ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 401 สานสัมพันธ์กับญาติ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 401 สานสัมพันธ์กับญาติ

ตอนที่ 401 สานสัมพันธ์กับญาติ

ในที่สุดเจียงกั๋วเซิ่งก็ตัดสินใจไปบ้านตระกูลเย่ตามที่อยู่ที่หลินเซี่ยให้ไว้

กล่าวได้ว่าสมัยที่แม่ของอวี่เฟยยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาและบรรดาญาติ ๆ ตระกูลเย่ยังเดินทางไปมาหาสู่กันค่อนข้างบ่อย

ตระกูลเย่เป็นตระกูลขนาดเล็ก รุ่นพ่อแม่มีพี่น้องสามคน ได้แก่พ่อตาของเขา และอารองผู้ยังไม่ได้แต่งงานที่ถูกส่งไปทำงานยังพื้นที่อื่นในช่วงเปลี่ยนผ่าน ว่ากันว่าเขาถึงขั้นตัดการติดต่อกับพี่น้อง เพื่อไม่ให้ภาระหน้าที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา

พ่อตาของเขามีลูกสาวเพียงคนเดียวคือแม่ของเจียงอวี่เฟย หลังจากที่แม่ของอวี่เฟยเสียชีวิต คู่สามีภรรยาสูงอายุก็ทยอยตรอมใจตายตามไปทีละคน

ตอนนี้ เจียงกั๋วเซิ่งมีความสุขมากที่ตัวเองได้มีโอกาสติดต่อกับลุงทางฝั่งแม่ของเจียงอวี่เฟยอีกครั้ง

เจียงกั๋วเซิ่งซื้อของขวัญมากมายติดไม้ติดมือไปด้วย เมื่อเขามาถึงประตูบ้าน เขาก็ยืดคอ จัดแต่งทรงผมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะเคาะประตู

ในขณะนี้ เย่ไป๋และเย่เชี่ยนกลับถึงบ้านแล้ว เย่ไป๋เคยเจอเจียงอวี่เฟยครั้งหนึ่ง ส่วนเย่เชี่ยนเป็นแฟนตัวยงที่ติดตาการประกวดนางแบบในช่วงเวลานี้ จึงคุ้นเคยกับเจียงอวี่เฟยมาก และด้วยความที่เคยเจอกันสมัยที่ยังเป็นเด็กน้อย ทำให้สาว ๆ ทั้งสองสนิทสนมกันได้ภายในเวลาอันสั้น

เย่เชี่ยนมีอายุมากกว่าเจียงอวี่เฟยสี่ปี หล่อนเป็นครูสอนดนตรีของโรงเรียนมัธยมปลาย มีอัธยาศัยและความประพฤติดีเยี่ยม ตอนนี้ได้พูดติดตลกกับเจียงอวี่เฟยขึ้นมาว่าหากหล่อนรู้เกี่ยวกับการประกวดนางแบบเร็วกว่านี้ หล่อนอาจจะสมัครเข้าร่วมประกวดด้วยก็ได้

ทุกคนกำลังเตรียมตัวออกไปรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน

พี่ชายและน้องสาวรีบบอกว่าพวกเขาจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงต้อนรับลูกพี่ลูกน้องเอง

แต่แล้วเมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตู สีหน้าของหลี่เหม่ยเฟิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อของอวี่เฟยคงมาแล้วละมั้ง?”

“ผมจะไปเปิดประตูเอง”

เย่ไป๋เปิดประตูห้องนั่งเล่น เห็นเจียงกั๋วเซิ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู พร้อมกับของฝากหลายอย่างเต็มสองมือ

ความทรงจำของเย่ไป๋เกี่ยวกับเจียงกั๋วเซิ่งนั้นคลุมเครือมาก เพื่อความปลอดภัย เขาจึงถามเพื่อยืนยันอย่างสุภาพว่า “คุณใช่อาเขยหรือเปล่าครับ?”

เจียงกั๋วเซิ่งดูกังวล แต่ยังคงพยักหน้าตอบกลับอย่างสุภาพ “ใช่ ผมเอง”

“คุณอาเขย ถ้าอย่างนั้นเชิญเข้ามาก่อนครับ”

เย่ไป๋เดินเข้ามาเผชิญหน้ากับเจียงกั๋วเซิ่ง ทันทีที่หลี่เหม่ยเฟิ่งเห็นเจียงกั๋วเซิ่ง หล่อนก็ยืนขึ้นเพื่อทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น

เย่เจิ้งหัวนั่งนิ่ง หันมองไปทางเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

เจียงอวี่เฟยกำลังพูดคุยสนุกสนานอยู่กับเย่เชี่ยน แต่เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อมา หล่อนก็รีบลุกขึ้นและเรียกเขาว่าพ่อ

เจียงกั๋วเซิ่งเหลือบมองเจียงอวี่เฟยแค่แวบหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้สนใจหล่อนอีก แต่ก้าวไปข้างหน้าและทักทายเย่เจิ้งหัวกับคนอื่น ๆ ด้วยความเคารพ “พี่ชาย พี่สะใภ้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

หลี่เหม่ยเฟิ่งเห็นว่าสีหน้าของเหล่าเย่ยังคงมืดมน จึงยิ้มและตอบกลับว่า “น้องเขย พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายปีแล้วจริง ๆ”

เย่เจิ้งหัวจ้องมองที่เจียงกั๋วเซิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดเบา ๆ ว่า “นั่งลง”

เย่ไป๋เข้าไปรินน้ำ จากนั้นเย่เชี่ยนก็เข้ามาทักทายเขาว่าคุณอาด้วยความสุภาพ

เจียงกั๋วเซิ่งนั่งลง มองเย่เจิ้งหัวแล้วถามว่า “พี่ชาย คุณย้ายบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ? เมื่อสิบปีที่แล้วผมแวะไปเยี่ยมเยียนหาพวกคุณที่บ้านเก่า แต่ได้ยินมาว่าย้ายกันออกไปเสียแล้ว”

เย่เจิ้งหัวอธิบาย “นายน่าจะจำได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเราทำงานที่อื่น เพิ่งกลับมาที่ไห่เฉิงหลังจากที่พ่อตาของนายล้มป่วยหนัก บ้านหลังเก่านั้นอยู่ห่างไกลไปหน่อย สถานที่ก็คับแคบ เย่ไป๋กับเย่เชี่ยนต่างก็โตกันแล้ว อาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปอาจไม่สะดวก เลยย้ายมาอยู่บ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยใหญ่กว่า”

เย่เจิ้งหัวมองไปที่เจียงอวี่เฟย ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ผ่านไปสิบห้าหรือสิบหกปีได้แล้วกระมัง หลานสาวของฉันโตขึ้นมาก”

พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะหลานสาวของเขา เขากับเจียงกั๋วเซิ่งซึ่งเคยเป็นญาติกันคงไม่มีวันได้กลับมาติดต่อพูดคุยกันอย่างนี้ได้อีก

หลี่เหม่ยเฟิ่งนั่งบนโซฟา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เราเห็นอวี่เฟยทางทีวีด้วย ตอนนั้นเราแค่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาหล่อนเท่านั้น โชคดีที่เย่ไป๋รู้จักกันกับหลินเซี่ย จากนั้นเราถึงรู้ว่าเย่เสี่ยวอวี่ที่เป็นผู้ร่วมประกวดก็คือลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ชื่อเจียงอวี่เฟย วันนี้ฉันบังเอิญไปเจอกับอวี่เฟยที่ร้านทำผมของหลินเซี่ย ก็เลยชวนหล่อนกลับบ้านมาด้วยกันน่ะ”

ระหว่างทางมาที่นี่ เจียงกั๋วเซิ่งนึกอยากพูดอะไรบางอย่าง ถ้าเย่เจิ้งหัวและคนอื่น ๆ เองก็ไม่อาจยอมรับรายการน่าละอายอย่างเช่นการประกวดนางแบบได้ คงเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะร่วมกันเกลี้ยกล่อมเจียงอวี่เฟยไม่ให้เข้าร่วมการประกวดในรอบสุดท้าย

เขาต่อต้านโดยลำพังนับว่ามีอำนาจน้อยไปหน่อย แต่ถ้าเป็นคนกลุ่มหนึ่งคงสามารถรวมพลังกันโน้มน้าวหล่อนได้

แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงของหลี่เหม่ยเฟิ่งตอนนี้ ดูเหมือนว่าหล่อนจะภาคภูมิใจมากอย่างไรอย่างนั้น?

เจียงกั๋วเซิ่งมองไปที่เย่เจิ้งหัว และพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “พี่ชายครับ ผมไม่ได้เจอหน้าคุณมาหลายปีมากจริง ๆ

ตอนนั้นผมผิดเองที่ไม่มีความสามารถพอจะดูแลแม่ของอวี่เฟยให้ดี ผมรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว ตอนแรกอยากจะไปขอขมาพวกคุณด้วยซ้ำ แต่รู้มาว่าคุณย้ายออกไปอยู่ที่อื่น และไม่ได้ยินข่าวคราวของพวกคุณอีกเลย ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกละอายใจต่อคุณมาโดยตลอด”

เย่เจิ้งหัวยิ้มขมขื่น ก่อนจะโบกมือ “เรื่องจบไปนานแล้ว ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก ลูกพี่ลูกน้องของฉันแค่โชคร้าย”

แม้ว่าจะยังคงโกรธเคืองและเสียใจ แต่ครอบครัวของเย่เจิ้งหัวก็เป็นคนที่มีเหตุผลมากพอ

ลูกพี่ลูกน้องของเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วย ไม่ว่าพวกเขาจะโศกเศร้าเสียใจแค่ไหน ก็ไม่อาจตำหนิว่าเป็นความผิดของเจียงกั๋วเซิ่งเพียงอย่างเดียว

เมื่อเห็นว่าเจียงอวี่เฟยเติบโตมาเป็นเด็กน่ารักและสุภาพอ่อนโยน เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

เย่เจิ้งหัวมองเขาอย่างจริงจังและพูดกับเจียงกั๋วเซิ่งว่า

“อวี่เฟยเป็นลูกสาวคนเดียวของลูกพี่ลูกน้องฉันที่เหลืออยู่ในโลกนี้ นายควรเมตตาและทำดีกับลูกสาวของตัวเองให้มาก อย่าปล่อยให้หล่อนต้องทนทุกข์ทรมานที่บ้านเด็ดขาด”

หลังจากที่เจียงอวี่เฟยได้ยินสิ่งที่ลุงพูด หล่อนก็กลัวว่าพ่อจะเข้าใจผิดคิดว่าหล่อนเอาเรื่องเมื่อคืนมาฟ้องพวกเขาถึงที่นี่ จึงต้องการอธิบาย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

เจียงกั๋วเซิ่งพูดอย่างเคร่งขรึม

“พี่ชาย แต่ผมกลับคิดว่ารายการที่อวี่เฟยเข้าร่วมนั้นไม่ได้เรื่อง พวกเขาเปิดกว้างเกินไปหน่อย บางทีอาจจะเป็นเพราะผมแก่แล้ว เลยไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ พรรค์นั้นได้จริง ๆ”

“หล่อนแอบสมัครเข้าประกวดโดยไม่บอกผม ผิดเหรอที่ผมจะวิพากษ์วิจารณ์หล่อนหลังจากที่รู้เรื่องนี้? ในฐานะพ่อแม่ ผมต้องรับผิดชอบต่ออนาคตและเกียรติยศของหล่อน จะปล่อยให้หล่อนทำเรื่องที่น่าละอายไม่ได้ ผมไม่อยากให้หล่อนกลายเป็นขี้ปากของคนอื่น”

ใบหน้าของเจียงกั๋วเซิ่งเข้มงวดจริงจัง น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของเขาไม่มีที่ว่างสำหรับการผ่อนปรน

หลี่เหม่ยเฟิงแย้งว่า “น้องเขย อวี่เฟยไม่ได้ทำเรื่องน่าละอาย หล่อนแค่เข้าร่วมประกวดเฟ้นหานางแบบ ยุคสมัยนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก อุตสาหกรรมจำพวกอาชีพนางแบบมีแนวโน้มที่ดีมากในสังคม ถ้าหล่อนได้รับอันดับที่ดีจากการประกวดครั้งนี้ ก็พัฒนาต่อยอดไปสู่สาขาอาชีพอื่นในอนาคตได้ตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง นักร้อง นักเต้น ประสบการณ์ในการประกวดถือเป็นผลงานชั้นดีที่มีผลต่อการจ้างงาน ในฐานะผู้ใหญ่ เราต้องมองการณ์ไกล และเปิดใจให้กว้างมากขึ้นนะ”

เย่เชี่ยนสนับสนุนจากด้านข้างว่า “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะที่หล่อนจะทำผลงานจนเข้ารอบลึกถึงขนาดนี้ ถ้าหล่อนคว้าแชมป์หรือได้รองชนะเลิศไม่เกินอันดับที่สอง ต้องมีคนติดต่อให้หล่อนเซ็นสัญญากับบริษัท และกลายเป็นนางแบบมืออาชีพอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นหล่อนจะกลายเป็นดาวรุ่งเลยล่ะค่ะ”

หลี่เหม่ยเฟิ่งและเย่เฉียนต่างก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกหล่อนเห็นคุณค่าในตัวเจียงอวี่เฟยมาก

ใบหน้าของเจียงกั๋วเซิ่งดำคล้ำและมืดมนลงไปอีก

เขามองไปทางเย่เจิ้งหัวอย่างไม่เต็มใจ โดยหวังว่าลูกพี่ลูกน้องฝั่งภรรยาที่เขาให้ความเคารพนับถือย่างสูง จะก้าวออกมาข้างหน้าและพูดกับหลานสาวของเขาสักสองสามคำ

เย่เจิ้งหัวรอให้ทุกคนพูดจบ จากนั้นจึงพูดกับเจียงกั๋วเซิ่งด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน “อวี่เฟยก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าสู่วงการศิลปะและบันเทิงแล้ว ไม่ใช่เวลาที่หล่อนจะยอมแพ้ ถึงเวลาที่นายต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่”

เจียงกั๋วเซิ่ง “…”

หัวใจของเขาจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้ง เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้พลิกกลับมาอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา

ลูกสาวไม่รักดีคนนี้หนีมาพึ่งใบบุญของตระกูลเย่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เห็นได้ชัดว่าหล่อนต้องการขอความช่วยเหลือและหากำลังเสริม!

เย่เจิ้งหัวพูดกับเจียงกั๋วเซิ่งด้วยใบหน้าเข้ม “ไหน ๆ นายก็มาที่นี่แล้ว งั้นอยู่กินข้าวด้วยกันเถอะ”

“ครับ”

ในตอนแรกเย่เจิ้งหัวและเจียงกั๋วเซิ่งค่อนข้างวางตัวห่างเหินกัน แต่เมื่อพวกเขาออกไปรับประทานอาหารที่ร้าน พวกเขาก็มีเวลาได้พูดคุยเพื่อทบทวนถึงเรื่องราวในอดีต หลังจากคิดถึงมันแล้ว ในที่สุดก็เลือกที่จะปล่อยวาง

พวกเขาทั้งสองดื่มเครื่องดื่มเนื่องในโอกาสที่หาได้ยาก หวนรำลึกถึงอดีตร่วมกัน

บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเย็นสนิทสนมกลมกลืนกันมาก หลังเสร็จสิ้นมื้ออาหาร เจียงกั๋วเซิ่งบอกว่าเขาจะพาเจียงอวี่เฟยกลับบ้าน แต่หลี่เหม่ยเฟิ่งกลับพูดว่า “ให้อวี่เฟยมานอนที่บ้านเราสักสองสามคืนเถอะ พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันนานหลายปี ที่ผ่านมาเราทุกคนคิดถึงหล่อนอยู่เสมอ เดิมทีเราทั้งสองต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ห่างเหินหลังจากไม่ได้เจอกันนาน คงต้องกระชับความสัมพันธ์กับหล่อนสักหน่อย”

“นี่…” ตอนนี้เจียงกั๋วเซิ่งไม่ค่อยอยากให้เจียงอวี่เฟยอยู่ที่อื่นเลยจริง ๆ

เขาอยากพาหล่อนกลับไปแล้วอบรมให้ความรู้แก่หล่อน เริ่มสั่งสอนเชิงอุดมการณ์กับหล่อนใหม่

หลี่เหม่ยเฟิ่งขัดจังหวะ “อีกสองวันเย่ไป๋จะพาแฟนของเขากลับมาที่บ้าน อวี่เฟยจะได้ถือโอกาสเจอว่าที่พี่สะใภ้ของตัวเองด้วยไงล่ะ จบธุระแล้วเราจะส่งหล่อนกลับทันที”

ขณะที่หลี่เหม่ยเฟิ่งพูด คนอื่น ๆ ก็เริ่มประสานความร่วมมือกับหล่อน ไม่มีใครให้สิทธิ์เจียงกั๋วเซิ่งในการปฏิเสธ เจียงกั๋วเซิ่งจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ “ก็ได้ครับ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มีญาติที่สนับสนุนนี่นับว่าโชคดีมากเลยค่ะ เพราะคนพ่อดูหัวแข็งเหลือเกิน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท