ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 138 ไต่เต้าและพังทลาย-11

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 138 ไต่เต้าและพังทลาย-11

เช้าวันรุ่งขึ้น บัณฑิตจางตื่นขึ้นมาพลันแตะคางของตนเอง

เมื่อเขาสัมผัสคางโล้นๆ ของตนที่ดูเหมือนตูดไก่ถูกถอนขน อดส่งเสียงร้องประหลาดออกมาไม่ได้!

ทังจงซงยังไม่สร่างเมา

แต่ความประหลาดใจของบัณฑิตจางนี้กลับทำให้เขาเหงื่อชุ่มไปทั้งกาย ทันใดนั้นรู้สึกเย็นวาบไปทั้งกาย

ด้วยระดับตบะของเขา ไม่ควรจะแพ้ดวลสุราเมื่อคืนนี้เป็นแน่

แม้ว่าทังจงซงจะเรียกจิ่วซานปั้นและหลิวรุ่ยอิ่งทั้งสามคนร่วมกันเอาชนะเขา แต่ก็ไม่ควรจะแพ้อย่างอนาถเช่นนี้จึงจะถูก ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถเสมอกันได้

เพียงแต่ทังจงซงกล่าวตราบทบัญญัติสามประการไว้ก่อน มีอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่อนุญาตให้บัณฑิตจางรวบรวมพลังธาตุในร่างกายเปลี่ยนเป็นสุรา ดังนั้นเขาจำต้องฝืนกระดกดื่มเช่นนี้จอกแล้วจอกเล่า

กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกลับมาได้อย่างไร

“เจ้าตื่นเดี๋ยวนี้!”

บัณฑิตจางโกรธจนกระชากทังจงซงออกจากเตียงแล้วโยนลงพื้น

ทังจงซงดวงตาปรือพร่ามัว แต่เมื่อเห็นคางของบัณฑิตจางโล้นเกลี้ยง พลันหัวเราะเสียงดัง ‘คิกๆ’ ออกมาทันที

“ฝีมือข้าไม่เลวเลยใช่หรือไม่”

ทังจงซงคลานขึ้นมาจากพื้น พริบตาเดียวก็มุดเข้าไปในเตียงอุ่นอีกครั้งพลางกล่าว

“เคราข้าเล่า”

น้ำเสียงบัณฑิตจางทั้งเย็นชาทั้งมาดร้าย คล้ายกับว่ามีความแค้นไม่ยอมอยู่ใต้ฟ้าผืนเดียวกันกับทังจงซง

“เมื่อวานท่านรับปากอะไรไว้ยังจำได้หรือไม่”

ทังจงซงย้อนถามโดยไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย กระทั่งยังซุกขาไว้ใต้ผ้าห่มด้วย

“ข้ารับปากอะไรไว้บ้าง”

บัณฑิตจางเสียสติไปจนสิ้น ถึงขั้นทวนถามคำถามของทังจงซงอีกครั้ง

“ก่อนไปงานเลี้ยง ท่านบอกว่าจะดื่มข้าให้ตายไม่ใช่หรือ”

ทังจงซงถาม

“ใช่…”

บัณฑิตจางตอบ

“แล้วเราก็ตัดสินใจดวลสุรากันใช่หรือไม่”

ทังจงซงกล่าวถามอีก

“ใช่…”

“ดังนั้น เคราของท่านก็คือการลงโทษที่แพ้ดวลสุราอย่างไรเล่า!”

ทังจงซงหัวเราะ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะ

ความจริงแล้วไม่อยากให้บัณฑิตจางเห็นตนหัวเราะอย่างอวดดีเกินไป เลี่ยงไม่ให้ตาเฒ่ากระทำสิ่งอื่นใดภายใต้ความโกรธจัดนี้

แต่ว่ากล่าวถึงตรงนี้ บัณฑิตจางครุ่นคิดถึงเรื่องทั้งหมด…

ทุกสิ่งล้วนสมควรได้รับ เขารนหาที่เอง ไม่อาจตำหนิผู้ใด

หากตำหนิทำได้เพียงตำหนิตนเองที่ไร้ความสามารถ ถูกเจ้าเด็กสามคนมอมสุราแพ้ราบคาบ ทั้งยังสูญเสียหนวดเคราที่ไว้ยาวมาตั้งไม่รู้กี่ปี

หากกล่าวจริงๆ ว่าบัณฑิตจางถนอมรักเครานี้เพียงไหนก็ได้ใช่ไม่ เขาเป็นคนค่อนข้างสกปรกมอมแมม ซ้ำร้ายไม่รู้ว่าจะดูแลตนเองอย่างไรด้วยซ้ำ

แต่ก่อนมีหนวดเครา แม้เคราจะเลอะคราบอาหารเลอะสุรา แทบไม่สนใจชะล้างมัน

ตอนนี้ไม่มีแล้ว ก็เริ่มเกรี้ยวกราดเดือดดาล โวยวายยกใหญ่ว่าทังจงซงเจ้าเด็กไม่รู้จักโต!

ความจริงแล้ว ทั้งๆ ที่ตัวเขาทำข้อตกลงก่อนแท้ๆ ไม่สนใจไยดีก่อนแท้ๆ

แต่บัณฑิตจางไม่คาดคิดเลยว่าตนจะแพ้ได้

จนถึงตอนนี้ เขายังคิดไม่ออกว่าตนตกหลุมพรางเขาและกลายมาเป็นคนมีคุณธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร

บัณฑิตจางเป็นคนที่หวนคิดคะนึงหา ไม่เช่นนั้นคงไม่ออกจากสำนักปากสอบก่อนเพียงเพราะศิษย์ของตนคิดอยากจะแก้แค้น

เพียงแต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าตนที่ไม่สนใจเรื่องเล็กๆ ยังสามารถทำให้อารมณ์ของเขาผันผวนรุนแรงได้เพียงนี้

อาจเป็นไปได้ว่าเขาเคยชินกับสภาพปัจจุบันของตนมานานเกินไป นานจนไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้

เมื่อครั้นที่เคยเสียใจ อย่างน้อยๆ ยังดื่มสุราได้ หวนคิดสิ่งดีๆ ในอดีต ตอนนี้แม้แต่แสงสว่างสุดท้ายก็คว้าไว้ไม่ได้

เคราของตนเป็นเหมือนแสงสว่างสุดท้าย แม้รู้ดีว่าอีกไม่กี่วันก็งอกขึ้นมาเช่นเดิม เช่นเดียวกับตะวันขึ้นทิศตะวันออกและลับฟ้าทิศตะวันตก หมุนเวียนเป็นวัฏจักร

แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เช่นนั้นก็พลาดพลั้งไปแล้ว

รุ่งอรุณและพระอาทิตย์ตกของวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องราวใหม่ แม้จะหมุนเวียนเป็นวัฏจักร ก็ยังต่างจากวันนี้

แต่ทังจงซงไม่คิดเช่นนั้น เขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นก็ละทิ้งไปได้เลย

ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเอาแต่คำนึงถึงเป้าหมายสูงสุดของตนเท่านั้น แม้ตอนนี้เขาจะสูญเสียเป้าหมาย แต่เขาก็ยังคิดอย่างดื้อรั้นและยึดติด

เขารู้สึกว่าเคราของบัณฑิตจางไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นดอกไม้เฉาร่วงหล่น

แสงสว่างทำให้ผู้คนรู้แจ้ง ดอกไม้เฉาร่วงหล่นทำให้ผู้คนจมปลักและไม่อาจหลุดพ้นได้ในที่สุด

เขาคิดว่าบัณฑิตจางไม่ควรเสียพลังงานใดๆ ให้ลูกศิษย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอาตนเองไปเปรียบเทียบและยิ่งไม่มีข้อสงสัยอวดอ้างใดๆ เขาเพียงรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อเห็นทีจะไม่ได้

แล้วบัณฑิตจางจะไม่รู้ความจริงนี้หรือ

เพียงแต่เขาไม่ยอมคิดก็เท่านั้น…

ความจริงล้วนวางแบอยู่ตรงนั้นแล้ว เมื่อต้องการก็หยิบยกคำพูดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองออกมาเพิ่มความทะเยอทะยาน

แต่ภายใต้การกระทำเช่นนี้ ความทะเยอทะยานที่เพิ่มมากขึ้นจะไร้ประโยชน์เพียงใด ว่างเปล่าเพียงใด เกรงว่าหากทะลวงสักครั้งจะพ่ายแพ้ยับเยิน

บัณฑิตจางมองท่าทางไร้เหตุผลของทังจงซง คำพูดมากมายขึ้นมาถึงลำคอแต่กลับฝืนกลืนมันลงไป

ส่ายศีรษะอย่างหมดหนทางแล้วจากไป ต้องการไปหาคันฉ่องมาดูว่าสภาพของตนตอนนี้เป็นอย่างไร

ทังจงซงเห็นท่าทางของบัณฑิตจางในใจพลันอดรู้สึกสุขใจไม่ได้

ด้านหนึ่งเป็นเพราะครั้งนี้แกล้งหยอกเขาสำเร็จ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเพราะชั่วขณะในเมื่อครู่บัณฑิตจางดูเหมือนจะมีท่าทีเฉยเมย ราวกับปล่อยวางไปมากทีเดียว

ทั้งสองคนนี้เกี่ยวพัน ดึงดูดและมีอิทธิพลต่อกัน

ต่างคนต่างมีเหตุผลตน ต่างคนต่างมีวิธีของตน

ผู้ใดก็ต้องการให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ตนเองทางนี้อีกหน่อย แต่ด้วยสภาพจิตใจและความคิดแต่ก่อนแข็งแกร่งและหนักแน่นเกินไป จึงจมปลักติดอยู่เช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนก็แปลกเช่นนี้

หลายคนรักจนกระทั่งเกลียด เกลียดจนกระทั่งลืมจนสิ้น

คล้ายกับทังจงซงและบัณฑิตจางไม่ชอบขี้หน้ากันและกัน แต่ก็ชื่นชมกันและกัน บางทีอาจจะสามารถร่วมทางกันต่อยาวนานยิ่งขึ้น

ความสัมพันธ์มนุษย์ไม่อาจใกล้เกินไป ใกล้เกินไปก็จะขวางกั้นกันและกัน จนท้ายที่สุดก็จะไม่เป็นตัวเอง และไม่มีทางเปลี่ยนไปเป็นอีกฝ่ายได้อย่างสิ้นเชิง จุดจบก็เปลี่ยนเป็นแยกทางเท่านั้น

ความสัมพันธ์มนุษย์ไม่อาจไกลเกินไป พูดพล่ามสิ่งใดทั้งวันนั่นเป็นเพียงการเทศนา อย่าไปเชื่อฟังเด็ดขาด!

ความสัมพันธ์นี้ไม่ว่าจะมิตรภาพระหว่างสหาย อาจารย์ลูกศิษย์หรือความรักระหว่างสามีภรรยาล้วนให้ความสำคัญกับคำเดียว…อยู่เป็นเพื่อน

ต่อให้ภูเขาขวางทะเลกั้นกันและกัน ก็ยังไหว้วานสตรีงามเขียนจดหมาย ส่งความคิดถึงไปไกลพันลี้ใต้แสงจันทร์กระจ่าง

หากแม้แต่จดหมายก็ไม่เขียน เกรงว่าภายในครึ่งปีหรือสิบเดือนคงจะลืมอีกฝ่ายไปเสียจนสิ้น

ทังจงซงตระหนักชัดเจนว่าตนเองห่างเหินและทำตามอำเภอใจกับหลิวรุ่ยอิ่งน้อยกว่าแต่ก่อนที่พบกันในเมืองจี๋อิงเสียอีก

ทว่าแต่ก่อนเขาทั้งสองก็ไม่ได้มีมิตรภาพลึกซึ้งมากนัก แม้ว่าจะดูอบอุ่นต่างจากปกติ แต่เพราะระแวงสถานะซึ่งกันและกันจึงกล่าวคำพูดสวยหรูไปตั้งเท่าใด แต่ต่างก็รู้อยู่เต็มอก

อย่างไรก็ตาม หลังจากพบกันที่เมืองติ้งซีอ๋องและเมื่อคืนนี้ เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าตนกับหลิวรุ่ยอิ่งกลับมาสู่สถานการณ์ดังเดิม กระทั่งดีขึ้นด้วยซ้ำไป

ส่วนภายภาคหน้าจะพัฒนาไปเช่นไร หาใช่เรื่องที่เขาสามารถควบคุมได้ไม่

หากมีวันหนึ่ง ทั้งสองยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเพราะค่ายรบต่างกัน สู้รบกันและกัน ก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นคนแปลกหน้าเท่านั้น

ทว่าในเมื่อตอนนี้เป็นมิตร เช่นนั้นก็ให้เขาเป็นมิตรกันต่อไป ไม่มีเหตุผลไปทำลายอย่างไร้สาเหตุ

ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ทังจงซงละทิ้งความเจ้าแผนการไปนานแล้ว เพราะมันไม่มีประโยชน์หรือพื้นฐานใดๆ พอให้เขาทำสิ่งนี้แล้ว

สมควรตายก็ตายไปแล้ว สิ่งใดควรก็ควรแล้ว ตอนนี้ได้เวลาตกอยู่ในความฝันนับพันปีหลังจากเมาปลิ้น ดังนั้นตอนนี้แม้ว่าจะถูกบัณฑิตจางปลุก เขาก็ตัดสินใจงีบหลับต่ออยู่ดี

………………………..

ในทางตรงกันข้าม หลิวรุ่ยอิ่งตื่นเช้ายิ่งกว่า

เขาไม่ได้เมาเกินไปนัก กระทั่งได้เห็นลู่หมิงหมิงอาจารย์ของตนกระโดดลงไปแช่น้ำในสระกับตา โอวหย่าหมิงยืนบนหาดทรายสีขาวริมฝั่งพลางกระโดดส่งเสียงโห่ร้อง

ท้ายที่สุดแล้วจิ่วซานปั้นผู้ที่ไม่ชอบชมความสนุก เขาไม่เพียงชมความสนุกยังเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย กระทั่งกลายเป็นเจ้าแห่งความสนุกอีกต่างหาก

เรื่องอื่นนั้น เขาจำได้ไม่ชัดเจนนัก เพียงรู้สึกปากคอแห้งเกินทนจนต้องหาน้ำดื่มล้างคอเสียหน่อย

ครั้นเดินออกจากห้องนอน เห็นดอกไม้สีขาวบนโต๊ะด้านนอก ชั่วครู่หนึ่งมองเห็นไม่ชัดเจนว่ามันคือสิ่งใด

จวบจนกระทั่งเขาเดินเข้าไปดู พบว่าเป็นกวียาวไร้กรอบ จนในขณะนี้เอง ความทรงจำหวนกลับมาในสมองของเขาทีละน้อย

เมื่อคืนเมากรึ่มๆ ได้ที่ ตี๋เหว่ยไท่ขอให้ข้ารับใช้ย้ายโต๊ะเล็กๆ ข้างหลังเขาไปไว้ข้างหน้าแทนที่จานชามและจอกที่ดื่มกินจนหมดแล้ว

ทุกคนเห็นว่าตี๋เหว่ยไท่ดูเหมือนจะเขียนสิ่งใดบางอย่าง จึงพากันทยอยเข้ามารวมตัวใกล้ๆ

แต่ตี๋เหว่ยไท่ราวกับอยู่ในสถานที่ไร้ซึ่งผู้คน เพียงวางกระดาษหินหมึกแล้วหยิบพู่กันบรรจงเขียนกวียาวของตนไปเช่นนั้น

ประมุขเก้าเผ่าละทิ้งแผ่นดิน ยากหยัดยืนกลียุค

หอทรงปัญญาบริสุทธิ์ล้วน ชนะราชาปราชัยข้าศึกพริบตา

ไม่ยินยอมวีรบุรุษโรยรา ข้าศึกเหี้ยมแพ้ภัยตน

อินหยางเปลี่ยนทิศ ดำขาวสองสิ่งล้วนงงงัน

พบท่านครั้นเยาว์วัย ฮึกเหิมอิ่มเอมใจ

คำมั่นคุ้มครองข้านิจนิรันดร์ ข้าศึกสังหารข้าผู้เฒ่ายืนลำพัง

คะนึงหาท่านสุดซึ้งท่านหามาไม่ คร่ำครวญสิ้นหวังโศกเศร้า

ย่ำผ่านทิ้งรอยสุรเสียงใจสลาย เหมันต์ฤดูหวนกลับวสันต์ฤดู

ปล่อยมือว่างเปล่าพูดกับกระดานหมากล้อม ชมมองวัตถุสัมผัสอารมณ์รอบกาย

ปณิธานใหญ่สองใจเมืองใต้มอดไหม้ ทุ่งหญ้าอุดมเมืองใต้รวมตัว

กระดาษพู่กันชุ่มโชกหยาดน้ำตา ชมตะวันคล้อยเพลิดเพลินยังที่ดังเดิม

ลาจากนิรันดร์จึงรู้วันนี้ช่างแสนสั้น ความฝันยามสงัดกวนใจ

ระกาขันทิศบูรพา กำมือเศร้าใจครั้นจะเปิดใจเช่นไร

ไกลพันลี้ไม่เกรงกลัว ล่องลอยพาดวงวิญญาณไปที่พักพิง

ไร้การร่ำร้องดื่มสุราร่วมกัน หดหู่ดั่งไฟแผดเผาปวดร้าวใจ

พู่กันดั่งมีดถ้อยคำดุจกระบี่ ยินดียืนหยัดต่ออยุติธรรมเพื่อท่าน

ข้าแต่เพื่อสหายเก่าคลายกังวล แต่เพราะเสื่อมโทรมจึงจากไปเร็ว

ความตายทำลายผู้เสื่อมโทรมที่สุด นับแต่นั้นทุกสิ่งพังทลาย

ใบเรือนับพันแล่นผ่านไปภายภาคหน้า ผู้ใดเล่าเพลิดเพลินชีวิตเดียวดาย

มองสุราล่องลอยในจอก เศร้าซึมยากร่วมสนุกสุขสันต์

ส่งความเศร้าโศกไปยังแห่งหนใด สายน้ำปลงศพเดือนมงคล

นี่เป็นบทกวีรำลึกที่ตี๋เหว่ยไท่เขียนถึงการเสียชีวิตของเหลี่ยงเฟิน หลิวรุ่ยอิ่งจำได้เพียงตอนนั้นสหายทั้งสี่เบญจลักขีที่เหลือคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ออก เหตุใดกวีบทนี้จึงมาอยู่ที่ตนได้

หลิวรุ่ยอิ่งเค้นความทรงจำอย่างละเอียด พบว่ามีพื้นที่ว่างอยู่ แต่กลับไม่มีร่องรอยใดๆ และหายไปอย่างหมดจด

แต่ท้ายที่สุดกวีบทนี้วางอยู่ที่ตนก็นับว่าเป็นภาระรับผิดชอบ บางทีตนเพียงแค่เมาและบังเอิญเอากลับมาโดยไม่ระวัง

อย่างไรเสียตอนนั้นสหายทั้งสี่เศร้าโศกจนควบคุมตนเองไม่ได้ เป็นไปได้มากว่าจะตกหลุมรักบทกวีจนหลงลืมหยิบบทกวีนี้ไป

………………………………………………………….

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท