ตอนที่ 400 มีผู้สนับสนุน
ตอนที่ 400 มีผู้สนับสนุน
พ่อเย่เห็นว่าดวงตาของเจียงอวี่เฟยเปียกชื้น แต่ความรู้สึกยินดีกลับมีมากกว่า เขาภูมิใจมากเมื่อเห็นว่าลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องเขาในตอนนี้เติบโตขึ้นเป็นคนสวยและสง่างามมาก หน้าตาเหมือนแม่สมัยสาว ๆ ไม่มีผิด
“แม่หนู ลุงไม่ได้เจอเธอมานานนับสิบปี เจอกันอีกทีเธอก็โตขนาดนี้แล้ว”
“เธอยังจำลุงได้อยู่ไหม?”
เจียงอวี่เฟยมองเย่เจิ้งหัวลุงฝั่งแม่ด้วยน้ำตาและอารมณ์ที่ผสมปนเป “คุณลุง ฉันต้องจำคุณได้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นลุงเคยออกไปนั่งอยู่ที่สนามหญ้าและอ่านหนังสือ คุณป้าบอกว่าตอนนี้คุณกลายเป็นนักเขียนชื่อดังไปแล้ว”
“ฮ่าๆ ป้าของเธอเอาไปคุยโม้เกินจริงต่างหาก มาเร็ว นั่งลงเร็วเข้า” พ่อเย่รีบดึงเจียงอวี่เฟยให้นั่งลง ขณะที่หลี่เหม่ยเฟิ่งก็กำลังยุ่งอยู่กับการหั่นผลไม้และรินน้ำใส่แก้ว
“ทำไมพ่อเธอไม่มาด้วยล่ะ?” พ่อเย่ถาม “ได้ยินลูกพี่ลูกน้องของเธอเล่าให้ฟังว่าตอนนี้พ่อเธอขยับขึ้นเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานเครื่องจักรแล้วจริงเหรอ?”
เจียงอวี่เฟยพยักหน้า “ใช่ค่ะ เขาเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานมาหลายปีแล้ว”
หลี่เหม่ยเฟิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับผลไม้ ยื่นแตงโมชิ้นหนึ่งให้กับเจียงอวี่เฟย “อวี่เฟย รีบกินนี่เร็วเถอะ จะได้ดับกระหายคลายร้อนหน่อย”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า” เจียงอวี่เฟยรับไว้อย่างเชื่อฟัง
หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดด้วยความกังวล “เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม? งั้นฉันจะไปทำบะหมี่มาให้เธอกินก่อน รอลูกพี่ลูกน้องของเธอกลับมาเมื่อไหร่ เราค่อยออกไปกินอาหารมื้อใหญ่ด้วยกัน”
เจียงอวี่เฟยไม่อยากรบกวนญาติโดยไม่จำเป็น จึงพูดว่า “คุณป้า ฉันยังไม่หิวจริง ๆ ค่ะ”
“จะไม่หิวได้ยังไง? ฉันได้ยินว่าเธอยังไม่ได้กินอะไรตกถึงท้องตลอดทั้งวันเลยไม่ใช่เหรอ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลี่เหม่ยเฟิ่งพูด เย่เจิ้งหัวก็ถามด้วยความสับสน
“เป็นอะไรไป? ทำไมถึงไม่ยอมกินข้าวล่ะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
พอมองผ่าน ๆ จะเห็นว่าสีหน้าของเจียงอวี่เฟยเหมือนคนอารมณ์ไม่ดี แต่เมื่อมองให้ดี จะเห็นได้ว่าดวงตาหล่อนบวมเป่งราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
หัวใจของเย่เจิ้งหัวพลันตึงเครียดขึ้นทันที
ผู้ชายที่ชื่อเจียงกั๋วเซิ่งคนนั้นเลี้ยงดูเด็กคนนี้อย่างเลวร้ายหรือเปล่า?
หลี่เหม่ยเฟิ่งเหลือบมองเจียงอวี่เฟยอย่างเศร้าใจ แล้วตอบว่า “พ่อของอวี่เฟยไม่เห็นด้วยกับการหล่อนที่เข้าร่วมในรายการประกวดนางแบบ เมื่อคืนเขาก็เอาแต่ดุด่าหล่อนอย่างรุนแรงจนหล่อนพลอยกินอะไรไม่ลง ฉันก็เลยพาหล่อนกลับมาจากร้านตัดผมของเสี่ยวหลินด้วยกัน ว่าจะให้หล่อนพักอยู่ที่บ้านของเราสักสองสามวันให้สภาพจิตใจดีขึ้นน่ะค่ะ”
หลังจากที่หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดจบ หล่อนก็ปลอบเจียงอวี่เฟยเบา ๆ “อวี่เฟย เธออยู่ที่บ้านหลังนี้อย่างสงบสุขเถอะนะ ถ้าพ่อเธอมาตามกลับบ้าน ลุงของเธอกับฉันจะช่วยคุยกับเขาอีกแรงแทน”
เย่เจิ้งหัวพูดด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “จนป่านนี้เจียงกั๋วเซิ่งก็ยังอารมณ์รุนแรงไม่เปลี่ยนอีกเหรอเนี่ย? พอมีเรื่องเกิดขึ้นก็ไม่พยายามสื่อสารกับลูกดี ๆ มาด่าทอกันสาดเสียเทเสียแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน?”
เจียงอวี่เฟยรีบอธิบาย “คุณลุง ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเองค่ะ ฉันไม่ได้บอกความจริงกับพ่อตั้งแต่แรก แอบสมัครเข้าร่วมการประกวดโดยที่ไม่บอกเขา นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาโกรธ เป็นความผิดฉันเองที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนทัศนคติของเขาให้ดี เรื่องนี้ฉันไม่โทษพ่อหรอกค่ะ”
เย่เจิ้งหัวทำการวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว “ที่เธอแอบสมัครเข้าประกวดอย่างลับ ๆ นั่นหมายความว่าเธอไม่สามารถคุยกับเขาด้วยเหตุและผลได้ยังไงล่ะ ถ้าพวกเธอสองพ่อลูกปรับความเข้าใจกันได้ เธอคงไม่ทำอะไรลับหลังเขาแต่แรก”
เมื่อพูดถึงเจียงกั๋วเซิ่ง พ่อของเย่ไป๋ก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้ การที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาล้มป่วยและเสียชีวิตในปีนั้นถือเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนใจครั้งใหญ่ให้กับสมาชิกทุกคนในตระกูลเย่
ด้วยเหตุนี้ เขาถึงได้ตำหนิเจียงกั๋วเซิ่งในใจอยู่เสมอ เมื่อก่อนลูกพี่ลูกน้องของเขาเคยมีสุขภาพแข็งแรงดี จนกระทั่งหล่อนแต่งงานกับเขา หล่อนก็เริ่มล้มป่วย และเสียชีวิตเพียงไม่กี่ปีหลังจากคลอดลูก
นั่นทำให้พวกเขารู้สึกลึก ๆ ว่าเจียงกั๋วเซิ่งทำหน้าที่ล้มเหลว เพราะไม่สามารถดูแลลูกพี่ลูกน้องของเขาให้ดีได้ หลังจากที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาจากไป อาสามและอาสะใภ้สามของเขาก็ทยอยตรอมใจตายทีละคน เพราะทนรับความสูญเสียไม่ไหว
หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยถามไถ่เกี่ยวกับสารทุกข์สุกดิบของเจียงกั๋วเซิ่งเลยสักครั้ง แถมยังไม่เต็มใจที่จะคบหาสมาคมกับเขาให้เป็นการเปิดรอยแผลในอดีต
ทันใดนั้นเย่เจิ้งหัวก็มีความรู้สึกผสมปนเปกัน
จุดจบของครอบครัวอาสามไม่ควรเป็นแบบนี้เลย
เนื่องจากตอนนั้นพวกเขาไม่สามารถติดต่อกับอารองที่ชำนาญเรื่องยาแผนจีนไม่ได้ ถ้าตอนนั้นอารองของเขายังอยู่ในเมือง จุดจบก็คงจะแตกต่างออกไป
หลี่เหม่ยเฟิ่งทำบะหมี่ชามหนึ่งให้เจียงอวี่เฟยเสร็จแล้วก็ยกมาเสิร์ฟให้หล่อน กำชับให้หล่อนรีบกินก่อน
จากนั้นก็โทรหาเย่ไป๋และเย่เชี่ยน เพื่อบอกให้พวกเขารับรู้ว่าตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาอยู่ที่บ้าน และขอให้พวกเขารีบตรงกลับบ้านหลังจากเลิกงานในตอนเย็น
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เจียงกั๋วเซิ่งเลิกงานในช่วงบ่ายและไม่เห็นเจียงอวี่เฟยอยู่ที่บ้าน เขาจึงตรงดิ่งไปที่ร้านตัดผมของหลินเซี่ยทันที
หลินเซี่ยเพิ่งทำงานเสร็จ กำลังจะปิดประตูร้านแล้วกลับบ้าน เมื่อเห็นเจียงกั๋วเซิ่งรีบเดินจ้ำอ้าวมา เธอก็รู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อตามหาเจียงอวี่เฟย หลินเซี่ยจึงเดินไปหาเขาแล้วถามว่า “ลุงเจียง เลิกงานแล้วเหรอคะ?”
เจียงกั๋วเซิ่งมองเข้าไปในร้านตัดผมและถามอย่างร้อนใจว่า “อวี่เฟยอยู่ไหน? วันนี้ได้แวะมาหาเธอหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “มาแล้วไปแล้วค่ะ”
เจียงกั๋วเซิ่งดูเป็นกังวลหลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย“แล้วตอนนี้หล่อนออกไปที่ไหนอีกล่ะ? ฉันกำชับเด็กนั่นนักหนาแล้วแท้ ๆ ว่าอย่าออกไปไหน ให้อยู่แต่ในบ้าน สุดท้ายหล่อนก็ยังไม่ฟังคำสั่งฉัน นับวันเริ่มกล้าหาญมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว คอยดูเถอะว่าฉันจะจัดการกับหล่อนยังไงบ้าง”
หนึ่งวันทำงานของเจียงกั๋วเซิ่งในวันนี้ ผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับหนึ่งปี
พนักงานในโรงงานตั้งแต่ระดับสูงยันระดับล่าง ต่างก็พูดคุยกันเกี่ยวกับการประกวดนางแบบไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม
ขณะกินข้าวอยู่ในโรงอาหาร คนกลุ่มหนึ่งก็มารวมตัวกันเพื่อเดิมพันว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
ดูเหมือนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ลงคะแนนให้กับเย่เสี่ยวอวี่
เจียงกั๋วเซิ่งยืนอยู่ที่นั่น ถือกล่องอาหาร พลางเงี่ยหูฟังเสียงการเดิมพันที่ตื่นเต้นของพนักงาน
หึ เกรงว่าพวกเขาจะต้องผิดหวัง เพราะเย่เสี่ยวอวี่จะไม่เข้าร่วมประกวดในรอบชิงชนะเลิศอีกต่อไป
หลินเซี่ยเผชิญหน้ากับเจียงกั๋วเซิ่งที่มีใบหน้าดำคล้ำ ตอบกลับอย่างไม่เห็นแก่ตัว
“ลุงเจียง ป้าของอวี่เฟยมาเชิญหล่อนให้กลับไปที่บ้านของพวกเขาด้วยกันค่ะ”
เจียงกั๋วเซิ่งรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ป้าคนไหน?”
หลินเซี่ยอธิบาย “คืออย่างนี้ค่ะ หลังจากที่อวี่เฟยเข้าร่วมการประกวดนางแบบ ครอบครัวของลูกพี่ลูกน้องก็จำอวี่เฟยได้จากในทีวี เย่ไป๋ ลูกพี่ลูกน้องของอวี่เฟยบังเอิญเป็นเพื่อนสนิทของเฉินเจียเหอ พอเย่ไป๋ได้เจอตัวจริงของอวี่เฟย เขาก็เอาเรื่องหล่อนไปพูดเมื่อกลับถึงบ้าน วันนี้ป้าสะใภ้ของอวี่เฟยก็มาทำผมที่ร้านฉันพอดี หลังจากได้เจอกับอวี่เฟยแล้ว หล่อนก็เลยเชิญหลานสาวกลับไปที่บ้านด้วยกัน”
เจียงกั๋วเซิ่งหยุดชั่วขณะ มองดูหลินเซี่ยและถามด้วยความประหลาดใจ “เธอหมายถึงเย่เจิ้งหัวลุงของหล่อนน่ะเหรอ?”
หลินเซี่ยตอบกลับ “ฉันรู้แต่ว่าพวกเขาสกุลเย่ค่ะ ไม่รู้ชื่อจริงของคุณลุงคนนั้น ส่วนลูกพี่ลูกน้องของเธอชื่อเย่ไป๋”
หลินเซี่ยมอบที่อยู่ที่หลี่เหม่ยเฟิ่งทิ้งไว้ให้ก่อนจะออกจากร้าน “นี่คือที่อยู่ที่ป้าสะใภ้ของอวี่เฟยทิ้งไว้ให้ค่ะ คุณแวะไปหาหล่อนตามที่อยู่นี้ได้เลย”
เจียงกั๋วเซิ่งหยิบโน้ตจากมือของหลินเซี่ย รู้สึกราวกับว่ามันมีน้ำหนักเกือบพันชั่ง
เหตุการณ์ในอดีตมากมายโถมเข้ามาในใจ
เจียงกั๋วเซิ่งเลิกอ่านที่อยู่บนโน้ตนั้น แล้วมองไปที่หลินเซี่ย พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ “เซี่ยเซี่ย เธอรู้ทั้งรู้ว่าอวี่เฟยเข้าร่วมประกวดนางแบบอะไรนั่น ทำไมเธอถึงไม่รู้จักห้ามเพื่อน แถมยังช่วยเธอปิดบังเรื่องนี้ไว้จากฉันอีก”
“ลุงเจียงคะ อาชีพนางแบบในต่างประเทศมีมานานเป็นร้อยปีแล้ว อาชีพนี้ก็ไม่ต่างจากอาชีพนักแสดงที่เราเห็นกันตามสื่อ นางแบบสามารถเซ็นสัญญากับเอเจนซี่ สร้างความมั่นคงทางอาชีพได้เหมือนกัน การที่หล่อนมีส่วนร่วมในการประกวดครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย ฉันรู้ว่าในฐานะพ่อ คุณไม่สามารถยอมรับการที่ลูกสาวเปิดเผยเนื้อตัวสู่สายตาสาธารณชนได้ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วค่ะ โปรดเข้าใจเถอะว่าอวี่เฟยเลือกที่จะเรียนในสถาบันเต้นรำ ในอนาคตหล่อนอาจไม่ได้เดินตามเส้นทางการเป็นนางแบบเสมอไป”
เจียงกั๋วเซิ่งตะคอกด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “ฉันไม่อยากเข้าใจ ฉันเลี้ยงดูหล่อนเป็นอย่างดีด้วยหัวใจ ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะออกไปทำอะไรให้คนเป็นพ่อต้องอับอายขายหน้า”
เมื่อเจียงกั๋วเซิ่งคิดว่าลูกสาวของเขาแต่งตัวแบบนั้นออกทีวีให้คนทั่วประเทศเห็นโดยทั่วกัน เขาก็รู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาอีกครั้ง
เขากัดฟันพูด “ยัยลูกไม่รักดีคนนั้น รอจนกว่าฉันจะไปเจอหน้าหล่อนซะก่อน คิดว่าฉันไม่กล้าขังหล่อนให้อยู่แต่ในห้องหรือไง เฮ้อ นี่คงเป็นผลกรรมของฉันเอง ไม่กี่วันก่อนฉันเพิ่งจะหัวเราะเยาะเสิ่นเถี่ยจวินที่ไม่สามารถอบรมสั่งสอนลูกสาวตัวเองได้ ท้ายที่สุดลูกสาวก็ทำเรื่องผิดศีลธรรมจนเขาต้องอับอายขายหน้า แต่พอเสิ่นเถี่ยจวินกลับมาร่วมประชุมเมื่อเช้าวันนี้ กลายเป็นฉันซะเองที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
“เสิ่นเถี่ยจวินกลับมาแล้วเหรอคะ?” หลินเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองเจียงกั๋วเซิ่ง ถามหลังจากได้ยินอย่างนั้น
เจียงกั๋วเซิ่งพยักหน้า “กลับมาแล้ว”
“เสิ่นอวี่อิ๋งกลับมาด้วยหรือเปล่าคะ?” หลินเซี่ยถามอีกครั้ง
เจียงกั๋วเซิ่งส่ายหน้า “ไม่กลับ เขาบอกว่าตอนนี้อาการหล่อนยังไม่ค่อยดี อาจจะล้มเลิกการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปก่อน”
ถ้าเป็นในอดีต เจียงกั๋วเซิ่งคงไม่ลืมเสริมคำติฉินนินทาแน่นอน
นอกจากนี้เขายังจะแดกดันว่าเสิ่นเถี่ยจวินไม่ซื่อตรงและคดโกง ไม่ยอมสั่งสอนลูกสาวให้ดี เลยพลอยทำให้ลูกสาวคดเคี้ยวตามไปด้วย
แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะเยาะเย้ยผู้อื่น
เพราะเขาเองยังไม่สามารถควบคุมลูกสาวของตัวเองให้อยู่ในทำนองคลองธรรมได้เลย
แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปเยาะเย้ยคนอื่น…
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บางทีคุณพ่อก็ต้องเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยน่ะค่ะ ยิ่งยึดติดกับอดีตเท่าไหร่ ก็จะเป็นตัวเองที่เจ็บปวดเท่านั้น
ไหหม่า(海馬)