ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 84 คำเดียวทะลวงระดับ

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 84 คำเดียวทะลวงระดับ

บทที่ 84 คำเดียวทะลวงระดับ

ในขณะที่หลิงเยว่เข้าไปในหอกลั่นโอสถหมายเลขสามพร้อมกับขาหมูดำดินย่างในมือ

ผู้คนในหอกลั่นโอสถหมายเลขห้ารวมตัวล้อมกันเป็นวงล้อมขนาดใหญ่ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่โม่จวินเจ๋อ แม้แต่หลงหว่านโหรวก็ยังไม่ขยับใด ๆ ใครใช้ให้ชายคนนี้มีฐานะอาวุโสสุดกันเล่า?

แม้ว่าโม่จวินเจ๋อจะอยากกินมากเพียงใด แต่เขาก็ตัดสินใจรอหลิงเยว่เสียก่อน

พวกเขาไม่ได้รอนาน ในไม่ช้าหลิงเยว่ก็ปรากฏตัวที่ประตู พร้อมขาหมูอันใหญ่ในอ้อมแขนที่ถูกกัดไปคำใหญ่ นางดูโศกเศร้ามาก และข้างหลังนั้นก็มีผู้ป่วยคนหนึ่งกำลังพยายามเดินอย่างยากลำบากตามมา

“ศิษย์น้องห้า เอาขาหมูมาให้ข้า!” ผู่ตานเอื้อมมือพยายามคว้ามัน แต่น่าเสียดายที่หลิงเยว่ก้าวหนีเพียงก้าวเดียวกชายคนนั้นก็ล้มลงไปกับพื้นแล้ว

ติงหลิวหลิ่วปิดปากของตนเอง แล้วหัวเราะเสียงเหมือนห่าน

ว่านอวี้เฟิงจับกำแพงแล้วพยายามเดินทีละก้าว ด้วยไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ตนเองถูกขาหมูล่อลวงได้เช่นนี้ กระทั่งเขาเจ็บปางตาย ก็ยังพยายามตะเกียกตะกายมาให้ได้

โม่จวินเจ๋อคว้าผู่ตานซึ่งนอนอยู่บนพื้นมาเป็นเวลานานด้วยมือเดียว แล้ววางอีกฝ่ายบนเก้าอี้

ว่านอวี้เฟิงและติงหลิวหลิ่ว ถูกฉีซิวซีและสือเชี่ยนจับขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตามลำดับ ส่วนลู่เป่ยเหยียนและอวี้เจินซึ่งยังคงหมดสติก็ถูกคนดูแลของพวกเขาจับนั่งบนเก้าอี้เช่นกัน

เดิมทีหลิงเยว่คิดว่าคนอื่น ๆ คงลงมือกินกันอย่างบ้าคลั่งไปแล้ว ทว่าสุดท้ายสภาพอาหารก็ยังเป็นเช่นเดิมแบบเดียวกับก่อนที่นางจะออกไป พวกเขาสามารถอดทนได้จริง ๆ

อันที่จริงคนอื่น ๆ แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่เมื่อโม่จวินเจ๋อไม่ลงมือกิน คนอื่น ๆ จึงทำได้เพียงกลั้นน้ำตาไว้

ตอนนี้เมื่อทุกคนมาถึงแล้ว หลิงเยว่ก็ยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นเรามากินกันเลยเถอะ”

อันที่จริงเมื่อครู่นี้ นางแอบฉีกหนังหมูย่างชิ้นหนึ่งลองกินดูแล้ว เนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบและกลิ่นหอมของมันสามารถทำให้ผู้คนคลั่งไคล้ได้จริง ๆ

ทุกคนเริ่มลงมือกินทันที

ไม่สิ มีคนหมดสติสองคนที่ยังไม่กิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงวิกฤตหรือไม่ ทำให้คนหมดสติสองคนลืมตาขึ้นพร้อม ๆ กัน ดวงตาที่สับสนของพวกเขาเห็นหมูย่างหายไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา จึงไม่เสียเวลาใคร่ครวญแม้แต่น้อย ก่อนจะเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมาเคี้ยวชิ้นหนึ่ง

ทันทีที่กัดคำแรก อวี้เจินก็ร้องไห้

นางไม่รู้ว่าจะอธิบายรสชาติในปากอย่างไร พันความรู้สึกกลายเป็นเพียงคำสองคำ

คุ้มค่า!

มันคุ้มค่าแล้วที่นางลากสังขารมาถึงที่นี่

“ถ้าคิดว่ามันไม่อร่อย ก็สามารถจิ้มในน้ำจิ้มได้นะเจ้าคะ” หลิงเยว่พูดพร้อมกับหยิบเนื้อมาชิ้นหนึ่ง แล้วจุ่มลงในน้ำจิ้ม ก่อนจะเอาใบของผักวิญญาณมาห่อเนื้ออีกชั้น ก่อนจะยัดเข้าไปในปากของนางทั้งชิ้นจนแก้มตุ่ย

ด้วยรสชาติจากผักวิญญาณกรอบหวาน หนังหมูกรอบหอมมัน และน้ำที่ออกมาจากเนื้อนุ่มนั้นกลมกล่อมหอม จนทำให้รสชาติพรั่งพรูความสุขล้นหลาม และที่สำคัญคือไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น กระทั่งชิ้นเนื้อยังเต็มไปด้วยปราณอีกต่างหาก

“ศิษย์น้องห้า… เจ้าผสมโอสถเข้าไปสามชนิดใช่หรือไม่?” ในขณะที่ติงหลิวหลิ่วกำลังเพลิดเพลินกับหมูย่างแสนอร่อย นางก็รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บภายในของตนเองฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปราณพฤกษามีบทบาทอย่างมากในการรักษาตัว และสุดท้ายระดับการบำเพ็ญของติงหลิวหลิ่วก็พัฒนา… มีการคลายตัวเกิดขึ้น และร่างกายที่ปวดร้าวก็ดูเหมือนจะไม่เจ็บมากนักอีกต่อไป

“ไม่น่าจะใช่ สี่ชนิดต่างหาก”

“ไม่ ห้าชนิดต่างหาก!”

ทันทีที่ผู่ตานพูดจบ ว่านอวี้เฟิงก็โต้แย้งขึ้นมา

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ หมูย่างนี้ข้าใช้เพียงสูตรโอสถกลั่นลมปราณและสูตรโอสถฟื้นฟูเท่านั้น นอกจากนั้นก็เพิ่มสมุนไพรวิญญาณที่ข้าคิดว่าน่าจะอร่อยลงไปอีกเจ้าค่ะ” หลิงเยว่พูดอย่างระมัดระวัง

นางไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่า สมุนไพรวิญญาณที่เพิ่มไปได้ถูกนางเปลี่ยนคุณสมบัติมันเสียแล้ว แต่สำหรับคนที่เคยกินซาลาเปาย่างก้าววายุนั้นย่อมเข้าใจ

ลู่เป่ยเหยียนและอวี้เจินมองหน้ากันก่อนจะหลบสายตาออกไป ผู้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บไม่อาจตระหนักได้ แต่ผู้บาดเจ็บสาหัสทั้งสองต่างเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หมูย่างนี้ไม่มีทางที่จะผสมด้วยสูตรโอสถเพียงสองชนิด

“อา ห่อด้วยผักเช่นนี้ก็อร่อยนัก!” อวี้เจินเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อ

“ข้า… ดูเหมือนข้ากำลังจะบรรลุไปอีกระดับแล้ว!” ซือจูที่เพิ่งกินไปสองชิ้นก็พลันมีเหงื่อออกมามาก และดวงตาของนางก็เปล่งประกายเป็นพิเศษ

ฉีซิวซีที่กำลังจะพูดต่อจู่ ๆ ก็หยุดกะทันหัน “ไม่นะ ข้ากำลังจะบรรลุสู่ขอบเขตสร้างรากฐานแล้ว!”

ระดับการบำเพ็ญของเขาอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบนานแล้ว เหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุระดับและตอนนี้โอกาสก็มาถึงแล้ว

ฉีซิวซีจ้องมองเนื้อที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งในมือ เขาไม่คาดคิดเลยว่าหมูดำดินย่างนี้จะสร้างโอกาสบรรลุระดับให้ได้ ด้วยไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเช่นนี้

“ครืน…”

เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเหนือยอดเขาโอสถ

โม่จวินเจ๋อคว้าฉีซิวซีและหลิงเยว่พาขึ้นไปเหยียบบนกระบี่เหมันต์เร้นลับ ก่อนจะกลายเป็นลำแสงหายไปในท้องฟ้า เมฆสีดำเหนือยอดเขาโอสถติดตามพวกเขาไปในทันที

โม่จวินเจ๋อโยนฉีซิวซีไปที่ภูเขาด้านหลังแล้วหนีออกมา ปล่อยให้ฉีซิวซีฝ่าทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเพียงลำพัง

“โชคร้ายจริง ๆ”

ฉีซิวซีกินเนื้ออย่างใจเย็น ขณะเหลือบมองดูทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังก่อตัวจากหางตาของเขา

“มาเร็ว ๆ เข้าเถิด! ไม่อย่างนั้นหากข้าไปช้ากว่านี้ หมูย่างจะถูกคนอื่นกินจนหมดเสียก่อน!”

ประโยคเมื่อครู่นี้ดูเหมือนจะทำให้ทัณฑ์สวรรค์โกรธอยู่ไม่น้อย ทันใดนั้นสายฟ้าสีทองก็ฟาดเข้าใส่คนพูดทันที

ฉีซิวซีถูกสายฟ้าสีทองฟาดจนทั้งร่างดำเป็นถ่าน ตัวเขาล้มตึงลงไปข้างหลัง พร้อมกันนั้นหมูย่างในมือก็กลายเป็นขี้เถ้า ก่อนจะสลายไปตามสายลม

“เอ่อ…”

เมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ หลิงเยว่ก็ไม่สามารถจับซี่โครงย่างในมือได้อีกต่อไป ชิ้นเนื้อจึงตกลงไปที่กระบี่เหมันต์เร้นลับ และกระบี่นั้นก็สะบัดออกไปด้วยความรังเกียจ

ถ้าหลิงเยว่รู้ก่อนว่าจะต้องมาเห็นฉากที่โหดร้ายเช่นนี้ คงจะไม่ยอมให้โม่จวินเจ๋อพานางมาดูแน่ ตอนนี้เด็กสาวอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด แม้ว่าจะยังห่างไกลจากขอบเขตสร้างรากฐาน แต่เมื่อรู้ว่าจะต้องมีสักวันหนึ่งที่นางต้องโดนเช่นนี้บ้าง หลิงเยว่ก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ไม่รู้เลยว่าจะเจ็บปวดเพียงใด

ไม่สิ ฉีซิวซีตายแล้วใช่หรือไม่?

“ปล่อยข้าลงเร็ว ๆ เถิด ศิษย์พี่ฉีเป็นอะไรมากหรือไม่ก็ไม่รู้ ให้ข้าลงไปช่วยเขาเถิดเจ้าค่ะ!”

โม่จวินเจ๋อไม่ขยับ “เขายังไม่ตาย อีกสักพักก็จะหายดี”

นี่เป็นเพียงทัณฑ์สวรรค์ของขอบเขตสร้างรากฐาน ไม่ทำให้ใครถึงตาย

ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ ฉีซิวซีซึ่งนอนอยู่บนพื้นก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่ง พลันทำท่าสงบและลูบผมที่หงิกงอของตนเอง

ในขณะนี้ร่างกายของฉีซิวซีเต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าส่งเสียงฉ่า หลิงเยว่ทำหน้าตาเหยเกอย่างเจ็บปวดแทน โอ้ สวรรค์ เขาไม่แม้แต่จะกรีดร้องและยังทำท่าทางสงบนิ่งเช่นนี้อีก ไม่ใช่คนปกติแล้ว!

“ศิษย์น้องหลิง เจ้าจะอยู่ดูอีกนานหรือไม่? ข้าอยากแต่งตัว”

ฉีซิวซีพูดอย่างทำอะไรไม่ถูก ขณะที่เสื้อคลุมของเขาขาดออกเป็นชิ้น ๆ

“น่าเกลียดจริง ๆ”

โม่จวินเจ๋อพูดประโยคสั้น ๆ และพาหลิงเยว่ออกไป

หลิงเยว่ “…”

นางไม่เห็นอะไรเลย ทั้งตัวของฉีซิวซีดำเป็นตอตะโก นางจะเห็นอะไรได้อย่างไร?

“ข้าขอถามอีกครั้ง ในอนาคตเมื่อต้องฝ่าทัณฑ์สวรรค์ เสื้อผ้าของข้าจะขาดหมดเลยหรือเจ้าคะ?”

การเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าคนเยอะ ๆ มันน่าอายที่สุดเลย

“ยอดเขาบ่มเพาะกายายากจน ชุดที่พวกเขาแจกให้เหล่าศิษย์ล้วนเป็นผ้าธรรมดา ๆ แต่สิ่งที่เจ้าสวมอยู่คือเสื้อคลุมวิญญาณ”

เสื้อคลุมวิญญาณจะปกป้องศักดิ์ศรีไว้ให้ผู้สวมใส่

หลิงเยว่รู้สึกโล่งใจทันที โชคดีที่นางไม่เปลี่ยนใจไปอยู่ยอดเขาบ่มเพาะกายา

เมื่อทั้งสองกลับไปที่หอกลั่นโอสถ กลุ่มคนในห้องกลับไม่สนใจฉีซิวซีที่กำลังฝ่าทัณฑ์สวรรค์เลย ในฐานะศิษย์พี่หญิง สือเชี่ยนไม่ได้ถามชะตากรรมศิษย์น้องของนางเสียด้วยซ้ำ ด้วยสิ่งเดียวที่นางคิดตอนนี้ก็คือการกินหมูย่าง!

“ศิษย์พี่หญิงเชี่ยนเจ้าคะ ท่านจะไม่ถามหน่อยหรือว่าเกิดอะไรขึ้น”

“จะเกิดอะไรขึ้นได้อีก? มันเป็นเพียงทัณฑ์สวรรค์ของขอบเขตสร้างรากฐาน หากเขาตายเพราะของแค่นี้ ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นศิษย์ของยอดเขาบ่มเพาะกายาแล้ว”

ผู้ฝึกกายาหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย

อยู่กินหมูย่างที่นี่ย่อมดีกว่าไปดูฉีซิวซีเอาชีวิตรอดจากทัณฑ์สวรรค์เป็นไหน ๆ

“ศิษย์น้องห้าไม่ต้องกังวล ในฐานะศิษย์พี่ พวกเราจะปกป้องเจ้าอย่างแน่นอนเมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องฝ่าทัณฑ์สวรรค์ พวกเราจะไม่ใจดำเหมือนคนพวกนี้หรอก” ติงหลิวหลิ่วตบแขนของหลิงเยว่ด้วยมือที่มันเยิ้มเพื่อปลอบโยน

พูดให้ดีก็คือจะคอยยืนเป็นผู้พิทักษ์เต๋า แต่พูดในแง่ร้ายก็คือจะแค่ยืนดูอยู่ตรงนั้น เพื่อดูนางถูกฟ้าผ่าจนดำเป็นถ่านใช่หรือไม่?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท