ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 146 อยู่ต่อ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 146 อยู่ต่อ

สำหรับคำพูดสุภาพของเสี่ยวเอ้อร์ ผิงหนานอ๋องย่อมไม่สนใจ เขาหันไปทักทายเว่ยหานตอนกำลังจะออกไป “น้องสิบเอ็ด ยังกินไม่เสร็จอีกรึ”

เว่ยหานนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมสีดำเข้ม ขับเน้นให้รูปร่างเขาดูสูงโปร่ง คิ้วเข้มจมูกโด่ง

สำหรับคำพูดไร้สาระของผิงหนานอ๋องนั้น เว่ยหานคร้านจะสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นมารยาทพื้นฐานยังต้องมีอยู่

เขาพยักหน้าอย่างเรียบเฉย “อืม พี่สาม พี่สะใภ้กลับดีๆ”

“งั้นน้องสิบเอ็ดก็ค่อยๆ ทานนะ” ผิงหนานอ๋องหัวเราะแล้วเดินออกจากหอสุราไป ทว่าสีหน้ากลับเย็นชาลง

ไม่มีใครอยากจะถูกปฏิบัติด้วยอย่างเย็นชาหรอก สำหรับคนหัวแข็งอย่างน้องสิบเอ็ด แน่นอนว่าเขาย่อมต้องทำ

ก็เสด็จพี่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับน้องสิบเอ็ดมากที่สุดนี่

เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าทําไม

ถ้าจะบอกว่าน้องสิบเอ็ดเป็นแม่ทัพที่หาได้ยาก แต่ทั่วทั้งต้าโจวจะหาคนที่แข็งแกร่งเท่าเขาไม่ได้เชียวหรือ

แต่เสด็จพี่ฮ่องเต้ก็อบรมสั่งสอนน้องสิบเอ็ดมาตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้วยังส่งไปเคี่ยวกรำที่แดนเหนืออีก

หรือว่าตั้งแต่ตอนที่น้องสิบเอ็ดเด็กๆ เสด็จพี่ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นว่าเขาเป็นต้นกล้าที่ดีสามารถเป็นแม่ทัพปกปักษ์แคว้นได้แล้ว

ผิงหนานอ๋องนึกย้อนไปในความทรงจำอันห่างไกล

เหตุใดเขาจำได้ว่าตอนที่น้องสิบเอ็ดยังเป็นเด็กไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นักเล่า

น้องสิบเอ็ดเกิดหลังจากที่เขาออกจากเมืองหลวงไปแล้วหลายปี จนกระทั่งเสด็จพ่อสิ้นพระชมน์และเสด็จพี่ขึ้นครองราชย์ ในฐานะท่านอ๋องผู้มีศักดินาพวกเขาจึงเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อแสดงความยินดีและได้พบกันเป็นครั้งแรก

ในตอนนั้นน้องสิบเอ็ดอายุเพียงสามสี่ขวบ ดูไม่ได้ฉลาดเท่าใดนัก

ว่ากันว่า องค์ชายสิบเอ็ดค่อนข้างโง่งมเล็กน้อย…

บางทีอาจจะเป็นเพราะเขายังเด็ก สติปัญญาจึงเชื่องช้า ใครจะคิดเล่าว่าพอโตมาจะเป็นคนเช่นนี้

ผิงหนานอ๋องรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้จนเกือบสะดุดล้ม

“ท่านอ๋องระวังเจ้าค่ะ” พระชายาผิงหนานอ๋องรีบเข้ามาประคองเขา

ผิงหนานอ๋องจึงได้สติ รีบทำตัวให้มั่นคง “ข้าไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”

นอกหอสุรามีแสงไฟมากมายนับไม่ถ้วน

จันทร์ข้างแรมบางดั่งคิ้วงดงาม ลอยเด่นอยู่กลางนภาอย่างเย็นชา

ผิงหนานอ๋องยืนนิ่งเล็กน้อยพลางถอนหายใจ “ไม่แปลกใจเลยที่หอสุราเปิดทำการแค่ตอนเย็นเท่านั้น ในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นช่วงเที่ยง หลังจากทานอิ่มๆ แล้วเดินออกมาคงจะอึดอัดน่าดู แต่ตอนนี้ทันทีที่เดินออกมาก็สามารถสัมผัสกับสายลมยามค่ำคืนได้ รู้สึกเย็นสบายกว่ามาก”

พระชายาผิงหนานอ๋องยิ้มอย่างเห็นด้วย

“ท่านอ๋อง พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

ทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านนอกหอสุราก็เดินตามสามีภรรยาผิงหนานอ๋องไปอย่างเงียบๆ

เดินออกไปไม่กี่จั้ง ผิงหนานอ๋องก็หันมองกลับไป

หอสุรายังคงสว่างไสว ธงสีครามพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่นในสายลม เมื่อมองดูมันอย่างตั้งใจในตอนกลางคืนก็ให้ความรู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า

“ท่านอ๋อง?” พระชายาผิงหนานอ๋องร้องเรียกด้วยความมึนงง

ผิงหนานอ๋องจึงหันหน้ากลับมา เดินไปพลางยิ้มไปพลาง “ขาหมูตุ๋นของหอสุราทานอย่างไรก็ไม่เบื่อ อาหารจานนี้จะมีอีกครั้งเมื่อใดหรือ”

พระชายาผิงหนานอ๋องกล่าวยิ้มๆ “วันนี้เป็นวันสิ้นเดือนแล้ว ครั้งต่อไปจะเป็นวันที่สิบเดือนหน้าเจ้าค่ะ”

เมื่อคิดว่าต้องรออีกสิบวันจึงจะได้กินขาหมูตุ๋นที่ชอบ ผิงหนานอ๋องก็ขมวดคิ้ว “ไม่รู้ว่ากฎที่น่ารังเกียจพวกนี้มาจากไหนกัน วันที่สิบ ยี่สิบ สามสิบ เดือนเดือนหนึ่งได้กินแค่สามครั้งเท่านั้น”

“อันที่จริงแบบนี้ก็กำลังดี ท่านหมอบอกว่าด้วยอายุของพวกเราไม่ควรทานของพวกนี้บ่อยๆ…”

ผิงหนานอ๋องไม่ได้ฟังสิ่งที่พระชายาผิงหนานอ๋องพร่ำบ่นอย่างเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจกับสายลม “โชคดี ยังมีหัวหมูย่างกับเนื้อตุ๋น สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องรอนานมาก มิรู้ว่าบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วไปเอาแม่ครัวมาจากไหน ทำอาหารเก่งจริงๆ ไว้ค่อยถามทีหลังว่า หากมีศิษย์ร่วมสำนักก็เชิญมาที่จวนอ๋องของเรา”

ทางที่ดีหากสามารถพาตัวแม่ครัวของหอสุรามาที่จวนอ๋องได้จะดีที่สุด แต่อย่างไรหอสุราก็เปิดโดยแก้วตาดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว จวนอ๋องไม่จำเป็นต้องทำให้แม่ทัพใหญ่ลั่วต้องขุ่นเคืองเพราะแม่ครัวคนหนึ่ง

“ทราบแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปสอบถามเจ้าค่ะ”

ทั้งคู่ไม่พูดอะไรอีก เดินเรื่อยเปื่อยไปยังจวนผิงหนานอ๋อง

บนต้นไม้ข้างทาง ลั่วเซิงซึ่งสวมชุดดําทั้งร่างแทบจะกลมกลืนไปกับยามค่ำคืนกำลังถือคันธนูรอเป้าหมายมาถึงอย่างเงียบๆ

นางไม่อาจหายไปจากหอสุรานานเกินไปได้ ดังนั้นเพิ่งจะหลบซ่อนกาย เวลาที่กะไว้พอดิบพอดีอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสองสามีภรรยาผิงหนานอ๋องเดินมาทางนี้

นี่เป็นเหตุผลสําคัญที่ว่าทําไม นางถึงเดินไปตามตรอกซอกซอยของซีเฉิง และเป็นเหตุผลสำคัญที่เลือกเปิดหอสุราที่นี่

ระยะห่างระหว่างหอสุรากับจวนผิงหนานอ๋อง ไม่คุ้มที่จะนั่งรถม้ามา อีกทั้งระยะทางยังเหมาะแก่การเดินย่อยอีกต่างหาก

กินดื่มจนอิ่มแล้วมาเดินเล่นตากลมตอนกลางคืนกลับจวน สะดวกสบายกว่าการนั่งรถม้าเป็นอย่างมาก

แล้วยังมีต้นไม้ต้นนี้

แสงที่ส่องมาตรงนี้สลัวมาก เมื่อซ่อนตัวอยู่ในพุ่มใบบนต้นไม้ต้นนี้ก็ยากที่ใครจะสังเกตเห็น และถัดไปด้านหน้าอีกหน่อยก็อยู่ในระยะธนูของนาง นอกจากนี้ยังมีแสงมากพออีกด้วย

เหมาะสำหรับการมองหาเป้าหมายและจัดการปัญหาในดอกเดียว

ลั่วเซิงเงยหน้า มองท้องฟ้าผ่านพุ่มใบไม้ที่หนาทึบ

พระจันทร์ข้างแรมบนท้องฟ้าดูคล้ายกับตะขอ แสงจันทร์ริบหรี่จนแทบจะมองอะไรไม่เห็น

วันที่สิบ ยี่สิบและสามสิบ นางเลือกช่วงปลายเดือนเพราะเป็นวันที่เหมาะแก่การลงมือ

วัน สถานที่ คน มีเพียงปัจจัยเรื่องคนเรื่องเดียวที่ทำให้ลั่วเซิงไม่พอใจ

วันนี้เสนาบดีจ้าวมา ทั้งยังพาลูกน้องมากสามารถอย่างหลินเถิงและหลายชายของนางหลินซูมาด้วย

หลานชายโตแล้ว คงไม่ถึงขั้นตกใจเสียขวัญ แต่หลินเถิงกลับทำให้นางรู้สึกระแวงเล็กน้อย

ในงานวันเกิดพระชายาผิงหนานอ๋อง การแสดงออกของหลินเถิงนั้นประทับลงในความทรงจำนางอย่างลึกซึ้ง

แต่นางไม่อยากเลื่อนเวลาออกไปอีกแล้ว

ไม่ว่าอาหารจะน่ารับประทานแค่ไหน แต่การทานหลายๆ ครั้งก็ลดความสนใจของคนลงได้ หากรอจนผิงหนานอ๋องไม่มาหอสุราอีกแล้ว นางจะควบคุมเวลาได้ยาก

เมื่อลองชั่งน้ำหนักแล้ว ไม่ว่าหลินเถิงจะอยู่ที่นั่นหรือไม่ก็ไม่สำคัญขนาดนั้นแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ ลั่วเซิงมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ‘ราคาอาหารของหอสุราตั้งต่ำไปหน่อยจริงๆ’

ครั้งนั้นไม่ใช่ว่าเสนาบดีจ้าวถูกหลานชายเอาเปรียบไปหรอกหรือ ใครจะรู้ว่าพอขาหมูตุ๋นกับไส้ดอกบ๊วยออกมา ยังจะกล้ามากินอีก

สามีภรรยาผิงหนานอ๋องเดินเข้ามาแล้ว

เดิมทีระยะนี้เหมาะแก่การลงมือแล้ว แต่ยังไม่เหมาะที่สุด ลั่วเซิงจึงยังไม่ลงมือ

หนึ่ง สังหารผิงหนานอ๋อง สอง หลบหนีไปอย่างราบรื่น

นางจะทําทั้งสองอย่าง

แค่ผิงหนานอ๋องไม่จำเป็นต้องส่งตนเองเข้าไปแลก ไม่คุ้มกันเลย

เมื่อสายลมพัดมา ใบไม้ก็ส่งเสียงดังซ่าๆ

โคมสีแดงที่แขวนอยู่ใต้ชายคาร้านค้าบนถนนแกว่งไปมา จนเกิดเป็นเงาสั่นไหว

ผิงหนานอ๋องอยู่ด้านหน้า พระชายาผิงหนานอ๋องอยู่ห่างไปด้านหลังเล็กน้อย ทั้งสองกำลังเดินไปถึงหัวมุมแล้ว

ข้างหน้าสามีภรรยาผิงหนานอ๋องมีข้ารับใช้ถือโคมไฟส่องสว่าง ส่วนด้านหลังมีทหารองครักษ์ตามมาประมาณสี่ห้าคน

ลั่วเซิงซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ มองจากที่สูงลงมา นางไม่กังวลกับคนเหล่านี้พลางเล็งไปที่เป้าหมาย

ธนูในมืออุ่นขึ้นเล็กน้อย สายธนูค่อยๆ น้าวเต็มที่

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…

ลั่วเซิงนับก้าวในใจ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ต้นนี้ และไม่ใช่ครั้งแรกที่นับจังหวะก้าวเดินของอีกฝ่าย

ในขณะที่หอสุราสว่างไสว ในขณะที่นักดื่มรับประทานอาหารจนอิ่มเอมใจ ในขณะที่หงโต้วกังวลว่าจะเหลืออาหารและเครื่องดื่มมากแค่ไหน นางก็แอบออกจากหอสุราไปอย่างเงียบๆ และซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ คอยเฝ้าดูผิงหนานอ๋องเดินจากไป

ยกคันธนูขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า วางลงครั้งแล้วครั้งเล่า ปรับเปลี่ยนทุกรายละเอียด และค้นหาเวลาที่ดีที่สุด

วันนี้ นางต้องการเก็บศัตรูคนหนึ่งที่สังหารสมาชิกในครอบครัวของนางหลายร้อยคน

ลั่วเซิงเม้มปากแน่น ดวงตาหรี่ลง

ปล่อยมือ ลูกธนูพุ่งออกไป

ลูกธนูที่แบกรับความเจ็บปวดและความมุ่งมั่นของนางพุ่งออกไปราวกับดาวตก ทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

ปักเข้าที่ด้านหลังตำแหน่งหัวใจของผิงหนานอ๋อง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท