ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 147 หลบหนี

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 147 หลบหนี

ผิงหนานอ๋องรู้สึกเพียงหนาววูบที่แผ่นหลัง ก่อนจะล้มลงไป

พวกเขากำลังเดินไปยังหัวมุมของร้านค้าแห่งหนึ่ง

โคมสีแดงดวงใหญ่ที่แขวนอยู่นอกร้านแผ่แสงสีส้ม ประกอบกับแสงโคมในมือของข้ารับใช้จวนอ๋องที่เดินอยู่ข้างหน้า ทำให้ทุกคนเห็นฉากที่ผิงหนานอ๋องล้มลงอย่างชัดเจน

พระชายาผิงหนานอ๋องเห็นลูกธนูปักที่หลังของผิงหนานอ๋องและเลือดสดๆ ที่ค่อยๆ แผ่กระจาย

นางกรีดร้องเสียงแหลมสั้นๆ ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนเป็นลมล้มพับไป

ข้ารับใช้จวนอ๋องที่ถือโคมไฟอยู่ก็สะดุ้งตกใจ รีบโยนโคมไฟทิ้งไป ก่อนกระโจนไปตรงหน้าของสองสามีภรรยาผิงหนานอ๋องแล้วตะโกนเสียงดัง

ทหารองครักษ์ที่ติดตามมาตรวจอาการของผิงหนานอ๋อง บางคนชักดาบออกมาแล้วมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

ขณะเดียวกันก็มีเงาดำจากที่ใดไม่ทราบ ทะยานตรงไปยังที่ที่ลั่วเซิงซ่อนตัวอยู่

เรื่องที่องค์รักษ์ลับของผิงหนานอ๋องจะตามมาด้วยนั้นก็อยู่ในการคาดการณ์ของลั่วเซิง

ท้ายที่สุดแล้วเมื่อมาถึงจุดนี้ หากไม่สูญเสียจิตสำนึก ทุกคนจะไม่กลัวตายได้อย่างไร

หลังจากยิงธนูดอกนั้นออกไป นางก็รีบกระโดดลงจากต้นไม้และวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

ด้านหลังร้านค้าแห่งหนึ่งที่หันหน้าไปทางถนนมีต้นไม้ใหญ่ปลูกเอาไว้ พอกระโดดลงมาก็จะเป็นตรอกยาว

ซึ่งนางก็คุ้นเคยกับตรอกนี้เป็นอย่างดี

ตรอกนี้เกิดจากหลังร้านค้ากับหลังบ้านของประชาชนหันหน้าเข้าหากัน ทำให้ตรอกนี้ไม่มีประตู และไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนเปิดประตูออกมาแล้วบังเอิญเห็นฉากนี้เข้า

นางวิ่งไปสุดตรอกในอึดใจเดียว ด้านซ้ายมีต้นไม้แก่อยู่ต้นหนึ่ง

ไม่รู้ว่าต้นไม้แก่นั่นเติบโตมากี่ปีแล้ว แต่ยังคงมีกิ่งไม้ใบไม้เขียวชอุ่มอยู่

ลั่วเซิงวิ่งผ่านด้านข้างของต้นไม้ไปอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นแล้วดันคันธนูเข้าไปในลำต้น เพียงเท่านี้ คันธนูที่เตรียมไว้เพื่อผิงหนานอ๋องโดยเฉพาะก็ไม่มีใครหาพบแล้ว

โพรงต้นไม้นี้ เป็นสิ่งที่นางค้นพบตอนที่มาสำรวจเส้นทางก่อนหน้านี้

จากต้นไม้ที่ลอบสังหาร หลังกระโดดลงมาแล้ววิ่งเข้ามาในตรอกยาวก็สามารถตรงเข้าไปในหอสุราได้เลย นางตรวจสอบรายละเอียดทุกที่ที่ผ่านมาแล้ว

คันธนูนี้จะนำกลับไปที่หอสุราไม่ได้เด็ดขาด

ซ่อนมันไว้ที่นี่ หลังจากนั้นใครจะมาพบเข้าก็ไม่สำคัญแล้ว ธนูธรรมดาๆ แบบนี้ ไม่มีใครสงสัยมาถึงตัวนางได้

แต่ถ้าถูกพบในหอสุราก็ยากจะอธิบายได้แล้ว

ลั่วเซิงไม่รั้งรอ รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

นางอาจจะไม่เก่งเท่าองค์รักษ์ลับที่ไล่ตามนาง แต่ในแง่ของความคุ้นเคยกับพื้นที่ หากจะบอกว่านางเหนือกว่าพวกเขาก็ไม่นับว่ากล่าวเกินจริง

ข้างหน้าคือหอสุราที่สว่างไสว ข่าวที่ผิงหนานอ๋องโดนลอบสังหารทำให้นักดื่มพากันออกจากหอสุราไปยืนมองกันอยู่ที่หน้าหอสุรา

ลั่วเซิงหยุดอยู่ตรงมุมกำแพง

จากตรงนี้ไปยังหอสุรากั้นไว้ด้วยถนนหินสีเขียวเส้นเดียวเท่านั้น ซึ่งไร้ที่กำบัง

ด้านหน้ามีนักดื่มที่วิ่งออกมาดูความคึกคัก ส่วนด้านหลังมีองค์รักษ์ลับคอยไล่ตาม

ลั่วเซิงที่เหมือนจะหยุดนิ่งแต่แท้ที่จริงไม่ได้หยุดนิ่งแต่อย่างใด นางเอื้อมมือไปผลักประตูบางหนึ่ง หลบเข้าไปด้านในแล้วปิดประตู

นั่นเป็นเรือนธรรมดาหลังหนึ่ง แต่ข้างในกลับไม่มีคน

ลั่วเซิงวิ่งตรงไปยังห้องเก็บฟืนราวกับรู้จักอิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่น หญ้าและต้นไม้ทุกต้นเป็นอย่างดี

ห้องฟืนเกลื่อนไปด้วยเศษฟืนมากมาย ยังมีข้าวของที่ไม่ได้ใช้มานาน

ดังนั้นในถังข้าวจึงไม่มีข้าว

ลั่วเซิงเปิดฝาแล้วกระโดดเข้าไป

เจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือนางเอง

ในตอนนั้นนางไม่ได้ซื้อแค่ร้านเครื่องประทินโฉม แต่ยังมีบ้านหลังนี้ด้วย

ข่าวการลอบสังหารผิงหนานอ๋องลือมาถึงหอสุรา ครัวด้านหลังเองกว่าจะได้ข่าวก็ล่าช้าไปเล็กน้อย

ซิ่วเย่ว์เดินเข้าไปในห้องเก็บสุรา นางหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งไหเตรียมจะเดินออกไป แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากมุมห้อง

ซิ่วเย่ว์ยืนนิ่ง ก่อนขมวดคิ้วหาที่มาของเสียง

หรือว่ามีหนูอยู่ในห้องเก็บสุรา

นางก้าวไปในทิศทางนั้น ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่าฝาถังสุราตรงมุมห้องค่อยๆ เคลื่อนออกไปทีละน้อย

ซิ่วเย่ว์ก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว สองตาเบิกกว้าง

เพราะประหม่าเกินไป มุมปากจึงกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

โชคดีที่ความยากลําบากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทําให้นางไม่เหมือนสตรีธรรมดาที่จะวิ่งหนีออกไป หรือส่งเสียงกรีดร้อง

หลังจากตื่นตระหนกตอนแรก ซิ่วเย่ว์ก็ก้าวไปข้างหน้า ยกไหเหล้าขึ้น

นางอยากจะดูซิว่าเป็นปีศาจหรือผีตนใดแน่

ตอนนี้ ซิ่วเย่ว์มั่นใจแล้วว่าไม่ใช่หนูอย่างแน่นอน

ฝาสุราถูกเปิดออกจนสุด

ลั่วเซิงเอ่ยเสียงต่ำเมื่อเห็นซิ่วเย่ว์กำลังจะฟาดไหเหล้าลงมา “อาซิ่ว ข้าเอง!”

ซิ่วเย่ว์ยกไหเหล้าขึ้นสูง เมื่อเห็นว่าเป็นลั่วเซิงที่กระโดดออกมาจากถังสุราก็ตกใจจนหน้าซีด “คุณหนู…”

“ชู่…” ลั่วเซิงยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปาก ห้ามไม่ให้ซิ่วเย่ว์พูดต่อ

หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว นางก็จัดการจัดระเบียบถังสุราให้เรียบร้อยแล้วถอดชุดสีดําออกอย่างรวดเร็ว แม้แต่รองเท้าก็ยังถูกถอดออก นางยัดทั้งหมดใส่อ้อมอกของซิ่วเย่ว์

“นําสิ่งเหล่านี้ไปที่ห้องครัวแล้วเผาเสีย ครั้งหน้าข้าจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกที” ลั่วเซิงจัดผมเผ้ากับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ใส่รองเท้าปักที่ถอดและซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ ก่อนจะหยิบไหสุราในมือของซิ่วเย่ว์เดินออกไป

ข่าวการลอบสังหารผิงหนานอ๋องลือมาถึงที่นี่แล้ว นางไม่อาจหายตัวไปนานๆ ได้

ดังนั้นการเลือกออกมาจากถังสุราต่อหน้าซิ่วเย่ว์ก็เป็นสิ่งที่นางตั้งใจเช่นกัน

ตัวตนของนางก็ถึงเวลาที่จะบอกให้ซิ่วเย่ว์ได้รู้แล้ว

พูดได้แค่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นโดยบังเอิญ บังเอิญที่ซิ่วเย่ว์เข้ามาในห้องเก็บสุราในเวลานี้พอดี

ตอนที่นางแง้มฝาถังแล้วเห็นซิ่วเย่ว์ก็ตัดสินใจออกมาตรงๆ

แน่นอนว่า นอกจากซิ่วเย่ว์แล้วก็ไม่มีใครสามารถเข้ามาในห้องเก็บสุราได้ ตั้งแต่แรกนางก็ได้บอกคนในหอสุราไว้แล้วว่า มีแค่ซิ่วเย่ว์เท่านั้นที่สามารถเข้าห้องเก็บสุราได้

เหตุผลนั้นง่ายมาก ห้องเก็บสุราเป็นสถานที่สำคัญ นอกจากนางแล้วก็มีแค่ซิ่วเย่ว์ที่ร่วมหมักสุราด้วยเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าออก

โดยสุราที่ขายให้กับนักดื่มจะถูกนำออกมาไว้ในครัวล่วงหน้า หากไม่พอ ซิ่วเย่ว์ก็จะเข้าไปในห้องเก็บสุราเพื่อหยิบออกมาเพิ่ม

ลั่วเซิงถือไหเหล้าเดินออกมาจากห้องเก็บสุรา เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ยืนอยู่ในลานมองไปทางห้องโถงใหญ่จึงถามว่า “ดูอะไรอยู่น่ะ”

ชายฉกรรจ์สะดุ้งตกใจ “เถ้าแก่ ข้ามิได้ขี้เกียจนะขอรับ ข้าบดถั่วใกล้จะเสร็จแล้ว!”

“มีแขกสร้างปัญหาหรือ”

“ไม่ใช่ขอรับ แต่ดูเหมือนด้านนอกจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น”

ลั่วเซิงเดินผ่านชายฉกรรจ์เข้าไปในห้องโถง วางไหสุราลงบนโต๊ะแล้วกวาดสายตามองไปรอบห้องโถง

ในห้องโถงว่างเปล่า เหลือเพียงจานชามทิ้งไว้อย่างระเกะระกะ

ไม่สิ ยังเหลือคนที่โต๊ะริมหน้าต่างอยู่คนหนึ่ง

เขาสวมชุดสีดำเข้ม นั่งดื่มอยู่เพียงลำพัง ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวภายนอกเลย

ราวกับว่าเขาสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง จู่ๆ ชายคนนั้นก็ช้อนตาขึ้นมองมา

ช่วงเวลาที่พวกเขาสบตากัน หัวใจของลั่วเซิงพลันกระตุกวูบ

ดวงตาที่สงบนิ่งและลึกล้ำคู่นั้นราวกับมองทะลุทุกสิ่ง

“ด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” ลั่วเซิงเดินเข้ามาถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

ในแง่ของความสงบนั้น นางมั่นใจว่านางไม่ด้อยไปกว่าใคร

เว่ยหานเหลือบมองไปที่ประตูแล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ดูเหมือนจะมีคนร้ายก่อเรื่อง”

ลั่วเซิงเดินเข้ามาใกล้ “ข้าได้ยินเสียงดังเลยออกมาดู เหตุใดท่านอ๋องถึงไม่ออกไปดูเล่า”

เว่ยหานวางจอกเหล้าลงแล้วลุกขึ้นยืน

ระยะห่างของทั้งสองคนดูจะใกล้ชิดกันเล็กน้อย กลิ่นสุราจางๆ พลันโอบล้อมกายลั่วเซิง

แต่ถึงอย่างนั้นลั่วเซิงก็ไม่ถอยเพียงเพราะความใกล้ชิด ซ้ำยังมองเขาอย่างสงสัย

ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมา “ความคึกคักด้านนอกไม่อาจดึงดูดข้าได้เท่าสุราชั้นดีของหอสุรา”

เหตุผลนี้ลั่วเซิงฟังไม่ออกว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ

นางเหลือบมองชายคนนั้นด้วยรอยยิ้มอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกเท้าเดินออกไปด้านนอก

“คุณหนูลั่ว” เสียงของชายหนุ่มจากด้านหลังพลันดังขึ้น

เสียงนั้นทุ้มต่ำและดังกังวาน

ลั่วเซิงหยุดเดินแล้วหันมามองเขา

“มุกเบี้ยวแล้ว” เขายกมือขึ้น จัดช่อมุกระหว่างผมดกหนาของหญิงสาวให้ตรง

ลั่วเซิงมองเขานิ่ง แต่ในใจกลับหนักอึ้ง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท