ตอนที่ 87 อดีต
“คิดอันใดกับข้า?” ซินโย่วพยายามสะกดกลั้นมุมปากที่กำลังจะขำ “พวกเขาบอกว่าอย่างไรหรือ”
“ก็ว่า…” ต้วนอวิ๋นหลางเหลือบมองเฮ่อชิงเซียว “น้องชิง หรือว่าพวกเราไปคุยในห้องกัน”
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวกับเฮ่อชิงเซียว “ใต้เท้าเฮ่อ ตามสบาย”
เฮ่อชิงเซียว “…”
เขามองทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องรับรอง จากนั้นก็เดินไปยังด้านในสุดของชั้นหนังสือหยิบบันทึกการเดินทางออกมาอ่านเงียบๆ
ในห้องรับรอง ซินโย่วรินน้ำชาให้ต้วนอวิ๋นหลางด้วยท่าทีไม่รีบร้อน “พี่รองค่อยๆ พูด”
ต้วนอวิ๋นหลางดื่มไปสองสามคำ ก็เล่าเรื่องที่ได้เจอชิ่งอ๋องอย่างไม่แต่งเติมเสริมความ
“น้องชิง ข้าเป็นห่วงว่าชิ่งอ๋องจะคิดไม่งาม”
ซินโย่วยกแก้วน้ำชาขึ้น ท่าทางสบายๆ “พี่รองอย่าได้คิดมากไป ข้าฟังดูแล้วพวกเขาก็แค่อยากรู้เท่านั้น อย่างไรเจ้าจองร้านหนังสือใหญ่เพียงนี้เป็นหญิงสาวอายุน้อยแค่นี้ คงไม่ค่อยมีมากนัก”
“หากเป็นเพียงแค่อยากรู้ก็แล้วไป เกรงว่าพวกเขาจะคิดอันใดมากไปกว่านั้น นานวันเข้าก็พูดยาก”
เดิมต้วนอวิ๋นหลางไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ แต่อ่านนิยายมามากย่อมรู้ว่าไม้แข็งอย่างไรก็ยังเกิดรูตามดได้
เขาดูท่าทางเมื่อครู่ที่ไต้เจ๋อถามถึงน้องชิงแล้ว เหมือนพวกอันธพาลที่คิดพรากคู่นกยวนยาง[1]ในนิยาย
ส่วนเรื่องคู่นกยวนยางของน้องชิงนั้น…
ต้วนอวิ๋นหลางคิดถึงผู้ใดไม่ออก ดังนั้นจึงคิดถึงตนเอง
ถุยๆ เขากับนางเป็นพี่น้องกันนะ!
เขาคิดถึงเฮ่อชิงเซียว
ถุย ถุย ถุย กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเป็นพวกเดียวกับพวกไต้เจ๋อ!
ไม่คิดแล้ว อย่างไรเสียวันหน้าน้องชิงต้องมีคู่ครองที่ดี ไม่อาจปล่อยให้คนพวกนี้มาเกาะแกะได้
“พี่รองวางใจ อย่างไรข้าก็เป็นคนในตระกูลขุนนาง คงไม่เกิดเรื่องประเภทบังคับฝืนใจหญิงชาวบ้านเป็นแน่”
สำหรับนางแล้ว ชิ่งอ๋องกับบุตรชายกู้ชางป๋อมาหาถึงที่ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกยุ่งยาก แต่กลับเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ายินดียิ่ง
กำลังกลุ้มใจว่าจะหาข้ออ้างใดสืบข่าวพวกเขาจากใต้เท้าเฮ่อพอดี ยิ่งกลุ้มใจว่าจะเข้าใกล้พวกเขาได้อย่างไร วันหน้าหากทั้งสองคนมาบ่อยๆ ก็คงดีมาก
“น้องชิง เจ้าไม่เป็นกังวลเลยหรือ” ต้วนอวิ๋นหลางมองสีหน้านิ่งเฉยของซินโย่วออกว่าไม่ใช่เสแสร้ง
“ไม่เป็นไรหรอก ขอเพียงพี่รองกลับบ้านไปอย่าได้พูดจาเหลวไหลก็พอ”
ต้วนอวิ๋นหลางพลันคิดไม่ออกว่าเขาจะเอ่ยถึงเรื่องใด
ซินโย่วเอ่ยเปิดเผยอย่างไม่เกรงใจทันที “หากท่านลุงเข้าใจผิดเพราะคำพูดพี่รอง เกิดยินดีอยากจะเชื่อมสัมพันธ์กับราชนิกุลหรือกู้ชางป๋อขึ้นมาเล่า”
“น้องชิงวางใจ ข้ารับรองว่าจะไม่พูดไป” ต้วนอวิ๋นหลางรีบตอบ
“ออกมานอกสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนนานนักไม่ได้ พี่รองรีบกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
ต้วนอวิ๋นหลางเดินไปถึงหน้าประตูก็รู้สึกตัวขึ้นมา เหมือนน้องชิงไม่ค่อยชอบท่านลุง เขาอ้าปากคิดเอ่ยกล่อม แต่สุดท้ายก็ได้แต่แล้วไป
เรื่องที่ครอบครัวท่านลุงก่อขึ้นพวกนั้น ไม่อาจโทษน้องชิงที่จะระวังตัว
พอส่งต้วนอวิ๋นหลางออกจากร้านหนังสือแล้ว ซินโย่วก็ย้อนกลับมาใหม่
“ใต้เท้าเฮ่อไปแล้วหรือ”
พอเห็นผู้ดูแลร้านหูส่งสายตาไปยังชั้นหนังสือ ซินโย่วก็เข้าใจ
ไม่ทันที่นางจะเดินเข้าไปในชั้นหนังสือ เฮ่อชิงเซียวก็เดินออกมาก่อน
“ใต้เท้าเฮ่อ มีเวลาคุยสักหน่อยไหมเจ้าคะ”
เฮ่อชิงเซียวยังไม่ได้กลับไปเพราะมีเรื่องจะพูดกับซินโย่ว ย่อมไม่ปฏิเสธ
ซินโย่วเชิญเขาไปที่ห้องรับรอง บนโต๊ะยังวางแก้วน้ำชาที่ดื่มแล้วไว้อยู่
“หลิวโจว มาเก็บไปหน่อย”
หลิวโจวรีบเข้ามาเก็บโต๊ะ และยกน้ำชาใหม่เข้ามา
ซินโย่วประคองแก้วน้ำชา หลุบตาลงเล็กน้อย “เมื่อครู่ได้ยินพี่รองพูด ข้ารู้สึกกังวลอยู่บ้าง ใต้เท้าเฮ่อสะดวกเล่าถึงลูกค้าสองท่านที่มาเยือนวันนี้หรือไม่”
เฮ่อชิงเซียวนิ่งเงียบลง กล่าวตามตรง เขาไม่เพียงมองไม่เห็นความกังวลของคุณหนูโค่ว ถึงกับยังมองออกว่านางอารมณ์ดีไม่เลว…
แม้คิดเช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงถามขึ้น “คุณหนูโค่วต้องการรู้เรื่องใด”
“ได้ยินพี่ชายข้าว่า คุณชายชุดสีน้ำเงินแซ่ไต้ เป็นบุตรชายกู้ชางป๋อ ไม่ทราบว่าเขามีนิสัยอย่างไร เคยใช้บารมีรังแกผู้อื่นหรือไม่”
“เขาชื่อไต้เจ๋อ เป็นบุตรชายคนเล็กกู้ชางป๋อ กู้ชางป๋อเดิมมีบุตรชายสองคน หลายปีก่อนบุตรชายคนโตเกิดเหตุเสียชีวิตไป จวนกู้ชางป๋อจึงตามใจไต้เจ๋อที่เหลือเพียงคนเดียวนี้อย่างมาก มีนิสัยทุกอย่างตามแบบฉบับคุณชายเสเพล เคยกระทำเรื่องเกี้ยวพาราสีหญิงสาวชาวบ้าน…”
ซินโย่วตั้งใจฟัง ในใจรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าคิดมากไปหรือไม่ เหตุใดรู้สึกว่าใต้เท้าเฮ่อเล่าได้ละเอียดมาก
อืม อาจเพราะเป็นวิสัยเฉพาะของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินกระมัง
“ไต้เจ๋อก็ประมาณนี้ คุณหนูโค่วมีอันใดอยากถามอีกหรือไม่”
ซินโย่วอยากถามถึงกู้ชางป๋ออีก อย่างไรเฮ่อชิงเซียวเล่าข่าวเหล่านี้เหมือนไม่ได้ตั้งใจนัก หากนางไปสืบด้วยตนเอง เกรงว่าคงต้องเสียเวลาอีกมาก
แต่สติรั้งนางไว้
นางถามถึงไต้เจ๋อ ยังอ้างได้ว่าวันนี้อีกฝ่ายมาร้านหนังสือบีบบังคับซื้อนิยาย กังวลว่าวันหน้าจะยุ่งยาก หากยังเอาแต่ถามเรื่องกู้ชางป๋อไม่เลิก ก็คงทำให้เฮ่อชิงเซียวเกิดความสงสัย
“แล้วชิ่งอ๋องเล่า เขาเป็นคนอย่างไร”
เฮ่อชิงเซียวมองซินโย่ว แววตาอ่อนโยน วาจาที่เอ่ยกลับมีน้ำเสียงเตือนให้ระวัง “คุณหนูโค่วพยายามอยู่ห่างจากชิ่งอ๋องไว้ หากหลีกเลี่ยงไม่พ้นจริงๆ ก็อย่าได้เข้าปะทะ”
ซินโย่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สบสายตาอ่อนโยนแล้วก็เอ่ยว่า “ชิ่งอ๋องน่ากลัวเพียงนี้หรือ”
บางทีเพราะเป็นห่วงว่าซินโย่วจะไม่เก็บไปใส่ใจ เฮ่อชิงเซียวจึงเอ่ยเรื่องชิ่งอ๋องละเอียดยิ่งกว่า “ฝ่าบาทมีองค์ชายหกพระองค์ องค์ชายใหญ่ซิ่วอ๋องปีนี้สิบแปดชันษา องค์ชายรองชิ่งอ๋องปีนี้สิบเจ็ดชันษา จากนั้นก็มีองค์ชายตามมาอีกหลายพระองค์ พระชันษามากสุดก็คือองค์ชายสาม แต่ก็เพียงแค่สิบกว่าชันษา ฝ่าบาทให้ความสำคัญชิ่งอ๋องมากที่สุด”
“แล้วซิ่วอ๋องล่ะ ซิ่วอ๋องเป็นองค์ชายใหญ่ หรือว่าไม่ควรให้ความสำคัญมากกว่า”
คำตอบของเฮ่อชิงเซียวเหนือความคาดหมายของซินโย่ว “เรื่องจริงมิใช่เช่นนี้ ฝ่าบาทค่อนข้างเย็นชาต่อซิ่วอ๋อง”
ซินโย่วเผยสีหน้าสงสัย เฮ่อชิงเซียวพลันหัวเราะเอ่ยว่า “ข้าเล่าเรื่องพวกนี้เหมือนล่วงเกินเบื้องสูง”
“ข้าจะไม่บอกต่อบุคคลที่สาม ใต้เท้าเฮ่อโปรดวางใจ” ซินโย่วรีบเติมน้ำชา
เฮ่อชิงเซียวหลุบตาลง หลบสายตาสาวน้อยที่มองจ้องตาปริบๆ แก้วน้ำชาตรงหน้าเติมน้ำลงไปจึงกำลังกระเพื่อม
“ความจริงก็มิใช่ความลับ เพียงแต่ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งไม่มีผู้ใดเอ่ยถึง”
อายุเช่นเขารู้เรื่องพวกนี้ได้ก็เพราะน้ากุ้ย
“คุณหนูโค่วควรรู้ว่าราชวงศ์เรานี้ได้ยกระดับสถานะสตรีสูงขึ้นกว่าราชวงศ์ก่อน ล้วนเป็นเพราะฮองเฮากระมัง”
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย หลุบตาลงเช่นกัน
นางไม่กล้าให้เขาเห็นอารมณ์ในแววตา
“ฮองเฮาเป็นสตรีน่าอัศจรรย์ ตอนนางกับฝ่าบาทยังไม่รุ่งเรืองก็ได้ตกแต่งเป็นสามีภรรยากัน ประคับประคองฝ่าบาทจนครอบครองแผ่นดิน แต่ในหลายปีนั้นฮองเฮาก็ไม่เคยให้กำเนิดบุตร พอก่อตั้งราชวงศ์ต้าซย่าก็มีหลายคนเริ่มเป็นห่วงว่าฝ่าบาทจะไร้ทายาท จึงเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทรับวังหลังเพิ่ม”
“จากนั้นฝ่าบาทก็เปิดรับวังหลัง สาวงามสามพัน?”
เฮ่อชิงเซียวฟังน้ำเสียงเย็นเยียบของหญิงสาวออกว่าไม่พอใจอยู่มาก ก็อดนึกถึงตอนน้ากุ้ยเล่าให้เขาฟังไม่ได้ ก็มีน้ำเสียงเช่นนี้
เขาอดยิ้มมุมปากไม่ได้
ซินโย่วจ้องมองแปลกใจ
พูดถึงสาวงามสามพันก็อดยิ้มไม่ได้ คนผู้นี้ลืมไปหรือไม่ว่าตัวเขาเองมิใช่ฮ่องเต้
พอรู้สึกได้ว่าสีหน้าซินโย่วผิดปกติ เฮ่อชิงเซียวก็หุบยิ้ม เอ่ยเล่าต่อว่า “ฝ่าบาททรงปฏิเสธ วังหลังมีเพียงฮองเฮาผู้เดียว แต่พอนานวันเข้า คนยื่นฎีกาก็ยิ่งมากขึ้น ไทเฮาเองก็มีรับสั่ง ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ปีที่สอง สุดท้ายก็ทานกระแสกดดันไร้ทายาทไม่ไหว รับหญิงสาวหลายคนมาไว้ที่อี๋หยวน…”
ซินโย่วฟังแล้วก็แค่นเสียงเยาะ
[1]เป็นสัญลักษณ์ของสามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกันจนแก่เฒ่า