ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 142 ของขวัญ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 142 ของขวัญ

“นี่คือสิ่งใดหรือ?” ลั่วเซิงพิงโต๊ะคิดเงิน กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

น้ำเสียงของเว่ยหานเองก็ราบเรียบเช่นกัน “ของขวัญสำหรับคุณหนูลั่ว”

สือเยี่ยนที่ยืนอยู่ตรงมุมขยิบตาให้เขาอย่างแรง

ท่านให้ของขวัญคนเขา ไม่ว่าจะให้สิ่งใด อย่างน้อยก็ต้องกล่าวด้วยวาจาอ่อนโยนสักประโยคสิถึงจะทำให้เด็กสาวรู้สึกว่าท่านมีนางอยู่ในใจจริงๆ

น้ำเสียงเช่นนี้ เหมือนเรียกให้อีกฝ่ายเก็บเงินสิไม่ว่า

“สือซานหั่ว ตาเจ้ากระตุกหรือ” หงโต้วมองสือเยี่ยนด้วยความรังเกียจ

สือเยี่ยนเอามือลูบจมูกแล้วไปเก็บโต๊ะ

“ท่านอ๋องมอบของแสดงความยินดีให้ข้าแล้ว เหตุใดถึงให้ของขวัญข้าอีกเล่า” ลั่วเซิงมองเว่ยหาน กล่าวถามด้วยท่าทีสบายๆ

ชายตรงหน้าเหมือนจะชื่นชอบสีแดงมากเป็นพิเศษ เสื้อผ้าอาภรณ์เป็นสีแดงเข้มขับผิวดุจดั่งหยก แข็งกระด้างและดูเย็นชามาก

แต่คนเช่นนี้กลับใช้น้ำเสียงราบเรียบกล่าววาจาเกี้ยวพาราสีประโยคหนึ่งว่า “ข้าเจอของสิ่งนี้โดยบังเอิญในจวนอ๋อง คิดว่าคุณหนูลั่วคงจะชอบก็เลยเอามาให้”

องครักษ์ตัวน้อยที่เช็ดโต๊ะอยู่ได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งจนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว

ในที่สุดนายท่านก็ก้าวหน้าขึ้นบ้างแล้ว!

ลั่วเซิงอดขำออกมาไม่ได้ “ท่านอ๋อง คำพูดนี้อาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่าย หรือขอเพียงข้าชอบ ท่านก็จะมอบให้หรือ”

เว่ยหานมองนางพลางกล่าว “ตราบใดที่เจ้าชอบ ข้าจะพยายามหามาให้ได้”

ลั่วเซิงเลิกคิ้วพลางกล่าว “เพราะเหตุใดหรือ”

สือเยี่ยนขยิบตาให้อีกครั้ง

นายท่าน กล้าๆ พูดออกมาหน่อย บอกว่าท่านชอบนาง!

ด้วยหน้าตาและสถานะของนายท่านแล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าคุณหนูลั่วจะไม่เก็บไปพิจารณาสักน้อย

ในขณะที่องครักษ์ตัวน้อยกำลังร้อนใจดั่งไฟสุมอยู่นั้น เว่ยหานก็กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ข้าชื่นชอบสุราและอาหารที่นี่มากก็เลยรู้สึกขอบคุณคุณหนูลั่วน่ะ”

เมื่อสบมองดวงตาที่เย็นชาดุจดั่งหยกคู่นั้นแล้ว ลั่วเซิงดูออกว่าอีกฝ่ายคิดเช่นนั้นจริงๆ

นางอดที่จะยิ้มไม่ได้ “แต่ท่านอ๋องจ่ายเงิน”

“มีของหลายอย่างที่ชื่นชอบ แต่ไม่อาจซื้อได้ด้วยเงิน” เว่ยหานผลักของในห่อสีฟ้านั้นใส่มือลั่วเซิง “คุณหนูลั่วรับไว้เถอะ”

ลั่วเซิงมองไปที่ของสิ่งนั้นก่อนกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ถึงท่านอ๋องจะตั้งใจมอบให้เป็นของขวัญ แต่ก็ใช่ว่าจะได้ส่วนลดครึ่งราคานะเจ้าคะ”

เว่ยหานลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

จะได้ครึ่งราคาหรือไม่นั้นไม่สำคัญ หากคุณหนูลั่วเห็นถึงความจริงใจของเขาและมอบอาหารอภินันทนาการให้เป็นของตอบแทน นั่นต่างหากคือเป้าหมายของเขา

“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว” ในที่สุดลั่วเซิงก็พยักหน้า

เว่ยหานยกยิ้มน้อยๆ อย่างจริงใจ “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน วันพรุ่งนี้จะมาใหม่”

“ท่านอ๋องกลับดีๆ เจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงมองร่างในชุดแดงที่หันหลังเดินจากไปแล้วกล่าวถามออกมาประโยคหนึ่งว่า “เหตุใดท่านอ๋องถึงสวมแต่อาภรณ์สีแดงหรือเจ้าคะ”

เว่ยหานชะงักแล้วหันหลังกลับมา

สือเยี่ยนอดไม่ไหวชี้แจงแทนว่า “ท่านอ๋องของพวกเราเปลี่ยนชุดทุกวันวันละชุดขอรับ แค่สีและแบบคล้ายคลึงกันเท่านั้น…”

คำพูดต่อไปกลับถูกตัดบทด้วยสายตาเฉียบคมดั่งกริช

สือเยี่ยนเช็ดโต๊ะต่ออย่างน้อยใจ

เขาก็แค่กลัวคุณหนูลั่วจะเข้าใจผิดคิดว่านายท่านไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เท่านั้น ไยนายท่านถึงไม่เข้าใจความหวังดีของเขาบ้าง

เว่ยหานสบตากับลั่วเซิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เมื่อก่อนข้าสังหารคนบ่อย สวมอาภรณ์สีแดง เวลาคราบเลือดกระเซ็นโดนจะได้ไม่เตะตามากเกินไปนัก นานเข้าเลยคุ้นชินน่ะ”

สือเยี่ยนยกผ้าขี้ริ้วมาปิดหน้าเมื่อได้ยินเช่นนี้

หากนายท่านทำให้เขาผิดหวังอีก เขาจะไม่เลี้ยงห่านแล้ว พยายามแย่งชิงตำแหน่งนายบำเรอของคุณหนูลั่วไม่แน่ว่ายังสามารถอยู่ข้างกายคุณหนูลั่วได้นานขึ้น

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ลั่วเซิงพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้ว

เว่ยหานมองนางพลางกล่าวว่า “หลังจากคุณหนูลั่วกลับเมืองหลวงก็ชอบสวมชุดสีเรียบ”

เขายังจำได้ว่าหญิงสาวที่ถลันเข้ามาดึงเข็มขัดเขาผู้นั้นสวมชุดสีแดงสดตลอดร่าง

มาคิดดูตอนนี้ก็เกิดความรู้สึกว่าทั้งสองแตกต่างกันมากราวกับเป็นคนละคน

เมื่อลั่วเซิงได้ยินคำนี้ ดวงตาก็เย็นชา กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ท่านอ๋องสนใจไปไยว่าข้าจะสวมเสื้อผ้าสีอะไร”

จวนอ๋องถูกทำลายล้างจนสิ้น ในวันอภิเษกนางตายไปด้วยความแค้น นางไม่สวมชุดสีเรียบแล้วจะให้สวมชุดแดงหรืออย่างไร

เว่ยหานขมวดคิ้วอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

คุณหนูลั่วเป็นคนถามเขาก่อน เขาเลยคิดว่าอีกฝ่ายสนใจในเรื่องนี้ก็เท่านั้น

เหตุใดต้องโกรธด้วยเล่า

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดไม่ออก ทำได้เพียงยอมแพ้

“ก็แค่ถามไปอย่างนั้น หากคุณหนูลั่วคิดว่าข้าล่วงเกิน เช่นนั้นต้องขออภัยด้วย”

ลั่วเซิงยกจอกน้ำชา “ท่านอ๋องกลับดีๆ นะเจ้าคะ”

เว่ยหานแอบถอนหายใจ หันหลังเดินจากไป

สือเยี่ยนโยนผ้าขี้ริ้วทิ้ง พรวดพราดเข้ามาอ้อนวอน “เถ้าแก่อย่าได้โกรธนายท่านของข้าน้อยเลยนะขอรับ นายท่านของข้าน้อยไม่เคยคบหากับหญิงสาวใดมาก่อน เขาไม่รู้หรอกขอรับว่าพูดสิ่งใดออกไป”

“ข้าไม่ได้โกรธหรอก” ลั่วเซิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ สายตาตกลงบนของในห่อสีฟ้านั้น

ครั้งนี้ ไคหยางอ๋องให้อันใดมานะ

มีดทำครัวสีทองนั้นตราตรึงใจมากจริงๆ ลั่วเซิงเปิดห่อผ้าออกทีละชั้น เผยให้เห็นสิ่งของด้านใน

เป็นม้วนตำราเล่มบางเล่มหนึ่ง หน้าปกเขียนอักษรตัวใหญ่ว่า ‘รวมตำราอาหารสกุลพาน’

เป็นตำราอาหารธรรมดาทั่วไปเล่มหนึ่ง

ทางเหนือมีตระกูลพ่อครัวตระกูลหนึ่งชื่อตระกูลพาน เชี่ยวชาญในด้านการตุ๋นมาก แต่น่าเสียดายที่สงครามหลายปีก่อนทำให้ตระกูลพานต้องขาดผู้สืบทอด นี่เป็นเรื่องที่พ่อครัวแม่ครัวหลายคนเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องเหล่านี้ นางได้รู้จากปากของคนครัวคนหนึ่งที่มาจากทางตอนเหนือตอนเป็นท่านหญิงชิงหยาง

ตำรารวมอาหารสกุลพานเล่มนี้ อาจเป็นตำราที่สูญหายของสกุลพานทางเหนือก็เป็นได้

ลั่วเซิงเปิดตำราดู เป็นอย่างที่นางคิดไว้ไม่มีผิด

ของขวัญชิ้นนี้ช่างถูกใจเสียจริง

แต่แม้ว่าของขวัญชิ้นนี้จะเป็นที่พึงใจ แต่สำหรับตัวคนนั้นยังไม่ดีพอ ใครใช้ให้เขาแซ่เว่ยกันเล่า

ใบหน้าของลั่วเซิงไม่เผยอารมณ์ความรู้สึกใดออกมา ยิ้มพลางกล่าวกับองครักษ์น้อยที่ทำหน้าสิ้นหวังว่า “ของชิ้นแรกคือมีดทำครัว ชิ้นที่สองคือตำราอาหาร ดูท่าท่านอ๋องของพวกเจ้าคงจะไม่ได้อยากส่งของขวัญให้ข้ากระมัง แต่หวังให้ข้าทำอาหารที่อร่อยยิ่งกว่าให้เขากินมากกว่า เขาจะได้กินจนกว่าจะพอใจ”

“ไม่นะ นายท่านของพวกเราไม่ได้หมายความเช่นนั้น…” สือเยี่ยนยังคิดจะชี้แจงแทนนายท่านของตนเอง แต่เมื่อมองไปที่ตำราเล่มนั้น เขาก็พูดอะไรไม่ออก

“คุณหนู เราไปทานข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ” หงโต้วทนรอไม่ไหวจึงเอ่ยปากตาม

ผู้ชายเพียงคนเดียวมีค่าอันใดต้องเอ่ยถึง คุณหนูของพวกนางไม่ได้ขาดแคลนผู้ชายสักหน่อย

การรีบกินข้าวต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ

ไม่นานก็เป็นเวลาที่รื่นรมย์ที่สุดของวันนี้ จันทราบนท้องนภาค่อยๆ ซ่อนตัวในเงาเมฆ

พลบค่ำแล้วกว่าเว่ยเหวินจะกลับมาถึงจวน นางเปลี่ยนชุดแล้วไปหาพระชายาผิงหนานอ๋อง

“วันนี้ไปกินข้าวข้างนอกมาหรือ” พระชายาผิงหนานอ๋องในมือถือถ้วยชาพลางเอ่ยถาม

“ที่ถนนชิงซิ่งมีหอสุราเปิดใหม่แห่งหนึ่ง รสชาติเยี่ยมยอดเลยเจ้าค่ะ เสด็จแม่ วันพรุ่งพวกเราไปด้วยกันนะเจ้าคะ”

พระชายาผิงหนานอ๋องส่ายหน้าพลางยิ้มกล่าวว่า “ถ้าเจ้าอยากไปก็พาพวกบ่าวรับใช้ตามไปเยอะหน่อยก็พอแล้ว แม่ไปคงไม่เหมาะ”

เว่ยเหวินกล่าวโน้มน้าว “เสด็จแม่ไม่รู้อันใดเสียแล้ว คนที่ไปที่หอสุรานั้นล้วนแต่เป็นคนสูงศักดิ์ทั้งสิ้นนะเจ้าคะ แม้แต่เสด็จอาเล็กเองก็ไปที่นั่นอยู่บ่อยๆ”

“หืม ไคหยางอ๋องก็ไปที่นั่นบ่อยอย่างนั้นหรือ” คำพูดนี้สะดุดใจพระชายาผิงหนานอ๋องเป็นอย่างมาก

“ใช่เจ้าค่ะ เสด็จอาไปบ่อย ยังมีเหล่าเสนาบดีทั้งหกกรม ตลอดไปจนถึงญาติฝ่ายหญิงก็ไปนะเจ้าคะ หลายๆ คนเขาไปกันมาแล้วทั้งนั้นเจ้าค่ะ”

“ดูท่ารสชาติอาหารของหอสุรานั่นจะดีจริง แต่ช่วงนี้แม่ไม่ค่อยอยากอาหาร ครั้งหน้าค่อยว่ากันก็แล้วกันนะ”

เว่ยเหวินเม้มริมฝีปากก่อนกล่าวว่า “เสด็จแม่ คนครัวที่หอสุรานั่นทำฟักเขียวอำพันเป็นด้วยนะเจ้าคะ”

“ฟักเขียวอำพันอย่างนั้นหรือ” พระชายาผิงหนานอ๋องอึ้งงันไป คราวนี้สนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“เสด็จแม่รับปากเถอะเจ้าค่ะ วันพรุ่งพาเสด็จพ่อกับพี่รองไปด้วยนะเจ้าคะ”

พระชายาผิงหนานอ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง “เดี๋ยวแม่จะถามพ่อของเจ้าว่าว่างหรือไม่”

ฟักเขียวอำพันเชียวนะ นานมากแล้วที่ไม่ได้ลิ้มรส

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท