ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 135 ข้าเป็นภรรยาของเขา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 135 ข้าเป็นภรรยาของเขา

สือเยี่ยนเอามือกอดอก สีหน้าเย็นชา “แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับหนวดเคราของเจ้า มิสู้กังวลเกี่ยวกับสภาพของเจ้าตอนนี้ดีกว่ากระมัง”

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าหนวดเคราของข้าแล้ว พวกเจ้าทำอะไรลงไป” เห็นได้ชัดว่าชายมีหนวดไม่สามารถยอมรับความเจ็บปวดหลังจากตื่นมาแล้วไม่เห็นหนวดของตนได้ จึงร้องคำรามออกมาอย่างสะเทือนใจ

แต่ว่าในสถานการณ์นี้…

จะยังมีอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าการสูญเสียเคราอีกรึ

โค่วเอ๋อร์ไม่สบอารมณ์แล้ว “จะยังทำอะไรได้อีกล่ะหา ก็ตัดหนวดเคราของเจ้าออกไปหมดแล้วน่ะสิ จะส่งตัวไปยังเรือนจำขององครักษ์จิ่นหลินทั้งที หากเจ้าคิดจะใช้หนวดเคราอำพรางตนจะทำอย่างไรเล่า ข้าจะบอกเจ้าให้ ก่ออาชญากรรมเช่นนี้แล้วคิดอยากจะหนีก็เป็นไปไม่ได้แล้ว…”

องครักษ์จิ่นหลินหรือ

ได้ยินสามคำนี้เข้า ชายมีหนวดก็กายสั่นสะท้าน กอปรกับได้ยินหญิงสาวหน้าตาน่ารักผู้นี้เอ่ยถึงเรื่องก่ออาชญากรรมอะไรนั่นก็…

เขาลุกพรวดขึ้นมาทันที “ใครก่ออาชญากรรมกัน!”

หงโต้วเบ้ปาก “หึ ก็มิใช่พวกเจ้าหรอกหรือที่จะปล้นขาหมูของพวกข้าระหว่างทางไปเมืองหลวง”

ใบหน้าของชายมีหนวดพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง “ข้าปล้นเงินต่างหาก!”

คนที่ปล้นขาหมูคือเสี่ยวชีเจ้าเด็กโง่คนนั้น

ประเดี๋ยวก่อน เสี่ยวชีอยู่ไหนเล่า

ชายมีหนวดหันมองไปรอบด้าน ใบหน้าเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว “พวกเจ้าทำอะไรเสี่ยวชี”

“เจ้าวางใจเถอะ เจ้าเด็กผิวดำคนนั้นสบายดี ส่วนเจ้าตามข้ามาทางนี้จะดีกว่า” สือเยี่ยนยื่นมือออกมา แล้วกดไหล่ของชายมีหนวดเอาไว้

ชายมีหนวดพยายามใช้แรงขัดขืน แต่กลับพบว่ามือที่ดูเหมือนจะเบาหวิวซึ่งกดไหล่เขาอยู่นั้นหนักดั่งพันชั่ง ไม่สามารถหลุดรอดไปได้เลย

“พวกเจ้าไม่ได้ทำร้ายเสี่ยวชีจริงรึ” ชายมีหนวดซักถามต่อ ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนต่อจากนี้

“พวกข้าจะทำร้ายเด็กไปทำไมกัน เขาเป็นเพียงเหยื่อก็เท่านั้น” สือเยี่ยนเอ่ยเสียงเย็น

เหยื่ออย่างนั้นหรือ

ชายมีหนวดได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เหยื่ออะไรกัน”

สือเยี่ยนชี้นิ้วไปที่ซิ่วเยว่ซึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้อง “เจ้าเด็กผิวดำนั่นเป็นหลานชายของนาง ถูกพรากจากไปตั้งแต่ยังเด็ก ตามหาตัวไม่เจออยู่นานหลายปี ความจริงกลับโดนโจรภูเขาเยี่ยงพวกเจ้าลักพาตัวไป กลายไปเป็นโจรภูเขาตัวน้อย…”

“ไร้สาระ เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวชีเป็นหลานของท่านลุงอวี๋…” ชายมีหนวดลนลานโต้กลับ ก่อนจะหุบปากฉับลงทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอพลั้งปาก

“ท่านลุงอวี๋เป็นใครกัน” สือเยี่ยนซักถาม

ชายมีหนวดนิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดจา

สือเยี่ยนแค่นยิ้มเย็น “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอก เช่นนั้นก็ไปที่กรมขององครักษ์จิ่นหลินกับข้า ข้าเชื่อว่าเจ้ายินดีจะพูดออกมาเมื่อไปถึงที่นั่น”

ครั้นชายมีหนวดได้ยินคำว่าองครักษ์จิ่นหลิน หน้าก็พลันเปลี่ยนสี

แม้เขาจะเป็นโจรภูเขา แต่ก็ย่อมรู้ว่าองครักษ์จิ่นหลินร้ายกาจเพียงใด หากเข้าไปยังที่แห่งนั้นแล้วมีเพียงความตายไร้หนทางรอด และยังจะต้องประสบกับการทรมานทุกรูปแบบ

“พวกเจ้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงจะส่งข้าไปยังกรมขององครักษ์จิ่นหลินกัน” ชายมีหนวดตื่นตระหนก “ข้าเป็นเพียงโจรภูเขา ส่งข้าไปยังศาลาว่าการซุ่นเทียนก็เพียงพอแล้วกระมัง”

เขาเป็นเพียงโจรภูเขาเท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติใดที่จะไปยังกรมองครักษ์จิ่นหลิน

หงโต้วแสยะยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ “ถือสิทธิ์อะไรอย่างนั้นรึ เพราะบิดาของคุณหนูของพวกข้าเป็นผู้บัญชาการขององครักษ์จิ่นหลินอย่างไรเล่า ไม่ส่งเจ้าไปยังเรือนจำขององครักษ์จิ่นหลินแล้วจะให้ส่งไปที่ใด น้ำที่อุดมสมบูรณ์จะปล่อยให้ไหลเข้านาคนอื่นได้อย่างไรกัน”

โค่วเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของหงโต้ว “นั่นไม่ใช่วิธีที่จะป้องกันไม่ให้ความมั่งคั่งไหลไปสู่คนนอกหรือไร”

ชายมีหนวดได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้ง พึมพำ “ปีศาจสาวเป็นบุตรสาวของผู้บังคับบัญชาองครักษ์จิ่นหลินหรือ”

สือเยี่ยนเพิ่มแรงที่มือเพื่อให้ชายมีหนวดได้สติ “ข้าแนะนำว่าให้เจ้าเล่าความเป็นมาเป็นไปทั้งหมดให้กระจ่างชัดดีกว่า อย่างไรเสียไม่ว่าเจ้าจะตายหรือมีชีวิตอยู่ต่อ เจ้าเด็กดำก็ยังมีท่านอาของเขาคอยดูแลหลังจากนี้ เจ้ายังจำเป็นที่จะต้องดื้อรั้นต่อไปอีกรึ”

ชายมีหนวดพิจารณาแล้วก็เห็นด้วย เสี่ยวชีเป็นหลานชายของหญิงอัปลักษณ์และเขาก็เป็นพี่ชายใหญ่ของเสี่ยวชี นั่นก็หมายความว่าเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ

แล้วเขาจะยืนกรานปิดปากไม่ยอมเล่าต่อไปเพื่ออะไรกันเล่า

ตอนนั้นเองลั่วเซิงก็เดินเข้ามา

“อาซิ่วอยู่ที่นี่ ส่วนพวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”

รอกระทั่งหงโต้วและคนอื่นๆ ออกไปหมดแล้ว ลั่วเซิงก็ค่อยๆ หย่อนกายนั่งลงแล้วเอ่ยกับซิ่วเยว่ว่า “มีอะไรอยากถามก็ถามเถอะ”

ซิ่วเยว่ลังเลเล็กน้อย

ลั่วเซิงเผยยิ้มบาง “เจ้าต้องการให้ข้าออกไปด้วยหรือไม่”

ซิ่วเยว่อึกอักเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าตอบช้าๆ “คุณหนูไม่จำเป็นต้องออกไปหรอกเจ้าค่ะ”

รอยยิ้มบนริมฝีปากของลั่วเซิงลึกซึ้งขึ้นหลายส่วน

น้ำแข็งหนาสามชุ่น มิได้มาจากความหนาวเหน็บเพียงวันเดียว ซิ่วเยว่กุมความลับของผู้ที่รอดชีวิตจากการทำลายล้างจวนอ๋องเอาไว้ นางจึงระแวดระวังตัวอย่างมาก

และการทดสอบเล็กๆ น้อยๆ ในครั้งนี้ก็ได้ประจักษ์ให้เห็นแล้วว่าซิ่วเยว่มีความไว้วางใจในตัวของนางในระดับหนึ่งแล้วโดยไม่รู้ตัว

บางที ซิ่วเยว่อาจจะหวังว่านางคือท่านหญิงชิงหยางมากกว่าใครๆ

“เล่าเรื่องท่านลุงอวี๋ให้ข้าฟังหน่อยสิ” ซิ่วเยว่พยายามสุดความสามารถที่จะเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น

“เมื่อสิบสองปีก่อนท่านลุงอวี๋เป็นผู้บากหน้าเข้ามาขออาศัยที่ค่ายเฮยเฟิงด้วยตนเอง กล่าวว่าพลัดพรากกับครอบครัว บุรุษคนหนึ่งมิรู้ว่าต้องเลี้ยงเด็กทารกคนหนึ่งอย่างไร ดังนั้นก็เลยไปขออาศัยอยู่ที่ค่ายเพื่อหาทางรอด…ท่านลุงอวี๋เก่งกาจในด้านวรรณกรรมและต่อสู้ ตัวอักษรสำคัญๆ ที่ข้ารู้จักก็ได้ท่านลุงอวี๋นี่แหละสอนไว้…”

ลั่วเซิงและซิ่วเยว่ฟังเรื่องราวของ ท่านลุงอวี๋ จากชายมีหนวดเงียบๆ ค่อยร่างภาพลักษณะของบุรุษผู้นั้นขึ้นในใจ

“เขา เขาเป่าใบไม้เป็นบทเพลงได้หรือไม่” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซิ่วเยว่ก็อดทำลายความเงียบลงไม่ได้

“ใช่แล้ว ท่านลุงอวี๋เก่งเรื่องนี้ยิ่ง ใช้เพียงใบไม้ธรรมดาๆ ก็สามารถเป่าบทเพลงไพเราะออกมาได้แล้ว” ดวงตาของชายมีหนวดทอประกาย เขาเองก็เคารพ ‘ท่านลุงอวี๋’ มาโดยตลอด

ลั่วเซิงพลันค้นพบว่าใบหน้าของชายมีหนวดหลังจากเกลี้ยงเกลาแล้วนั้น กลับดูอัปลักษณ์เล็กน้อยกว่าตอนไม่มีเครา ดูไปแล้ว อย่างมากที่สุดเขาก็น่าจะอายุเพียงสามสิบต้นๆ เท่านั้น

“ท่านลุงอวี๋อายุมากกว่าเจ้าเท่าไร” ลั่วเซิงเอ่ยถามหลังจากค้นพบสิ่งนี้

ชายมีหนวดหลุดจากภวังค์ของตนแล้วยิ้มอย่างเขินอาย “ท่านลุงอวี๋อายุมากกว่าข้าเพียงแปดปี”

แก่กว่าแปดปีหรือ

ลั่วเซิงขมวดคิ้ว

นางจำได้ว่าคู่หมั้นของซิ่วเยว่เมื่อสิบสองปีก่อนอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ หากตอนนี้เขายังมีชีวิตก็น่าจะอายุเพียงสามสิบสามหรือสามสิบสี่เท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นอายุก็คล้ายกับจะไม่ตรงกัน

“แล้วเจ้า…” ลั่วเซิงขมวดคิ้วมุ่น จ้องไปที่ชายมีหนวด

ชายมีหนวดมีท่าทีเขินอายยิ่งกว่าเดิม “ข้าความจริงแล้ว…อายุยี่สิบห้าปี”

ลั่วเซิงนั้นนิ่งขรึมมาโดยตลอด ยากนักที่นางจะตกใจสักครั้ง นางอดจ้องมองไปยังชายมีหนวดไม่ได้

ยี่สิบห้าปีอย่างนั้นรึ นี่ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่นะ

เห็นได้ชัดว่าชายมีหนวดไม่ได้แปลกใจเมื่อเห็นสายตาเช่นนี้เข้า ใบหน้าเขามืดครึ้มด้วยความโมโหแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา

คิดว่าเขาไว้หนวดเคราเพื่อปกปิดใบหน้ารูปงามของตนหรือไรเล่า

หากแต่เป็นเพราะตอนที่เขาอายุสิบเจ็ด มักจะถูกเข้าใจผิดว่าตนนั้นอายุสามสิบ ด้วยเหตุนี้จึงไว้หนวดเคราด้วยความโกรธเพื่อปกปิดใบหน้าเอาไว้เสียเลย

“เจ้าสามารถร้องเพลงที่เขาเป่าบ่อยๆ ได้หรือไม่” ซิ่วเยว่เอ่ยถามเสียงสั่นหลังจากเงียบไปนาน

“ขอข้านึกดูก่อน” ชายมีหนวดพยายามใช้ความคิดแล้วจึงเปล่งเสียงร้องออกมา

หลังจากชายมีหนวดร้องเพลงออกมา เนื้อหาเกี่ยวกับการหลบหนีที่ไม่อาจหนีพ้นจากความเจ็บปวดและหอมหวานไปได้

นัยน์ตาของซิ่วเยว่มีน้ำคลอเบ้า เอ่ยถามเสียงสั่นเครือ “เขา เขาจากไปตั้งแต่เมื่อไร”

ชายมีหนวดก็เศร้าใจเช่นกัน “ท่านลุงอวี๋จากไปเมื่อห้าปีก่อน ก่อนจากไปเขากำชับให้ข้าดูแลเสี่ยวชีให้ดี พวกเจ้าเอาเสี่ยวชีไปซ่อนไว้ที่ใดกัน”

เขามองซิ่วเยว่ นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความสงสัย “เจ้าคือท่านอาแท้ๆ ของเสี่ยวชีจริงหรือ เช่นนั้นมีความเกี่ยวข้องใดกับท่านลุงอวี๋รึ”

ซิ่วเยว่เอามือปิดหน้า ไหล่ของนางสั่นตลอดเวลา

แม้นางจะไม่ได้ส่งเสียงใดออกมา หากแต่ในใจของชายมีหนวดก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกในก้นบึ้งหัวใจของหญิงอัปลักษณ์ที่อยู่เบื้องหน้า

ชายมีหนวดเงียบเสียงลง

ลั่วเซิงเองก็ไม่ส่งเสียงใดออกมาเช่นกัน

หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่งแล้ว ซิ่วเยว่ก็ค่อยๆ วางมือลง เผยให้เห็นใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา

นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าเป็นภรรยาของเขา”

ตอนนั้นเอง ดวงตาของลั่วเซิงก็ทอแสงวาบขึ้นมาทันที

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท