ตอนที่ 84 ทิศทาง
“แค็ก แค็ก แค็ก ” เฮ่อชิงเซียวส่งเสียงไอออกมาทันที แก้มแดงไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะเผ็ดหรือว่าเพราะไอ
สตรีวัยกลางคนรีบส่งน้ำชาให้
เฮ่อชิงเซียวดื่มลงไปก็สะกดอาการไอไว้ได้ เอ่ยอย่างเสียไม่ได้ “น้ากุ้ย ท่านรีบไปพักผ่อนเถอะ”
“ชายเติบใหญ่ หญิงเต็มวัย ควรออกเรือน ท่านโหวก็ควรคิดได้แล้ว” สตรีวัยกลางคนเอ่ยจริงจัง ชายหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย แต่นางก็รู้สึกว่ายอมปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ “ท่านโหวไม่มีคุณหนูที่พึงใจหรือ”
“ไม่มีจริงๆ หากมีเมื่อใดก็จะบอกน้ากุ้ยเป็นคนแรก”
เฮ่อชิงเซียวพูดจาปลอบใจ กล่อมสตรีวัยกลางคนให้ไปพักผ่อนได้
ในห้องเงียบลง จานชามที่กินแล้วก็มีคนมาเก็บออกไป ที่นี่ยามนี้เงียบจนคล้ายว่าไม่เคยมีเสียงครึกครื้นเมื่อครู่มาก่อน
เฮ่อชิงเซียวเดินไปริมหน้าต่าง ผลักหน้าต่างออกมองออกไป
ค่ำคืนมืดแล้ว ดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องนภา สายลมพัดชายเสื้อเขาปลิวไหว
เฮ่อชิงเซียวมองท้องฟ้าเงียบๆ คิดถึงอาการแตกตื่นตกใจตอนโดนถามถึงนางในดวงใจเมื่อครู่
เขาหลอกน้ากุ้ย
ยามนั้นในห้วงความคิดเขามีภาพร่างอรชรของคุณหนูผู้หนึ่ง
แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองตกหลุมรัก บางทีอาจเพราะระยะนี้ได้พบนางบ่อยครั้ง เป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณกระมัง
นับประสาอันใด…เฮ่อชิงเซียวหันมองค่ำคืนมืดมิดเวิ้งว้างไร้สิ้นสุดและว่างเปล่าในจวนโหว ก็ยิ้มเยาะตนเอง
แม้มีใจปฏิพัทธ์ แล้วอย่างไร ไยต้องดึงคุณหนูที่มีอนาคตดีงามมาอยู่ในวังวนที่ไม่รู้อนาคตด้วย ชีวิตที่ยังไม่รู้ว่าวาสนาหรือเคราะห์ร้าย
เฮ่อชิงเซียวเดินเข้าไปในห้อง หยิบบันทึกการเดินทางที่วางไว้บนหัวเตียงออกมาอ่านเงียบๆ
สองวันต่อมา ในยามเย็นแสงสายัณห์ขอบฟ้าตะวันตกเริ่มลับไป ณ ห้องฝั่งตะวันออกตระกูลโจวพลันได้ยินเสียงตะโกนร้อนใจของเหมียวซู่ซู่ดังขึ้น
“เยวี่ยเอ๋อร์…”
โจวหนิงเยวี่ยที่กำลังต้มยารีบวิ่งเข้ามา “ท่านแม่ ท่านเรียกข้าหรือเจ้าคะ”
เหมียวซู่ซู่หน้าแดงก่ำ ยื่นมือให้บุตรสาว
โจวหนิงเยวี่ยกุมมือมารดาไว้แน่น
“เยวี่ยเอ๋อร์ อย่าได้โต้เถียงกับท่านป้าเจ้า อย่าได้มีเรื่องขัดแย้งกับพี่สาวเจ้า พยายามหาคนที่พึ่งพาได้สักคนแต่งออกไปก่อนพี่ชายทั้งสองจะแต่งภรรยา…อีกอย่าง หากพบเจอเรื่องที่แก้ไขไม่ได้จริงๆ ก็ไปขอให้คุณหนูโค่วช่วย ดูว่านางช่วยได้หรือไม่ แต่อย่าได้เอาแต่รบกวนผู้อื่น…”
เหมียวซู่ซู่กุมมือบุตรสาวไว้แน่น พยายามทุ่มเทแรงกำลังทั้งหมดเอ่ยถามว่า “คำพูดแม่ เจ้าจดจำได้หรือไม่”
โจวหนิงเยวี่ยพยักหน้าทั้งน้ำตา “จดจำไว้แล้ว ข้าจดจำไว้หมดแล้ว”
เหมียวซู่ซู่ยิ้ใบหน้าแดงก่ำ ยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดีๆ…”
มือที่กุมมือบุตรสาวแน่นเริ่มคลายออก ก่อนจะตกลง
“ท่านแม่?” โจวหนิงเยวี่ยตะโกนเรียก ก่อนจะนิ่งอึ้งไป “ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดเจ้าคะ”
สตรีที่มักมองบุตรสาวอย่างรักใคร่ทะนุถนอมไม่ขยับแล้ว ไร้ปฏิกิริยาใดๆ
สาวน้อยส่งเสียงร้องไห้รันทดดัง “ท่านแม่ ท่านฟื้นสิ อย่าทิ้งข้าไป ขอร้องท่านแม่ รีบฟื้นสิ…”
คนเฝ้าประตู แม่ครัวและบ่าวในบ้าน ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็พากันขอลาออกไปหมด เหลือเพียงชุนหยาที่กำลังดูไฟในเตา ได้ยินเสียงร้องไห้ก็เข้ามาในห้อง เห็นสภาพการณ์ในห้องแล้วก็ตกใจตาค้าง เป็นนานกว่าจะนึกได้ว่าต้องไปแจ้งตระกูลจี้
ซินโย่วรู้ข่าวการจากไปของเหมียวซู่ซู่จากปากจี้ไฉ่หลันในอีกสามวันให้หลัง
หลังได้ฟังคำพูดจากปากเหมียวซู่ซู่จนเข้าใจเรื่องราวได้บ้างแล้ว ไม่ว่าเพราะรอบคอบ หรือให้เกียรติ นางไม่ได้ให้ฟางหมัวมัวไปสืบข่าวตระกูลโจวอีก สำหรับการจากไปของเหมียวซู่ซู่ นางก็เตรียมใจไว้แล้ว เพียงแค่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นวันใดเท่านั้น
จี้ไฉ่หลันขอบตาแดง บอกเหตุผลที่มาร้านหนังสือ “ท่านน้าจากไปก็ทำให้น้องเยวี่ยสะเทือนใจมากแล้ว ตอนนี้ท่านน้าสะใภ้ก็มาจากไปอีก น้องเยวี่ยคล้ายสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย ข้าอยากซื้อหนังสือสองเล่มไปให้นาง บางทีอาจทำให้นางดีขึ้นบ้าง”
ซินโย่วเลือกหนังสือเป็นเพื่อนจี้ไฉ่หลันสองเล่มแล้วก็ไปตระกูลโจวด้วยกัน
ความโศกเศร้าจากงานศพของตระกูลโจวไม่ทันจางหาย ตอนนี้ก็มีมาเพิ่มอีกงาน เทียบกับตอนตั้งศพโจวทงแล้ว คนมาไว้อาลัยกันน้อยมาก การจากไปของเหมียวซู่ซู่มีแต่ความเงียบเหงา งานศพแทบจะมีเพียงคนตระกูลจี้
“ท่านแม่ ข้ากับสหายมาเยี่ยมน้องเยวี่ย”
มารดาจี้ไฉ่หลันพยักหน้า น้ำเสียงแหบพร่า “ไปเถอะ”
ซินโย่วมองดูมารดาจี้ไฉ่หลันทีหนึ่ง
เทียบกับสตรีดุดันที่ผลักเหมียวซู่ซู่ในภาพที่เห็น สตรีตรงหน้ายามนี้แลดูอ่อนล้า ท่าทางเศร้าเสียใจจนชินชาไร้ความรู้สึก
ขอเพียงมารดาจี้ไฉ่หลันไม่รู้ความจริง ชีวิตโจวหนิงเยวี่ยก็น่าจะไม่เลว
ซินโย่วคิดเช่นนี้อยู่ก็เห็นโจวหนิงเยวี่ยนั่งเหม่อลอยอยู่ในเรือนตะวันตก
เดิมในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของเหมียวซู่ซู่ โจวหนิงเยวี่ยน่าจะอยู่เฝ้าศพทั้งคืน แต่บิดามารดาเสียไล่เลี่ยกัน โดยเฉพาะหลังจากมารดานางจากไป โจวหนิงเยวี่ยก็เอาแต่เหม่อลอย มารดาจี้ไฉ่หลันเป็นห่วงนางจะเกิดเรื่องอีกคน ส่วนใหญ่จึงให้นางอยู่แต่ในเรือนตะวันตกของนาง
“น้องเยวี่ย เจ้าดูว่าผู้ใดมา”
พอได้ยินเสียงเอ่ย แววตาเหม่อลอยของโจวหนิงเยวี่ยก็หันมองมาที่ซินโย่ว
ซินโย่วเดินเข้าไปกุมมือโจวหนิงเยวี่ย “น้องโจว ระงับความเศร้าด้วย”
‘ระงับความเศร้า’ คำนี้แทบจะกระตุกใจโจวหนิงเยวี่ย นางมือไม้พัลวัน จากนั้นขอบตาที่แห้งเหือดก็มีน้ำตาเอ่อล้นออกมา
นางพุ่งเข้าไปกอดซินโย่วได้ก็ปล่อยโฮ “พี่โค่ว…”
จี้ไฉ่หลันเบิกตาโตอึ้งไปทันที สองสามวันมานี้น้องเยวี่ยคล้ายว่าไร้จิตวิญญาณ ผู้ใดเรียกก็ล้วนไร้ปฏิกิริยาตอบรับ แต่เหตุใดพอเห็นน้องโค่วก็ร้องไห้ออกมา
แม้แต่จี้ไฉ่หลันที่เป็นสาวน้อยก็ยังรู้ว่า คนคนหนึ่งร้องไห้ออกมาได้ย่อมดีกว่าเก็บกดไว้ในใจ
มารดาจี้ไฉ่หลันในลานได้ยินเสียงร้องไห้ก็อดมาดูที่เรือนตะวันตกไม่ได้ ยามนี้เผยสีหน้าตกใจเช่นกัน เสียงร้องไห้ค่อยๆ หยุดลง โจวหนิงเยวี่ยปาดน้ำตาไปมา ซินโย่วส่งผ้าเช็ดหน้าให้เงียบๆ
“พี่หลัน ข้าขอคุยกับพี่โค่วสักครู่ได้หรือไม่”
“อ้อ พวกเจ้าคุยกันเถิด” จี้ไฉ่หลันนิ่งอึ้งไปทันทีก่อนจะหันหลังเดินออกไปจัดเตรียมน้ำชาที่ห้องครัว
“พี่โค่ว วันนั้นท่านแม่ข้าพูดอันใดกับท่าน บอกให้ข้ารู้ได้หรือไม่”
“ท่านน้าบอกข้าว่าวันหน้าให้ดูแลเจ้าให้มาก ส่วนเรื่องอื่นๆ ท่านน้าบอกว่าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ารู้”
คำตอบนี้ไม่เหนือความคาดหมายของโจวหนิงเยวี่ย นางถามเช่นนี้ก็เพียงเพื่อต้องการจัดการกับความคิดสับสนวุ่นวายในใจให้หมดสิ้นไป หากมารดาคิดบอกนาง มีเวลามากมายที่จะบอกได้…
“ข้าทราบแล้ว” โจวหนิงเยวี่ยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา ยิ่งซับก็ยิ่งมาก “พี่โค่ว ข้าไม่มีแม่แล้ว…”
ซินโย่วยกมือลูบแผ่นหลังนาง เอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าเองก็ไม่มี…ดังนั้นพวกเราก็ต้องมีชีวิตต่อไปให้ดี อย่าได้ทำให้ท่านแม่ในปรภพต้องเป็นห่วง”
โจวหนิงเยวี่ยพยักหน้าเต็มแรง
ตอนซินโย่วจะกลับ มองดูแล้วโจวหนิงเยวี่ยที่ดีขึ้นมาก ถึงกับยืนยันว่าจะไปส่งนางที่ประตูใหญ่ แม้ว่าพอส่งซินโย่วกลับไปแล้วจะนั่งเหม่ออีก แต่มารดาจี้ไฉ่หลันก็วางใจลงไม่น้อย แอบกำชับจี้ไฉ่หลันว่าวันหน้าให้เชิญซินโย่วมาเที่ยวอีก
พอออกจากประตูใหญ่ตระกูลโจว ยืนอยู่บนท้องถนนที่เสียงดังครึกครื้น ซินโย่วก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจที่อัดแน่นทิ้ง
หลายเดือนก่อน รถม้าธรรมดาคันหนึ่งแล่นมาเมืองหลวง
ตอนนั้นไม่ว่าโจวหนิงเยวี่ยที่นั่งอยู่ในรถม้าจะเต็มไปด้วยความหวังในชีวิตใหม่มากมายเพียงใด หรือว่านางที่คิดจะท่องเที่ยวไปทั่วผืนแผ่นดิน ล้วนไม่คิดว่าการให้ความช่วยเหลือและการได้รับการช่วยเหลือชั่วคราวนั้นจะทำให้นางสองคนสูญเสียมารดาไปตลอดกาล
ดีที่นางเข้าเมืองหลวงมาแล้ว ไม่ได้สืบผิดทาง
ซินโย่วเลี้ยวเดินไปยังหน้าจวนแห่งหนึ่ง
จวนนั้นแลดูยิ่งใหญ่อลังการอย่างมาก หน้าประตูมีสิงโตหินสองตัวตั้งตระหง่านน่าเกรงขาม
ซินโย่วเงยหน้าจ้องมองป้ายจวนสีดำตัวอักษรสีทองวาววับอร่ามตาสะท้อนแสงตะวัน
ที่นี่คือจวนกู้ชางป๋อ