ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 145 ท่านลูกค้ากลับดีๆ นะเจ้าคะ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 145 ท่านลูกค้ากลับดีๆ นะเจ้าคะ

ลูกค้าประจำของมีหอสุราค่อยๆ ค้นพบกฎข้อหนึ่ง ทุกวันที่ห้า สิบห้า และยี่สิบห้าจะมีหัวหมูย่าง ทุกวันที่สิบ ยี่สิบ สามสิบจะมีขาหมูตุ๋น

ส่วนเนื้อตุ๋น ลิ้นเป็ดกระเทียมดำ อาหารเหล่านี้จะมีทุกวัน ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมากนัก

ผิงหนานอ๋องชอบทานขาหมูตุ๋นและหัวหมูย่างมาก ซึ่งล่าสุดทางหอสุราได้เปิดตัวรายการอาหารใหม่นั่นก็คือ ไส้ดอกบ๊วย ให้รสชาติของลำไส้ใหญ่ แต่กลับไม่มีกลิ่นเหม็นของลําไส้ใหญ่ ทำให้ลูกค้ายิ่งมาแน่นขนัด

นักดื่มที่มาหอสุราเป็นประจำจึงรู้กันโดยปริยายว่า ‘ไม่มีการร่วมโต๊ะ ไม่เป็นเจ้ามือ’

เพราะอาหารบางอย่างของหอสุราน่าชังนี่มีจำนวนจำกัดจะร่วมโต๊ะกันได้อย่างไร

เป็นเจ้ามือหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

ต่อให้เป็นคนรู้จักหรือแม้กระทั่งญาติก็เลี้ยงไม่ไหวหรอก

เลี้ยงครั้งแรกยังพอไหว เลี้ยงครั้งที่สองก็ยังพอจะฝืนอดทนได้ หากเลี้ยงครั้งที่สามคงกลับมาที่นี่ไม่ได้ไปสักระยะ

ดังนั้นทุกคนควรรู้จักกาลเทศะ กินใครกินมัน

ตอนเช้า ลั่วเซิงใช้เวลาในลานฝึกยุทธ์ตามปกติ

โชคดีที่อดีตคุณหนูลั่วก็ชอบรำหอกรำกระบอง นอกจากจะไปเดินเตร็ดเตร่ตามถนนเพื่อความสนุกแล้ว ยังใช้เวลาส่วนใหญ่ที่นี่

“ตอนนี้ขาหมูคงตุ๋นได้ที่แล้วกระมัง” หงโต้วที่นั่งอยู่ข้างสนามพลันถอนหายใจ

ขาหมูตุ๋นใช้เวลาทำนานมาก ต้องเริ่มตุ๋นตั้งแต่เช้า ใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้าชั่วยามถึงจะเสร็จ ซึ่งก็ใกล้จะถึงเวลาที่หอสุราจะเปิดทำการแล้ว

ตอนนี้คุณหนูมอบให้อาซิ่วจัดการอาหารรายการนี้ หากไปช้าเกินก็จะไม่อาจดมกลิ่นหอมๆ ได้อย่างที่ต้องการ

“มากินน้ำแข็งใสกันเถอะ” โค่วเอ๋อร์ยื่นน้ำแข็งใสที่โรยด้วยกระจับ ผลซิ่งและผลท้อสดให้

พอได้กินน้ำแข็งใสหวานเย็นพวกนี้ หงโต้วก็หยุดบ่น

อากาศร้อนๆ เช่นนี้ ทานน้ำแข็งใสไปดูคุณหนูขี่ม้ายิงธนูไปก็ไม่เลวดีเหมือนกัน

ตอนนั้นเองม้าขนเงางามพลันหยุดวิ่ง จากนั้นลั่วเซิงก็พลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วเดินไปยังข้างสนาม

หงโต้วกับโค่วเอ๋อร์จึงรีบลุกขึ้นมา คนรับธนูก็รับธนูไป คนส่งผ้าเช็ดหน้าก็ส่งผ้าเช็ดหน้าไป

“คุณหนู อย่าฝึกซ้อมในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ หากท่านเบื่อจริงๆ ไยไม่ออกไปเดินเล่นที่ตลาดล่ะเจ้าคะ” เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อที่ชุ่มหน้าผากของลั่วเซิงและเสื้อผ้าที่เปียกโชกบริเวณแผ่นหลัง หงโต้วก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก

อากาศร้อนเช่นนี้ ไปเดินตลาดสอดส่องว่ามีหนุ่มน้อยหน้าตางดงามหรือไม่ไม่ดีกว่าหรือ

โค่วเอ๋อร์เองก็ปวดใจ รีบเอ่ยสนับสนุนว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนู หากเบื่อไปเดินเล่นก็ดีนะเจ้าคะ อย่าตากแดดอยู่ในลานฝึกยุทธ์ทั้งวันเลย มันไม่ดี”

แค่ดูเฉยๆ ไม่ฉุดกลับมาก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ดีกว่าให้คุณหนูตากแดดจนผิวดำคล้ำเช่นนี้

“ร้อนเช่นนี้จะเดินเล่นอะไรกัน พักผ่อนสักครู่ก็ไปที่หอสุราได้แล้ว” ลั่วเซิงโยนผ้าเช็ดหน้าชุ่มเหงื่อใส่มือของโค่วเอ๋อร์ ก้าวเท้ายาวๆ เดินออกจากลานฝึกยุทธ์ไป

พักผ่อนเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาไปสังหารคน

หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีขาวสะอาดราวหิมะ ลั่วเซิงก็ให้หงโต้วกับโค่วเอ๋อร์ถอยออกไป

นางนั่งอยู่คนเดียวที่หัวเตียงเป็นเวลานาน ก่อนหยิบคันธนูใต้เตียงออกมา

คันธนูนั่นเป็นคันธนูที่นางคุ้นเคยมากที่สุดจากการฝึกฝนทุกวัน ดูธรรมดาไม่โดดเด่นอะไร แต่กลับไม่ธรรมดา

เพราะคันธนูนี้ เป็นคันธนูที่นางเตรียมไว้สำหรับผิงหนานอ๋องโดยเฉพาะ

ลั่วเซิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดสายธนูเบาๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งใจนิ่งสงบดั่งสายน้ำจึงวางคันธนูลง

เมื่อเข้าสู่เดือนหกจะมืดช้ามาก ทำให้หอสุราเปิดทำการช้ากว่าเดือนห้าราวครึ่งชั่วยาม

กล่าวได้ว่าอากาศร้อน มีผลกระทบต่ออารมณ์ของแม่ครัวตอนทำอาหาร

นี่เป็นประเด็นที่นักดื่มนับไม่ถ้วนไม่กล้าพูดออกมา ‘ไม่เคยได้ยินว่าเวลาเปิดทําการของหอสุราเปลี่ยนไปทุกๆ เดือน’

ในที่สุดก็มืดลงแล้ว โคมไฟสีแดงใหญ่ที่อยู่นอกหอสุราพลันสว่างขึ้น มอบแสงสีส้มอันอบอุ่นแก่นักดื่มที่เดินทางมาถึง

กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากหอสุรายิ่งลอยออกไปไกล คนธรรมดาที่รู้ราคาของร้านเถื่อนนี้อยู่แล้วต่างก็พากันปิดจมูกและเร่งฝีเท้า ไม่กล้าหยุดยืนนานๆ

ได้ยินมาว่ามีเศรษฐีต่างถิ่นคนหนึ่งกินเยอะเสียจนไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง พวกเขาไม่อาจเดินตามรอยเศรษฐีคนนั้นได้

ลั่วเซิงนั่งอยู่ที่ตู้คิดเงิน จิบชาเงียบๆ ท่าทีดูเกียจคร้านเหมือนปกติ

มีแขกทยอยเข้าร้านมาสองสามคน มีทั้งคุ้นหน้าคุ้นตาและแปลกหน้า ไม่ช้าโต๊ะในห้องโถงก็เต็มไปแล้วครึ่งหนึ่ง

จนกระทั่งถึงเวลา ผิงหนานอ๋องก็มาในที่สุด

ผิงหนานอ๋องพาพระชายาผิงหนานอ๋องมาด้วย

ช่วงที่ผ่านมาผิงหนานอ๋องเริ่มพาพระชายามาด้วยบ่อยๆ จนตอนนี้ผู้คนในเมืองเริ่มพูดกันว่าผิงหนานอ๋องสามีภรรยารักใคร่กันดี จวนที่มีบุตรสาวต่างก็สนใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อเพิ่มมากขึ้น

ในช่วงวัยเช่นนี้ผิงหนานอ๋องยังคงรักใคร่กลมเกลียวกับพระชายา ฉะนั้นบุตรชายย่อมไม่เลวอย่างแน่นอน

สําหรับข่าวลือเหล่านี้ พระชายาผิงหนานอ๋องก็เคยได้ยินมาพักหนึ่งแล้ว ในใจอดรู้สึกภาคภูมิใจไม่ได้

ในตอนแรก นางเพียงอยากกินฟักเขียวอำพันในหอสุราสักสองสามครั้งเท่านั้น

นางจดจำอาหารจานนี้ไม่เคยลืมเลือนเพราะเกี่ยวข้องกับความทรงจำอันอบอุ่นในวัยเด็กของนาง ตั้งแต่มากินข้าวที่หอสุรา นางก็รู้สึกว่ายังสามารถลิ้มรสความสุขที่ไม่อาจอธิบายได้ในอาหารจานนี้

นางเคี้ยวอาหารจานนี้อย่างละเอียดเชื่องช้า สัมผัสถึงความรู้สึกพึงพอใจที่ในที่สุดก็ได้เหยียบย่ำพระชายาเจิ้นหนานอ๋องไว้ใต้ฝ่าเท้า

ความสุขที่อีกฝ่ายไม่สามารถเอาชนะได้ตลอดกาล

แล้วนางจะไม่รักอาหารจานนี้ได้อย่างไร

นางไม่คิดว่าแค่มาทานอาหารกับท่านอ๋องเพียงไม่กี่ครั้ง จะทำให้มีชื่อเสียงดีงามอย่างสามีภรรยารักใคร่ลือออกไป เป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงเลย

และชื่อเสียงดังกล่าวก็ยังมีประโยชน์ต่อการหาสะใภ้ให้บุตรชายอีกด้วย

ทันทีที่เห็นคู่สามีภรรยาผิงหนานอ๋องเดินเข้ามา ในที่สุดลั่วเซิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

ถึงแม้ผิงหนานอ๋องจะไม่มาวันนี้ก็ยังรอจนถึงคราวหน้าได้ แต่นางตัดสินใจจะลงมือวันนี้ ดังนั้นจึงระแวดระวังต่อการเปลี่ยนแปลง

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงมักจะทำให้คนรู้สึกถึงลางอันไม่เป็นมงคลนัก

ผู้ที่ต้อนรับสองสามีภรรยาผิงหนานอ๋องยังคงเป็นหงโต้ว

“วันนี้ท่านลูกค้ามาช้าไปหน่อย ห้องส่วนตัวจึงไม่มีแล้วเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร ห้องโถงก็ได้” ผิงหนานอ๋องตอบกลับอย่างสบายๆ

เมื่อมาบ่อยเข้าก็ไม่ยึดติดกับห้องส่วนตัวแล้ว

เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้คนจำนวนมากที่กำลังดื่มกินอยู่ในห้องโถงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีสถานะทั้งสิ้น แม้แต่ไคหยางอ๋องเองก็ไม่เป็นข้อยกเว้น

“ท่านลูกค้าโปรดตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงได้ยินผิงหนานอ๋องสั่งอาหารจึงลุกเดินไปที่ครัวด้านหลัง

ตามปริมาณการกินของสองสามีภรรยาผิงหนานอ๋อง ความเร็วในการกินและนิสัยในการสั่งอาหารเพิ่ม นางพอจะคาดเดาเวลาตั้งแต่อาหารถูกยกขึ้นโต๊ะไปจนถึงเวลาที่สามีภรรยาผิงหนานอ๋องจากไปได้

เมื่อเดินเข้าไปในลานบ้านก็บังเอิญเจอชายมีหนวดเดินออกมา

“เถ้าแก่ ข้าจะไปรับเสี่ยวชีนะ”

ลั่วเซิงพยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “รีบไปรีบกลับ”

เมื่อพิจารณาว่าเสี่ยวชียังเด็กอยู่ ลั่วเซิงจึงเคยขอความเห็นจากซิ่วเย่ว์และส่งเขาไปสำนักศึกษาเอกชนที่ดูแล้วไม่เลวแห่งหนึ่งตั้งแต่เดือนที่แล้ว

ชายมีหนวดมีความสุขมาก เป็นคนต้นคิดเรื่องการไปรับไปส่ง

แต่สำหรับลั่วเซิง นางจำเป็นต้องส่งเด็กหนุ่มซึ่งอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋องไปเล่าเรียนเขียนอ่าน

นอกจากนี้ ยังเป็นการกำจัดคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในวันนี้อย่างตู้เฟยเปียวออกไปอีกด้วย

รอจนชายมีหนวดเดินจากไปแล้ว ลั่วเซิงจึงออกคำสั่งใหม่กับชายฉกรรจ์ที่กำลังผ่าฟืนอยู่ “ผ่าฟืนเสร็จแล้วก็อย่าลืมบดถั่ว พรุ่งนี้เราจะทำเต้าหู้กินกัน”

ชายฉกรรจ์ยิ้มแล้วพยักหน้า

เรี่ยวแรงหมดนับเป็นอะไรได้ พรุ่งนี้จะมีเต้าหู้กินแล้ว

ฮิๆ เขาชอบกินเต้าหู้

ชายฉกรรจ์ผ่าฟืนอย่างขันแข็งจมอยู่กับจินตนาการที่สวยงามของอาหารค่ำในวันพรุ่งนี้

ลั่วเซิงเดินเข้าไปในครัวเพื่อคุยกับซิ่วเย่ว์ จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง

การเดินไปมาระหว่างห้องโถงกับครัวด้านหลังหลายครั้งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว นักดื่มในห้องโถงจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้

“เก็บเงิน” เมื่อดื่มกินกันจนอิ่มหนำ ผิงหนานอ๋องก็เอ่ยประโยคนี้ตามปกติ จากนั้นก็พาพระชายาผิงหนานอ๋องเดินออกไป

หงโต้วยิ้มกว้าง ยอบกายส่งสามีภรรยาผิงหนานอ๋อง “ลูกค้าทั้งสองท่านกลับดีๆ นะเจ้าคะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท