ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 144 พอใจ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 144 พอใจ

เสี่ยวเอ้อร์หงโต้วของร้านที่ได้ชิมอาหารก่อนเดินเข้ามาอย่างชื่นมื่น “ลูกค้าทุกท่านเชิญด้านในเจ้าค่ะ”

ขาหมูสามสิบขา พวกเขาเพิ่งจะชิมไปได้สองขา พอร้านปิดก็ยังเหลืออีกตั้งแปดขารออยู่

ปกติแล้วคุณหนูกับอาซิ่วไม่กิน คุณชายเซิ่งหนึ่งขา สือซานหั่วหนึ่งขา โค่วเอ๋อร์หนึ่งขา ผู้ดูแลหนึ่งขา เสี่ยวชีหนึ่งขา ลู่หู่และตู้เฟยเปียวแบ่งกันหนึ่งขา นางกินได้สองขา!

เมื่อคิดเช่นนี้ หงโต้วจึงออกไปทักทายแขกด้วยพลังอันเปี่ยมล้น

ผิงหนานอ๋องอดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองหงโต้ว

เขามาถึงเมืองหลวงรับตำแหน่งท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์แต่ว่างงาน ประกอบกับความสัมพันธ์นั้นกับองค์รัชทายาทแล้วก็ไม่มีผู้ใดไม่เคารพ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกเขาว่าลูกค้า ฟังแล้วรู้สึกแปลกใหม่อยู่หลายส่วน

“มีห้องส่วนตัวหรือไม่” ผิงหนานอ๋องถาม

หงโต้วยิ้มหวาน “ท่านลูกค้ามาเร็ว แน่นอนว่าห้องส่วนตัวยังว่างอยู่เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นไปห้องส่วนตัว” ผิงหนานอ๋องหันไปเชิญเว่ยหาน “น้องสิบเอ็ดไปด้วยกันเถอะ”

เว่ยหานปฏิเสธ “ไม่รบกวนพี่สามจะดีกว่า ท่านกับพี่สะใภ้สามทานข้าวกับครอบครัวเถอะ”

“เหตุใดน้องสิบเอ็ดถึงพูดเช่นนี้ พวกเราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันอย่างนั้นหรือ” ผิงหนานอ๋องยิ้มออกมา

สายตาของลั่วเซิงเยือกเย็น หัวเราะเย็นชาอยู่ในใจ

เมื่อหลายปีก่อนผิงหนานอ๋องเองก็เคยแสดงท่าทีเป็นมิตรเช่นนี้ต่อหน้าเสด็จพ่อเช่นกัน ทำให้เข้ากันได้กับทุกคนเป็นอย่างดี

แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ภายใต้ท่าทางนั้นของเขาแอบแฝงไว้ด้วยจิตใจอันชั่วร้ายเพียงใด

นางชำเลืองมอง อยากรู้ว่าเว่ยหานจะตอบกลับอย่างไร

สีหน้าของเว่ยหานยังคงนิ่งสงบดังเดิม “แต่ข้าคุ้นชินกับการนั่งในห้องโถงใหญ่มากกว่า”

ผิงหนานอ๋องยังคงแสดงรอยยิ้มสนิทสนมออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าก็คงไม่บังคับน้องสิบเอ็ดแล้ว”

“ลูกค้าเชิญด้านในเจ้าค่ะ” หงโต้วหันกาย พาครอบครัวของผิงหนานอ๋องเดินขึ้นไปด้านบน

ลั่วเซิงมองตามครู่หนึ่ง หลุบตาลงหยิบถ้วยชาขึ้นมา

ชามีรสฝาดเล็กน้อย ทำให้รู้สึกตื่นตัว

แน่นอนว่านางไม่เลือกที่จะลงมือกับผิงหนานอ๋องตั้งแต่ครั้งแรกหรอก

ด้านในมีสายตาจำนวนมากจับจ้องอยู่ ด้านนอกก็มีองครักษ์ที่คอยติดตามผิงหนานอ๋องมาด้วย และอาจจะมีองครักษ์ลับที่แอบให้การอารักขาอยู่

คิดจะสังหารท่านอ๋องผู้หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

หลังจากที่ปลามาถึงแล้ว การจัดวางแผนตามลักษณะพิเศษของปลาถือเป็นสิ่งสำคัญ

ลั่วเซิงวางถ้วยชาลง ยืนขึ้นและเดินไปยังห้องครัว

“ขาหมู ฟักเขียวอำพัน…” สือเยี่ยนยกถาดมา วางอาหารลงบนโต๊ะพร้อมกับเอ่ยชื่ออาหารออกมา

แต่เว่ยหานกลับไม่ได้มองไปที่อาหารอย่างหาได้ยาก สายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างที่เพิ่งลุกออกไปพร้อมกับครุ่นคิด

“นายท่าน ท่านกำลังมองสิ่งใดอยู่งั้นหรือ” สือเยี่ยนกล่าวออกมา

ขาหมูหอมกรุ่นวางอยู่บนโต๊ะ นายท่านไม่คิดจะมองมันบ้างเลยหรือ

“มองคุณหนูลั่ว” เว่ยหานดึงสายตาของตนเองกลับมาพร้อมตอบอย่างใจเย็น

สือเยี่ยนผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา “นายท่าน คนที่ยอดเยี่ยมอย่างท่านจะแสดงออกได้ดีที่สุดตอนอยู่กับคุณหนูลั่ว อย่ามาเสียเวลากับข้าน้อยที่นี่เลย…”

“ไสหัวไป” เว่ยหานมองสือเยี่ยนอย่างเย็นชา หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร

ขาหมูที่ถูกหั่นเป็นชิ้นบางวางเรียงกันอยู่เต็มจาน มองดูแล้วก็ไม่ได้มากมายอะไร

เว่ยหานทานชิ้นแรกเข้าไป ความรู้สึกไม่สบายท้องตลอดทั้งวันของเขาพลันหายไปในทันที

วันนี้คุณหนูลั่วจ้องมองผิงหนานอ๋องมากเป็นพิเศษ

ปกติแล้ว เมื่อมีนักดื่มเข้ามา คุณหนูลั่วจะเพียงแค่ชำเลืองมองเท่านั้น

เว่ยหานระงับความสงสัยและคีบขาหมูชิ้นที่สองขึ้นมา

ในห้องส่วนตัว อาหารและเครื่องดื่มจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว

เว่ยเหวินคีบฟักเขียวอำพันชิ้นหนึ่งใส่จานของพระชายาผิงหนานอ๋อง “เสด็จแม่ ท่านลองทานฟักเขียวอำพันของหอสุราแห่งนี้ดูว่ามีรสชาติเป็นเช่นไร”

บังคับให้เสด็จแม่มาด้วยกัน นางเริ่มกังวลว่าจะทำให้เสด็จแม่ผิดหวัง อย่างไรนางก็ยังไม่เคยลิ้มลองอาหารจานนี้มาก่อน

พระชายาผิงหนานอ๋องไม่ได้ขยับตะเกียบ มองฟักเขียวอำพันที่เหมือนกับผลึกแก้วในจานด้วยแววตาซับซ้อน

แค่มองนางก็นึกถึงฟักเขียวอำพันในความทรงจำของนาง

ฟักเขียวอำพันต้นตำรับ นางเคยกินเพียงสองครั้งเท่านั้น

ครั้งหนึ่งตอนที่นางยังเด็ก นางไปงานวันเกิดของท่านตาพร้อมกับท่านแม่ นางจึงได้กินมันที่นั่น

นางได้ยินท่านแม่บอกว่า ที่บ้านของท่านยายมีสูตรลับเฉพาะในการทำฟักเขียวอำพันอยู่ เป็นสิ่งที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

หลังจากกลับมาได้ไม่ถึงครึ่งปี ท่านยายของนางก็จากโลกนี้ไป

บ้านของท่านยายกับบ้านของนางอยู่ห่างกันหลายพันลี้ นั่นเป็นเพียงความทรงจำหนึ่งเดียวที่ท่านแม่พานางไปยังบ้านของท่านยาย และความรักอันหอมหวานที่ท่านยายมอบให้นางผ่านฟักเขียวอำพันก็ยังคงตราตรึงอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนาง

หลังจากนั้น นางก็เดินทางไปยังจวนเจิ้นหนานอ๋องในฐานะแขก พูดคุยกับพระชายาเจิ้นหนานอ๋องในเรื่องต่างๆ และได้รู้ว่าท่านหญิงชิงหยางสามารถทำอาหารจานนี้ได้

เมื่อนางได้ชิมอาจเป็นเพราะขาดความทรงจำอันอบอุ่นนั้นไป ดังนั้นรสชาติจึงด้อยกว่าฟักเขียวอำพันที่นางเคยกินที่บ้านท่านยายเล็กน้อย

แต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว

บอกได้ว่า นางพอใจกับท่านหญิงชิงหยางที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของนางในอนาคตในหลายๆ เรื่อง

แน่นอนว่าเรื่องที่ไม่พอใจมีมากกว่า

เจิ้นหนานอ๋องรุ่นแรกและปฐมจักรพรรดิเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน พวกเขาอยู่ในยุคสมัยที่ทุกข์ยาก และเป็นผู้นำสันติสุขมาสู่ใต้หล้าด้วยกัน

เจิ้นหนานอ๋องเป็นพี่ ปฐมจักรพรรดิเป็นน้อง ทั้งสองคนร่วมมือกันเพื่อพิชิตใต้หล้า ตามเหตุผลแล้วผู้เป็นพี่ควรที่จะขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งนั้น แต่เจิ้นหนานอ๋องคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถในการปกครองเท่ากับปฐมจักรพรรดิ ดังนั้นจึงส่งมอบราชบัลลังก์ออกไป

ปฐมจักรพรรดิรู้สึกขอบคุณใจความมีน้ำใจของเจิ้นหนานอ๋อง แบ่งดินแดนที่ทั้งสองร่วมสร้างให้แก่พี่บุญธรรม แต่งตั้งพี่บุญธรรมเป็นเจิ้นหนานอ๋อง สืบทอดตำแหน่งรุ่นสู่รุ่น

เจิ้นหนานอ๋องอาจกล่าวได้ว่าเป็นคนมีวาสนา เขาสูงศักดิ์กว่าชินอ๋องทั่วไป

ในตอนนั้นท่านอ๋องระมัดระวังและให้เกียรติมากเมื่ออยู่ต่อหน้าเจิ้นหนานอ๋อง นางเองก็ฐานะต้อยต่ำกว่าพระชายาเจิ้นหนานอ๋อง

กระทั่งกล่าวได้ว่า หากองค์หญิงได้พบท่านหญิงของจวนเจิ้นหนานอ๋องยังต้องยอมให้หลายส่วน

องค์หญิงเป็นพระธิดาของจักรพรรดิ การตัดสินใจในหลายๆ ด้านมีบางครั้งยังทำให้ธิดาตนเองต้องน้อยใจ แต่กับจวนเจิ้นหนานอ๋องที่มีต้นกำเนิดเช่นนี้ พระองค์กลับปฏิบัติด้วยอย่างเกรงใจมาโดยตลอด

ท่านหญิงชิงหยางนั้นดีก็จริง แต่ภูมิหลังสูงส่งถึงเพียงนี้ การได้นางมาเป็นลูกสะใภ้จึงไม่ใช่เรื่องดีนัก

ในฐานะแม่ของสามี คงไม่อาจให้นางมานั่งเอาอกเอาใจลูกสะใภ้หรอกกระมัง

“เสด็จแม่ ท่านไม่ลองชิมดูหรือ”

พระชายาผิงหนานอ๋องได้สติกลับคืนมา ใบหน้าสับสนของนางเลือนหายไป ยิ้มออกมาพร้อมกับคีบฟักเขียวอำพันขึ้นมา

“ความกตัญญูของลูก แน่นอนว่าแม่ต้องชิมอยู่แล้ว”

สูงศักดิ์แล้วอย่างไร วันนี้คนที่ได้มานั่งกินอาหารอร่อยอยู่ตรงนี้ก็คือนาง ส่วนพระชายาเจิ้นหนานอ๋องที่นางต้องคอยระมัดระวังกลับกลายเป็นดินเหลืองกำหนึ่งไปนานแล้ว

สิ่งที่ดูเหมือนเข้มแข็งแต่ข้างในกลับอ่อนแอ เวลานี้ถูกทำลายจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว

ฟักเขียวอำพันชิ้นหนึ่งเข้าปาก พระชายาผิงหนานอ๋องลิ้มลองรสชาติอย่างละเมียดละไม

“เสด็จแม่ ท่านคิดว่ารสชาติดีหรือไม่” เว่ยเหวินถาม

คิ้วที่ขมวดอยู่ของพระชายาผิงหนานอ๋องคลายออก พูดออกมาอย่างถูกใจ “แน่นอนว่าอร่อย”

ฟักเขียวอำพันที่นางได้กินในครั้งนี้ รสชาติดีกว่าที่ท่านหญิงชิงหยางเป็นคนทำเล็กน้อย

บางทีอาจเป็นเพราะอารมณ์ที่แตกต่างออกไป

รู้สึกผิดหรือ

พระชายาผิงหนานอ๋องหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากและยิ้มออกมาเล็กน้อย

ความรู้สึกผิดสามารถทำให้บุตรชายคนโตกลายเป็นองค์รัชทายาทได้หรือ ความรู้สึกผิดสามารถทำให้จวนผิงหนานอ๋องสูงส่งกว่าจวนอื่นได้หรือ

ความรู้สึกผิดนั้นกินไม่ได้ เช่นนั้นก็ช่างมันเสียปะไร

หากบอกว่าเสียใจ สิ่งเดียวที่นางรู้สึกเสียใจก็คือการที่เชียงเอ๋อร์เอาใจออกห่างจากพวกเขา

แต่หากต้องการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ เมื่อเชียงเอ๋อร์ขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้นและได้เสพสุขกับอำนาจ เขาจะต้องค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่พวกตนทำ

“ข้าเองก็คิดว่าอร่อยเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่พี่รองไม่มาด้วย” เว่ยเหวินพูดจบ ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “เสด็จพ่อ ท่านทานขาหมูไปครึ่งหนึ่งในพริบตาเลยงั้นหรือเจ้าคะ”

ผิงหนานอ๋องคีบขาหมูชิ้นหนึ่งใส่จานของพระชายาผิงหนานอ๋อง “พวกเจ้าก็ลองชิมดู ขาหมูนี่รสชาติยอดเยี่ยมมาก”

รอจนถ้วยชามเต็มไปด้วยคราบ ผิงหนานอ๋องถอนหายใจออกมาด้วยความพึงพอใจ “เหวินเอ๋อร์ได้พบกับสถานที่ที่ดีจริงๆ”

พรุ่งนี้ค่อยมากินใหม่

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท