซ้ำ…

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วเซิงก็คิดถึงใครอีกคนหนึ่ง

ซิ่วเยว่จดจำจักจั่นหยกนี้ได้ทันที ย่อมแสดงว่าซิ่วเยว่และเจ้าของของจักจั่นหยกชิ้นนี้ย่อมคุ้นเคยกันดี

และคนๆ นั้นก็ไม่ใช่นางหรือซูเฟิง

เช่นนั้นผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็น่าจะเป็นคู่หมั้นของซิ่วเยว่

คู่หมั้นของซิ่วเยว่มีหน้าที่ดูแลทหารยามในจวนอ๋อง เป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นและทุ่มเทให้กับซิ่วเยว่อย่างยิ่ง

เมื่อนางออกมาก็ทิ้งซิ่วเยว่ที่นั่น นอกจากการรับใช้มารดาเพื่อนางแล้ว ยังมีเรื่องนี้ที่ต้องคิดให้ถี่ถ้วนด้วย

เป็นไปได้ไหมว่าคู่หมั้นของซิ่วเยว่ก็หลบหนีไปในคืนนั้น จากนั้นก็แต่งงานมีภรรยา มีบุตร…

“เถ้าแก่ แล้วจะทำอย่างไรกับสองคนนี้ดี”

ลั่วเซิงกลับมาได้สติ สายตาของนางมองไปทางใบหน้าของชายฉกรรจ์ก่อนจะเบนสายตาไปมองชายมีหนวด ภาพชายหนุ่มรูปงามท่าทางเย็นชาผู้หนึ่งปราฏขึ้นในความคิด

หรือว่าหนึ่งในสองคนนี้จะมีใครคนหนึ่งเป็นคู่หมั้นของซิ่วเยว่

แม้คมมีดแห่งกาลเวลาผันเปลี่ยน แต่ก็ไม่ควรจะดูไม่ได้ขนาดนี้กระมัง…

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท