บทที่ 87 นางคงจะมีพรสวรรค์อย่างมากใช่หรือไม่?
บทที่ 87 นางคงจะมีพรสวรรค์อย่างมากใช่หรือไม่?
หลิงเยว่ซึ่งเป็นโจรมาระยะหนึ่งพลันมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่แปลกใจเลยที่ศิษย์พี่สี่และพวกผู้ฝึกกายาจะชอบการปล้นชิง เพราะมันรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้เห็นคนถูกปล้นแสดงอาการของความเจ็บปวด!
โม่จวินเจ๋อปล่อยมือจากสมุนไพรวิญญาณที่กำลังล้างอยู่ เมื่อหลิงเยว่นำขนมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเดินเข้ามา
ดูน่าอร่อยนัก
“ศิษย์พี่หญิงอวี้ มากินขนมอบกันเถอะเจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่ตัดมันออกเป็นหลาย ๆ ชิ้นด้วยมีด โดยอีกสองชิ้นมีขนาดใหญ่กว่าชิ้นอื่น ๆ แน่นอนว่าทั้งสองชิ้นนี้มอบให้กับอวี้เจินและโม่จวินเจ๋อ เพื่อตอบแทนพวกเขาที่ทำงานหนักมาตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา
ดวงตาของอวี้เจินแดงก่ำหลังจากกินเชียนเฉิงเกา*[1] มีเพียงศิษย์น้องหลิงเท่านั้นที่ดีกับนางที่สุดในโลก ส่วนคนอื่น ๆ ทั้งอาจารย์ ศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงทุกคนสมควรหายไปเสีย!
โม่จวินเจ๋อหยิบช้อนขึ้นมา ก่อนจะตักชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำเข้าปาก ทันใดนั้นในปากก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม แผ่ซ่านไปถึงหัวใจที่เย็นชาของเขา
“อร่อย!”
อวี้เจินเลียครีมสีชมพูอ่อนจากริมฝีปาก สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินและความสุขยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มรสขนมชนิดนี้ ชั้นแป้งที่ฟูนุ่มนั้นมีลักษณะคล้ายขนมอบดอกหอมหมื่นลี้ แต่เมื่อนางลองชิมอย่างระมัดระวังแล้ว มันกลับมีความต่างออกไป ด้วยรสชาติที่ละเอียดอ่อน นุ่มนวล หวานยิ่งขึ้น และ…
พูดโดยสรุปก็คือ ในประโยคเดียวไม่สามารถบรรยายรสชาติอันเข้มข้นทั้งหมดของมันได้
“หลิวหลิ่วเป็นคนทำหรือ?”
“เจ้าค่ะ”
หลิงเยว่เกือบลืมตัวไปแล้วว่าตัวเองได้กลับไปอยู่ในประเทศจีนอีกครั้งด้วยขนมอบนี้ เดิมทีเนื่องจากนางไม่มีเตาอบสำหรับอบขนม จึงลืมการทำพวกขนมเช่นนี้มาโดยตลอด แต่วิธีการนำความร้อนของเตาอบเอง ที่โลกนี้ก็สามารถดัดแปลงทำได้เช่นกันใช่หรือไม่?
การควบคุมอุณหภูมิเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับนักกลั่นโอสถทุกคน นั่นหมายถึงพวกเขาคือเตาอบเคลื่อนที่ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ตลอดเวลา!
ดังนั้นการอบแป้ง ขนมปัง และเนื้อสัตว์จึงเป็นเรื่องง่ายและไม่ใช่ปัญหา
แน่นอนว่ามีเตาอบขายในระบบแลกเปลี่ยน แต่เงื่อนไขการเปิดใช้งานคือต้องใช้หินวิญญาณ รูปแบบของมันคล้ายกับเตาหลอมโอสถ ทำให้นางสามารถซื้อและใช้งานได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเปิดเผยความลับเรื่องระบบแลกเปลี่ยนของตัวเอง แต่หลิงเยว่ไม่ต้องการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเช่นนั้น ด้วยมีเตาอบดินให้ใช้โดยไม่ต้องใช้หินวิญญาณแลกเปลี่ยนมากมายทั่วยอดเขาโอสถหลักอยู่แล้ว
“ข้ายังอยากกิน…”
โม่จวินเจ๋อลืมตาโตที่เปียกชื้น และจ้องมองไปยังขนมชิ้นเล็ก ๆ สองชิ้นที่เหลืออยู่บนโต๊ะ
นี่คือการล่อลวงใช่หรือไม่?
หลิงเยว่ส่ายหน้า และรีบแบ่งส่วนที่เหลืออีกสองชิ้นระหว่างนักชิมทั้งสอง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในขณะที่นักกลั่นโอสถบนยอดเขาหลักกำลังยุ่งอยู่ และในชั่วพริบตาวันแห่งงานเลี้ยงรับศิษย์ก็มาถึง
สำนักหลานเทียนทั้งหมดเต็มไปด้วยความคึกคัก!
การแข่งขันใหญ่ระหว่างสำนักต่าง ๆ ในโลกบำเพ็ญเซียนกำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ ด้วยหากสำนักอื่นจัดงานเลี้ยงในช่วงเวลานี้ จะทำให้จำนวนผู้บำเพ็ญที่มาเข้าร่วมงานอาจจะน้อยกว่ามาก ทว่าสำนักหลานเทียนนั้นแตกต่างออกไป
ตำแหน่งที่ตั้งของสำนักหลานเทียนและสำนักจ้านเจี้ยนที่เป็นเจ้าภาพในการจัดงานแข่งขันระหว่างสำนัก บังเอิญอยู่ในเส้นทางเดียวกัน ดังนั้นสำนักต่าง ๆ ที่ได้รับข่าว จึงต้องการมาแวะสำนักหลานเทียน เพื่อดูว่าลูกศิษย์สายตรงคนที่ห้าที่ชิงยวนได้กระจายข่าวไปทั่วโลกบำเพ็ญเซียนจะเป็นใคร
ลูกศิษย์สายตรงสี่คนแรกของชิงยวนยังไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย ดังนั้นศิษย์คนที่ห้าย่อมต้องมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ?
ตัวตนระดับสูงและลูกศิษย์จากสำนักต่าง ๆ ถูกเชิญไปยังที่นั่งของพวกเขา โดยทั้งหมดนั่งล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีโต๊ะหินยาวขนาดใหญ่หลายสิบตัวในวงกลม บางโต๊ะมีสีแดงเพลิง หากมองใกล้ ๆ ก็สามารถเห็นว่าภายในโต๊ะนั้นมีเปลวไฟกำลังลุกโชนอยู่ ในขณะที่โต๊ะยาวสีขาวเหมือนหิมะที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้นเย็นเฉียบและมีหมอกขาวฟุ้งกระจาย
“ตามที่คาดไว้สำหรับสำนักใหญ่ พวกเขาใช้หินอัคคีและหินวิญญาณน้ำแข็งสร้างเป็นโต๊ะขึ้นมาจริง ๆ”
ผู้บำเพ็ญบางคนรู้สึกอิจฉามาก เพราะเพียงชิ้นเล็ก ๆ ของวัสดุที่ใช้สร้างโต๊ะทั้งสองนี้ ก็มีมูลค่าถึงหนึ่งแสนหินวิญญาณระดับล่างแล้ว และเพราะมันถูกนำมาสร้างเป็นโต๊ะที่ยาวมากเช่นนี้ ไม่รู้เลยว่ามูลค่าจะเป็นเท่าใด…
“พวกเขาเอาโต๊ะเหล่านี้มาวางไว้เพื่ออะไร?”
ผู้บำเพ็ญที่มาจากสำนักใหญ่ไม่ได้สนใจมูลค่าของโต๊ะเท่าใดนัก เพียงแค่สงสัยเท่านั้น
“ท่านพ่อ ลองชาวิญญาณนี้สิ รสชาติอร่อยนัก!”
มีโต๊ะเล็ก ๆ ที่จัดไว้ข้างหน้าเหล่าตัวตนระดับสูงจากสำนักต่าง ๆ โดยบนโต๊ะมีผลไม้และกาน้ำชาวางอยู่ การจัดตกแต่งเช่นนี้ก็คล้ายกับที่สำนักอื่น ๆ
ในฐานะผู้บำเพ็ญที่งดอาหาร ส่วนใหญ่พวกเขาจะจิบชาวิญญาณ ชิมผลไม้วิญญาณสักสองสามคำ และใช้เวลาที่เหลือพูดคุยกับสหายที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี บอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์บางอย่างที่พวกเขาประสบพบเจอมาเพื่อเป็นการฆ่าเวลาจนกว่างานเลี้ยงจะสิ้นสุดลง
คำสรรเสริญชานมสมุนไพรวิญญาณอันแสนอร่อยนั้นไม่ได้ดังราวกับคำประกาศ ทว่าก็ช่วยดึงความสนใจของผู้บำเพ็ญที่อยู่รอบ ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงหยิบกาน้ำชาแล้วรินลงในถ้วยบ้าง
ของเหลวสีทองอ่อนค่อย ๆ ไหลลงในถ้วยชาตามพวยกา กลิ่นหอมของนมพลันเริ่มอบอวลไปในอากาศพร้อมกับกลิ่นชาจาง ๆ
“หืม เหตุใดชาวิญญาณถึงมีสีนี้เล่า?”
“มันเป็นสีฟ้าจริง ๆ…”
“นี่… ไม่ใช่ชาวิญญาณหรือ?”
ผู้บำเพ็ญที่จิบชาวิญญาณสีม่วงอ่อนตาเบิกกว้าง ความหวานจาง ๆ ในปากนี้ กลับมีปราณที่แข็งแกร่ง และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของชาบอกว่านี่คือชาวิญญาณ แต่กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากชาวิญญาณที่เขาเคยดื่มมาก่อน
เหตุใดมันถึงมีกลิ่นนมและหวาน?
ความหวานไม่มากจนเกินไป แม้กระทั่งคนที่ไม่ชอบหวานก็สามารถดื่มได้โดยไม่มีติดขัด
สิ่งสำคัญที่สุดคือชาวิญญาณของแต่ละโต๊ะมีรสชาติที่แตกต่างกัน บางโต๊ะชาเป็นสีน้ำตาลและมีรสขม แต่ปลายลิ้นกลับมีรสหวาน เมื่อจิบลงไปจะค่อย ๆ ไหลลงท้อง และปราณจะกระจายเข้าสู่ร่างกายทุกส่วนอย่างรวดเร็วทำให้คนดื่มรู้สึกสบายจนอยากจะนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเสียตรงนั้นเลย
งานเลี้ยงเริ่มคึกคักด้วยชาพิเศษนี้ ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน จู่ ๆ ก็เกิดกลิ่นหอมฟุ้งขึ้น
โต๊ะหินอัคคีและโต๊ะหินวิญญาณน้ำแข็งที่แต่เดิมว่างเปล่า ทันใดนั้นกลับเต็มไปด้วยของแปลกใหม่ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน… อาหารหรือ?
“ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่?” มีคนเอามือขยี้ตา
“มันเป็นอาหารจริง ๆ นี่สำนักหลานเทียนกลัวว่าพวกเราจะหิวอย่างนั้นหรือ?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทั้งบริเวณก็หัวเราะกันใหญ่
“หนึ่งในสามสำนักหลักแห่งโลกบำเพ็ญเซียนกำลังทำสิ่งเดียวกันกับที่มนุษย์ปุถุชนทำกันจริง ๆ หรือ?”
“ชิงยวน อย่ามัวแต่ทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้เลย ท่านรีบให้ศิษย์คนที่ห้าออกมาแสดงตัวเร็ว ๆ เถิด สำนักจ้านเจี้ยนอยู่ไม่ใกล้นักจากที่นี่ พวกเรายังต้องรีบเดินทางต่อ…”
ชิงยวนผู้งดงามที่เพิ่งปรากฏตัวพลันหันมา มองไปยังชายชราผิวหนังเหี่ยวย่นซึ่งกำลังตะโกนอยู่
“ไม่มีเหตุให้ต้องเร่งรีบเช่นนั้น พวกเรามาลองโอสถใหม่ที่เพิ่งพัฒนาโดยยอดเขาโอสถของข้าในช่วงเวลาที่ผ่านมากันก่อนเถอะ”
ชิงยวนใช้ปราณเพื่อพูดสิ่งนี้ และทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ทั้งหมดก็ได้ยินมัน
“โอสถใหม่…?”
“โดยหน้าตาเหมือนอาหารน่ะหรือ?”
ในระหว่างการซักถาม สัตว์อสูรตัวหนึ่งที่ถูกย่างจนเป็นสีทองเงาวับก็ถูกยกไปบนโต๊ะหินอัคคีที่ลุกโชน ทันทีที่มันปรากฏตัว กลิ่นหอมอันรุนแรงของมันก็กลบกลิ่นหอมของอาหารอื่น ๆ ทันที
วิหคเนตรม่วง หมูดำดิน วัวกีบเพลิง แกะวิญญาณเขาเดียว
เอื๊อก!
เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นทีละคน
ท้องที่ถูกปิดผนึกมาตลอด ดูเหมือนจะถูกปลดผนึกอีกครั้ง เนื่องจากกลิ่นหอมอันแรงกล้าตรงหน้านี้ และพวกเขาก็เผลอตัวแสดงความปรารถนาต่ออาหารตรงหน้า
ผู้บำเพ็ญที่มีระดับการบำเพ็ญต่ำกว่าลูบท้องของพวกเขา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความปรารถนา
โอสถชนิดใหม่ไม่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกแล้ว สิ่งสำคัญตอนนี้คือ… พวกเขากินได้หรือไม่?
สัตว์อสูรย่างทั้งตัวถูกนำไปที่โต๊ะหินอัคคี ส่วนบนโต๊ะน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกก็มีขนมที่สวยงาม ชวนน้ำลายสอวางอยู่
“นั่นขนมรึ?”
ตรงกลางโต๊ะหินวิญญาณน้ำแข็งมีขนมดอกบัวหลากสีสันกำลังเบ่งบานพร่างพราย แม้ว่าขนมอื่น ๆ บนโต๊ะจะสวยงามไม่แพ้ขนมดอกบัว แต่ภายใต้หมอกสีขาวที่ปกคลุมอยู่กลับยิ่งทำให้ขนมดอกบัวดูโดดเด่นที่สุด ดังเช่นเทพธิดาสวรรค์ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางมวลเมฆ
กลิ่นหอมของขนมที่ละเอียดอ่อนนั้นดูหรูหราและหวานชื่น ซึ่งตรงกันข้ามกับกลิ่นหอมเย้ายวนของสัตว์อสูรย่างอย่างชัดเจน
แปลกนัก เหตุใดพวกเขาถึงควบคุมน้ำลายตนเองไม่ได้เลย?
[1]เชียนเฉิงเกา (千层糕) คือ เค้กพันชั้น