ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 137 มาสาย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 137 มาสาย

ผู้ที่ไปศาลาว่าการในวันนี้พบว่าเสนาบดีจ้าวอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ดูเหมือนจะเจอเรื่องกวนใจเข้า

ประจวบกับมีเรื่องยุ่งยากให้หารือกันเล็กน้อย หลังจากหารือกันไปมาก็ย่ำเย็นกว่าจะเลิกงาน

เสนาบดีจากกรมโยธาธิการผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับเสนาบดีจ้าวเข้ามาเอ่ยถาม “เหตุใดเสนาบดีจ้าวถึงได้หน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้เล่า หรือจะเจอกับคดียุ่งยากเข้า”

“มิใช่หรอก” เสนาบดีจ้าวเดินออกไป ตอบกลับอย่างไร้ชีวิตชีวา

เสนาบดีจากกรมโยธาธิการเอ่ยยิ้มๆ “ย่อมเป็นเช่นนั้น มีลูกน้องใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะเจอคดีใดเข้าก็ใช้เวลาไม่นานการไขความกระจ่าง”

“ใช่ หลินเถิงมีความสามารถนัก” ครั้นเสนาบดีจ้าวนึกถึงหลินเถิงก็พาลนึกถึงหลินซูที่สามารถใช้ลดค่าอาหารที่มีหอสุราได้ถึงครึ่งราคาขึ้นมา

เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้น

คงจะดีไม่น้อยหากหลินซูได้รับมอบหมายให้ทำงานกรมยุติธรรม หากแต่น่าเสียดายที่เจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้รับราชการ

น่าเสียดายนัก!

สังเกตเห็นสีหน้าเสียอกเสียใจของเสนาบดีจ้าวเข้า เสนาบดีจากรมโยธาธิการก็ยิ่งสงสัย “น้องจ้าวเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่รึ หรือเจ้าประสบเข้ากับปัญหาใด มิสู้เล่าให้ข้าฟังได้นา”

เสนาบดีจ้าวเหลือบมองสหายเก่า จากนั้นจึงเอ่ยตรงไปตรงมา “ข้าขาดเงินน่ะ”

“อะไรนะ” เสนาบดีจากกรมโยธาธิการคิดว่าตนได้ยินผิดไป

ขุนนางหลายคนที่เดินไปมาแถวนั้นที่กำลังเงี่ยหูฟังก็คิดว่าได้ยินผิดไป

ไม่เคยได้ยินมาว่าจวนจ้าวมีอะไรขาดเหลือนี่นา แต่เสนาบดีจ้าวกลับเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ว่าเขาขาดเงิน

นี่ นี่คงประสบเข้ากับปัญหาใหญ่แน่นอน!

เสนาบดีจากกรมโยธาธิการใบหน้าเปลี่ยนสี “น้องจ้าวขาดอยู่เท่าไร ข้ามีเงินส่วนตัวสำหรับเรื่องฉุกเฉินบางทีอาจจะ…”

เสนาบดีจ้าวส่ายหน้าถอนหายใจ “ยากจะเอ่ยได้”

เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของคนไม่น้อย เสนาบดีจ้าวจึงไม่คิดจะปิดบังอีก

อย่างไรเสีย ก็ไม่สามารถนำเงินส่วนตัวไปกินจนหมดได้

“เรื่องเป็นเช่นนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อน หอสุราแห่งหนึ่งเพิ่งจะเปิดใหม่ที่ถนนชิงซิ่ง…”

หลังจากได้ยินเรื่องที่เสนาบดีจ้าวเล่าจบ ทุกคนต่างกลืนน้ำลายพร้อมกัน

“เสนาบดีจ้าว อาหารในร้านอร่อยเช่นนั้นเลยจริงหรือ”

“เห็นข้าไม่ไม่มีอะไรทำก็เลยมาหลอกพวกเจ้าเล่นอย่างนั้นรึ” เสนาบดีจ้าวได้บินใครบางคนนตั้งคำถามถึงรสนิยมการกินของตน ก็ไม่สบอารมณ์ทันที

เสนาบดีจากกรมโยธาธิการงุนงงยิ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไปกินเสียก็จบเรื่อง เหตุใดน้องจ้าวถึงดูหดหู่นักเล่า”

“มันแพง!” เสนาบดีจ้าวกระทืบเท้าถอนหายใจ “มันแพงเกินไป”

กินมื้อหนึ่งก็หลายร้อยตำลึงเงินแล้ว แม้เขาจะเป็นถึงขุนนางขั้นสองก็ยังรับไม่ไหว

อย่างไรเสีย เงินเดือนประจำปี รายได้จากร้านค้าและที่นาก็ล้วนอยู่ในมือของฮูหยิน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะประหยัดเงินไว้เพื่อใช้สำหรับเรื่องส่วนตัว

เขาตั้งใจจะไปกินมากที่สุดเดือนละครั้งเท่านั้น กินมากกว่านั้นไม่ได้แล้ว

หากแต่ เมื่อคิดว่าสามารถทานอาหารที่ร้านมีหอสุราได้เพียงเดือนละครั้งและใช้เวลาที่เหลือในสามมื้อต่อวันด้วยการกินอาหารหมู จะอารมณ์ดีได้อย่างไรเล่า

เหอะเหอะ สามารถยืนหยัดเข้าร่วมประชุมราชสำนักได้โดยมิต้องลาป่วยก็ไม่เลวแล้ว

เสนาบดีจากกรมโยธาธิการคิดในใจ ‘ร้านมีหอสุราแห่งนั้นแพงขนาดไหนกัน ดูแล้วเหล่าจ้าวกลัดกลุ้มนัก’

เขาเอ่ยปากเชื้อเชิญทันที “ในเมื่ออาหารของมีหอสุราอร่อยมาก เช่นนั้นก็ให้ข้าเลี้ยงสุราท่านสักจอกเถิด พอดีเลยจะได้ไปลองชิมด้วย”

“น้องเฉียน เจ้าจะเป็นเจ้ามือหรือ” ดวงตาของเสนาบดีจ้าวเป็นประกายขึ้นมาทันที

เขาไปกินที่นั่นติดต่อกันสามมื้อ สองมื้อแรกเป็นแขก มีเพียงมื้อสุดท้ายเท่านั้นที่ต้องควักเงินออกเอง

แค่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เขาตาสว่างในทันที หักใจจะไม่ไปกินอาหารในคืนนี้แล้ว

หากแต่ไม่คิดเลยว่าจะยังมีคนเป็นเจ้ามือ!

เสนาบดีจ้าวคว้ามือของเสนาบดีเฉียนเอาไว้ เอ่ยเสียงสั่น “น้องเฉียน เจ้าช่างใจกว้างจริงๆ”

“น้องจ้าวจริงจังไปแล้ว แค่ดื่มกินเฉยๆ เท่านั้น” เสนาบดีเฉียนกวาดสายตามองสหายร่วมงานที่อยู่รอบด้านแล้วเอ่ยยิ้ม “คนเยอะยิ่งคึกคัก มิสู้พวกเราไปด้วยกัน…”

“น้องเฉียน!” เสนาบดีจ้าวตะโกนลั่นจนเสนาบดีเฉียนตกใจจนเอ่ยไม่ทันจบประโยค

“น้องจ้าว?”

เสนาบดีจ้าวสีหน้าจริงจัง “วันนี้พวกเราทั้งสองมานั่งคุยกันดีกว่า”

เหล่าเฉียนมีน้ำใจยิ่ง จะทำร้ายเขามิได้

อย่างไรเสีย กรมโยธาธิการก็มิได้มีเบี้ยหวัดมากนัก เหล่าเฉียนเองก็มิได้หาเงินมาอย่างง่ายดายเลย

เมื่อเห็นเสนาบดีทั้งสองเดินจากไปด้วยกัน เหล่าคนที่ถูกทิ้งอยู่ด้านหลังต่างก็หันมองหน้ากัน

“หอสุราเปิดใหม่นั้นอร่อยปานนั้นจริงหรือ”

“เสนาบดีจ้าวชอบกินยิ่ง หากเขาบอกว่าอร่อยก็คงเป็นเช่นนั้น”

“ไม่เคยได้ยินเสนาบดีจ้าวบอกว่าของแพงมาก่อนเลย สิ่งใดที่ถูกย่อมไม่ดี แต่สิ่งที่ดีย่อมมีราคา…”

“ถ้าหากว่า…พวกเราไปลองดูกันดีหรือไม่”

“ไป ไปลองดูกันเถอะ ถนนชิงซิ่งอยู่ใกล้แค่นี้เอง”

เสนาบดีจ้าวผู้ออกไปก่อนแล้วนั้นมิรู้เลยว่า ยามนี้มีคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านหลังกำลังเดินตามรอยเท้าของพวกเขามาด้วย

ต่างไปจากเสนาบดีจ้าวและคนอื่นๆ เทียบขุนนางใหญ่เช่นหลินจี้จิ่วผู้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาไปกับการต่อสู้ในศาลนั้น

ยามนี้หลินจี้จิ่วก็กำลังอารมณ์ไม่ดีเช่นกัน

การกินอาหารจากร้านมีหอสุราติดต่อกันเป็นเวลาสองวัน แค่คิดว่าวันนี้ต้องกลับไปกินข้าวที่จวนก็อึดอัดใจจะแย่แล้ว

แต่ไม่มีหนทางอื่น ยามนี้เขาแทบจะไม่มีเงินเหลือแล้ว แม้จะพาหลานชายคนรองไปด้วยและได้ลดครึ่งราคา แต่ก็ไม่สามารถไปกินทุกวันได้

ใจเย็นๆ รอจนจะทนไม่ไหวก่อนค่อยว่ากัน

ขุนนางในกั๋วจื่อเจียนค่อนข้างว่างงาน เมื่อเห็นว่าผู้บังคับบัญชาของตนอารมณ์ไม่ดีก็สืบจนรู้เหตุผลอย่างรวดเร็ว

เป็นเพราะไม่สามารถกินอาหารจากหอสุราได้อย่างนั้นหรือ

ใต้เท้าของพวกเขามิใช่คนตื้นเขินเช่นนั้น ไม่มีทางเป็นเพราะเรื่องนี้หรอกกระมัง

มองดูหลินจี้จิ่วนั่งคอตกห่อเหี่ยวใจอยู่ที่สำนักอย่างเงียบๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใคร่รู้หลายคนก็ได้นัดหมายกันไปที่ถนนชิงซิ่งแล้ว

ยามนี้ ร้านมีหอสุราก็เพิ่งจะเปิดทำการพอดี

คุณชายสามเซิ่งที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่นั้น เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “วันนี้มีจอมตะกละเพิ่มมาอีกสาม พวกเราจะพอกินหรือไม่”

“ไม่แน่หรอก เสนาบดีจ้าวที่มาที่นี่ติดต่อกันเป็นสามวันเกรงว่าอาจจะตัดใจไม่มาแล้ว อีกอย่างหลินจี้จิ่วที่มานี่ติดต่อกันสองวันก็คงจะไม่มีเงินแล้วกระมัง ฮูหยินของพวกเขาแม้จะกุมเงินเอาไว้ในมือ หากแต่นายหญิงของจวนก็ไม่สามารถวิ่งรี่ออกมากินอาหารข้างนอกได้ทุกวันกระมัง หากเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคืนนี้ผู้ที่มาอาจจะมีนายท่านของข้า” สือเยี่ยนไม่แน่ใจว่าเขากำลังปลอบใจคุณชายสามเซิ่ง หรือปลอบใจตัวเขาเองกันแน่

คุณชายสามเซิ่งเหลือบมองสือเยี่ยนแล้วถอนหายใจ “ท่านอ๋องของเจ้าเองก็กินเยอะมิใช่น้อย”

สือเยี่ยนอดพยักหน้ามิได้ “แล้วใครบอกว่าไม่ใช่เล่า”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังกังวลอยู่นั้น เสนาบดีจ้าวก็นำเสนาบดีเฉียนเดินเข้ามาแล้ว

“พี่เฉียน ที่แห่งนี้แหละ”

สือเยี่ยนตกตะลึง “ท่านมาอีกแล้ว…”

เสนาบดีจ้าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงยิ่ง “เสนาบดีเฉียนเป็นเจ้ามือ! รีบบอกมาสิว่าวันนี้อาหารจานใหม่คืออะไร”

เสนาบดีเฉียนได้ยินราคา ริมฝีปากก็ซีดขาว ดวงตาหดเล็กลง

เขา เขาเป็นแค่ตาแก่จนๆ ที่ดูแลกรมโยธาธิการเองนะ!

อาหารฝั่งนี้เพิ่งจะถูกยกเข้ามา ลูกค้าอีกเจ็ดแปดคนก็เดินเข้ามาในร้าน

ตอนนี้แม้แต่หงโต้วก็นั่งไม่ติดแล้ว รีบร้อนกล่าว “ขอแจ้งให้ใต้เท้าทุกกท่านทราบ อาหารที่ร้านของพวกข้ามีราคาสูงนะเจ้าคะ”

ทุกคนหันมองหน้ากัน อดหงุดหงิดใจไม่ได้

ร้ายดีอย่างไร พวกเขาก็คือขุนนางของราชสำนัก เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ดูถูกใครกัน!

“สั่งอาหาร!”

“สั่งสุรา!”

ไม่นานก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามา

ได้กลิ่นหอมของอาหารก็ยากที่จะทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นอดทนไหว ได้ยินเสี่ยวเอ้อร์หน้าตาน่ารักเอ่ยดูหมิ่นเช่นนั้นเข้า ผู้เข้ามาใหม่ก็เหลือไว้เพียงปฏิกิริยาเดียวเท่านั้น

“ยกอาหาร! ยกสุรา!”

มลายหายไปจนหมดสิ้นเสมือนพายุหอบเอาเศษปุยเมฆ เหลือทิ้งไว้เพียงจานกองพะเนิน

ลูกค้าทั้งหลายจากไปพร้อมท้องที่อิ่มแปล้

ราคาแพงมากจริงๆ แต่ก็อร่อยมากด้วย

ค่อยกลับมาใหม่หลังจากเก็บเงินได้ก็พอแล้ว…

ราตรีกาลย่ำกราย เว่ยหานเพิ่งจะมาถึง เขาแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคุณชายสามเซิ่งและคนอื่นๆ กำลังเก็บโต๊ะด้วยใบหน้าซีดเซียว

หลังจากยืนอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่มีใครทักทาย เขาก็ตะโกนเรียกสือเยี่ยน

ตระหนักได้ว่านายท่านของตนมาแล้ว องครักษ์ตัวน้อยที่ยังไม่หายจากความตกใจจนถึงขีดสุดเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ก็เดินยืดยาดเข้ามาพร้อมกับสายตาว่างเปล่า

“นายท่าน ท่านมาสายไป หมดแล้วขอรับ…”

เว่ยหานขมวดคิ้ว อดมองไปทางลั่วเซิงมิได้

ทุกอย่างหมดแล้วอย่างนั้นรึ เขาเข้าใจถูกใช่หรือไม่

ลั่วเซิงเผยยิ้มเล็กน้อย “ขออภัยเจ้าค่ะ ทั้งอาหารและสุราขายหมดแล้ว พรุ่งนี้ท่านอ๋องโปรดมาให้เร็วขึ้นกว่าเดิมนะเจ้าคะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท