ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 140 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 140 เข็มเงิน ด้ายทอง บัวสีเลือด-1

หลิวรุ่ยอิ่งพับบทกวียาวอย่างเรียบร้อยแล้วโอบในอ้อมแขน เตรียมไปหาจิ่วซานปั้นเพื่อไปทำกรอบด้วยกัน

ทันทีที่ออกจากประตู ก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่นอกสวนด้านหน้า

เถาวัลย์และใบไม้ในลานเพิ่งงอกขึ้นใหม่ มองไม่เห็นหน้าค่าตาของคนผู้นี้ชัดเจน เห็นเพียงผมหงอกขาวแซมดำและรูปร่างที่ไม่สูงนัก

ก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว หลิวรุ่ยอิ่งจึงเห็นว่าเป็นยายเฒ่าท่านหนึ่ง

เดิมเขาก็ไม่มีคนรู้จักในหอทรงปัญญา ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงยายเฒ่าคนนี้

หัวใจหลิวรุ่ยอิ่งใจสั่นเป็นระยะๆ

นึกย้อนไปครั้งก่อนที่มีคนรออยู่หน้าประตูลานบ้านก็ที่เมืองจี๋อิง หน้าค่ายแนวหน้าที่ว่าการรัฐติง

ผู้ที่มาคือคือหยวนเจี๋ย มาทวงหนี้น่ะ

ตอนนี้ไม่รู้ว่าหยวนเจี๋ยไปที่ใดแล้ว ในยามนั้นเฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งหัวเมืองรัฐติงถูกประหารตัดศีรษะ แม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ

ยายเฒ่าผู้นี้สวมเสื้อและกางเกงผ้าสีดำธรรมดาทั้งตัว ใต้ฝ่าเท้าเป็นรองเท้าผ้าสีขาวบริสุทธิ์หนึ่งคู่

ถนนที่คนสร้างขึ้นท่ามกลางหอทรงปัญญามีไม่มากนัก มีเพียงถนนเส้นยาวสองสามสายที่ส่วนใหญ่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย

สถานที่ที่เหลือส่วนใหญ่ปูด้วยพื้นแผ่นหินก้อนหิน จงใจสร้างความรู้สึกถึงกวีจิตใจสงบของผู้คนท่ามกลางทิวทัศน์

แต่รองเท้าผ้าขาวบริสุทธิ์คู่หนึ่งบนเท้าของยายเฒ่าสะอาดสะอ้านราวกับเพิ่งสวมใส่ ไม่มีแม้แต่รอยโค้งงอ

“มีธุระใดหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

ขณะเดียวกันก็รักษาระยะห่างจากยายเฒ่าโดยสัญชาตญาณ

แม้ว่านางจะดูไม่เป็นอันตราย หลังค่อมอยู่บ้างและมีตะกร้าห้อยที่แขนซ้าย

แต่หลิวรุ่ยอิ่งนึกถึงโอวฉูกลางโต๊ะน้ำชาในตอนนั้น แสร้งเป็นพ่อค้าขายผลไม้แห้งและของต่างๆ เดินไปมาระหว่างโต๊ะ สุดท้ายก็ชักกระบี่ปลิดวิญญาณออกจากตะกร้า

เมื่อเรียนรู้บทเรียนจากอดีตแล้ว คราวนี้หลิวรุ่ยอิ่งจ้องตะกร้าในมือยายเฒ่าตาเขม็ง ไม่อยากพลาดความเคลื่อนไหวใดๆ

“พื้นรองเท้าอยู่กับเจ้าหรือ”

ยายเฒ่าถาม

หลิวรุ่ยอิ่งตะลึงงัน ดึงสติกลับมาไม่ได้ชั่วครู่

แต่ดวงตาเขาเห็นอย่างชัดเจน กายของยายเฒ่าผู้นี้ไม่ขยับ มือก็ไม่ขยับ ตะกร้าก็ไม่ขยับ แม้แต่ริมฝีปากก็ยังไม่ขยับ

เสียงนี้ราวกับดังขึ้นจากหัวใจส่งผ่านไปยังหัวใจของหลิ่วรุ่ยอิ่งโดยตรง

เขาไม่ได้ยินประโยคนี้ แต่เขารู้สึกถึงมันได้

ความรู้สึกเกิดขึ้นในใจของหลิวรุ่ยอิ่ง เขารู้สึกว่ายายเฒ่าผู้นี้ถามมาเช่นนี้ แต่ความจริงตรงหน้าตรงข้ามกับความรู้สึกของเขาอย่างสิ้นเชิง

สิ่งนี้ไม่เกี่ยวว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะจำพื้นรองเท้าที่ได้รับมาด้วยความฉงนใจได้หรือไม่ เพียงแต่คำถามแปลกๆ นี้ผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจด้วยวิธีลึกลับ ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อยิ่งนัก

“ท่านกล่าวสิ่งใด”

หลิวรุ่ยอิ่งถามทันทีที่รู้ตัว

“พื้นรองเท้าคู่นั้นอยู่กับเจ้าไม่ใช่หรือ”

ยายเฒ่าถามอีกครั้ง

“พื้นรองเท้าใดหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งสงสัย

แต่เขาก็ยังไม่อาจเชื่อมโยงยายเฒ่าตรงหน้ากับพื้นรองเท้าในบ้านคู่นั้นได้อยู่ดี

“ดูท่าแล้ว เจ้าไม่พร้อมให้ข้าอย่างนั้นหรือ”

ยายเฒ่ากล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่สร่างเมาดี ยิ่งถูกถามเช่นนี้ ยิ่งเพิ่มความโกรธ

เขากล่าวในใจ ‘เหตุใดข้าต้องสนใจพื้นรองเท้านี่ด้วย เช้าตรู่มีคนแปลกๆ มาถามเรื่องแปลกๆ คิดว่าข้าเป็นดินโคลนหรืออย่างไร!’

โดยเฉพาะก่อนหน้านี้เขาลอบตัดสินใจเงียบๆ ว่าจากนี้ไปจะต้อง ‘ซ่อนฉลาด’

แต่โชคชะตาเล่นตลกกับมนุษย์ ความลับเจตจำนงของสวรรค์ไม่อาจคาดการณ์ได้

หากเจ้าใจดีอยู่เสมอ ย่อมมักมีคนรังแกเจ้าร่ำไป

แต่เมื่อเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย บางคนจะบอกว่าคนผู้นี้เปลี่ยนไป ไม่สมเหตุสมผลเกินไป และมอบฉายากลับกลอกโฉดชั่วให้

ฉะนั้นผู้แข็งแกร่งผู้คนมักเคารพ ส่วนผู้ที่ใจดีมักถูกรังแกเสมอ

ผู้แข็งแกร่งก็ใจดีเช่นกัน ทว่าส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในที่ที่ผู้คนมองไม่เห็น

ผู้ที่ใจดีไม่กล้าแข็งแกร่ง เพราะผู้ที่ใจดีส่วนใหญ่จะเปราะบาง ไม่อาจทนทรมานต่อคำพูดที่ผู้อื่นว่าตามกันไปเหล่านั้น

แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่กลัว เขาใจดีมาก และแกร่งมากเช่นกัน

หรือจะกล่าวว่าเขามีกฎของตน มีเส้นความอดทนที่ไม่ควรไปแตะต้องเด็ดขาด

เขาสามารถแทงเข้าคอหอยใครบางคนบนถนน และสามารถซื้อขนมแป้งงาชิ้นหนึ่งให้เด็กสาวที่ขอทานริมถนนได้เช่นกัน

แม้ว่าการให้ขนมแป้งงาแก่เด็กสาวขอทานจะไม่นับเป็นความใจดีอะไร แต่อย่างน้อยหลิวรุ่ยอิ่งก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว

เมื่อเทียบกับคนประเภทที่ยืนอยู่ข้างกำแพงเหล่านั้นแล้วกล่าวว่า “ทำไมเจ้าไม่ให้เงินนางมากหน่อยเล่า ทำไมเจ้าไม่ซื้อเรือนหลังใหญ่ให้นางเล่า” หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าต้องแข็งแกร่งสักเท่าใด

พริบตา ก็ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งผลักความคิดทั้งหมดก่อนหน้านี้ออกไป

มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ให้ผู้ใดเห็น ไม่มีผู้ใดร้องขอให้ใครโดดเด่นเหนือกว่า

ตราบใดทุกเรื่องที่ทำ ทุกประโยคที่กล่าวล้วนตรงกับความตั้งใจจริงย่อมดี

ผู้ใดไม่เคยกระทำบางเรื่องที่ละอายใจต่อสวรรค์บ้างเล่า

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนท้ายก็อย่าเสียใจมากนัก

“ของข้าก็คือของข้า เหตุใดต้องให้ท่านด้วย”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

ตามธรรมชาติของเขาแล้วจะไม่พูดเช่นนี้

แต่ในยามนี้เขาอยากจะพูดเช่นนี้ กระทั่งไม่กล่าวเห็นทีจะไม่ได้ ต้องกล่าวออกไป

“ดี!”

ยายเฒ่ากล่าวว่าดีพลางเอามือออกจากตะกร้า

หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าในตะกร้ามีสิ่งที่ร้ายกาจกำลังจะถูกดึงออกมา ดังนั้นเขาจึงชักกระบี่ทันที!

แต่เมื่อเขาเห็นว่าสิ่งที่ออกมาจากตะกร้า มีเพียงมือขวาของยายเฒ่าเท่านั้น จึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย…

รู้สึกว่าตนยังเป็นเด็กน้อยอ่อนหัดจริงๆ ยังไม่อาจสุขุมมากประสบการณ์ที่ปฏิบัติด้วยความสงบนิ่งและเป็นกลาง

แต่ยามนี้หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสความรู้สึกหวาดกลัวเป็นระยะอย่างแปลกๆ

เช่นเดียวกับคำพูดของยายเฒ่าที่ส่งผ่านก้นบึ้งหัวใจ

ความหวาดกลัวนี้ก็มาจากก้นบึ้งหัวใจเช่นกัน

ไม่มีเหตุผลใด

ไม่มีสาเหตุใด

มันทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว…

จนกระทั่งแขนที่ชักกระบี่และทั้งร่างกายล้วนแข็งทื่อเล็กน้อย

“ชักกระบี่รึ”

ในที่สุดยายเฒ่าก็เอ่ยปากพูด

เสียงนี้คล้ายกับสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจ

ประโยคนี้ราวกับยายเฒ่าพึมพำกับตนเอง

ดูเหมือนว่าไม่เข้าใจเหตุใดหลิวรุ่ยอิ่งจึงชักกระบี่ออกมากะทันหัน

แต่ความหวาดกลัวในใจหลิวรุ่ยอิ่งค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นและกระจายออกเป็นวงกว้าง

แผ่จากปลายกระบี่ถึงต้นแขน ค่อยๆ แผ่ไปทั่วร่างจนสุดท้ายย้อนกลับมาที่ปลายกระบี่

หลังจากวนย้อนกลับมาเช่นนี้หลายครั้ง หลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจควบคุมพลังธาตุในร่างกายได้อีก

แม้ว่าอินหยางสองขั้วในร่างจะพังทลาย แต่ในยามนี้พลังธาตุไหลออกจากแท่นที่นั่งธรรมลักษณ์บรมครูอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลิวรุ่นอิ่งรู้สึกประหลาดใจยิ่ง!

อย่างน้อย ระดับฝึกตนของเขายังอยู่!

แม้ว่าจะไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดเหตุการณ์ดีร้ายเช่นไร แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนต่อการกระตุ้นเท่านั้น

แต่ความปรีดาประเภทนี้ไม่อาจปรับสมดุลความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ได้แม้แต่น้อย

หลิวรุ่ยอิ่งรวบรวมคลื่นพลัง หมายจะใช้พลังธาตุทรงพลังมหาศาลยับยั้งความหวาดกลัวประเภทนี้ลงไป แต่เขาไม่อาจทำได้หนำซ้ำยังทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก

“ข้าเพียงถามเจ้าขอของข้าคืน เจ้ากลับชักกระบี่ใส่ข้า ผู้ใดที่ไร้เหตุผลกันเล่า”

ยายเฒ่ากล่าว

“นั่นเป็นของข้า ยิ่งกว่านั้นข้าไม่รู้จักท่าน ท่านบอกว่าเป็นของท่าน มีสิทธิ์ใดหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม

ครั้นกล่าประโยคนี้ ความรู้สึกแข็งทื่อไปทั่วร่างคลายลงไม่น้อยทีเดียว

แต่เขาชักกระบี่แล้ว หากเก็บกระบี่เข้าฝักไปเช่นนี้ คงเสียหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ต้องการและไม่ยินยอมด้วย

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเก็บกระบี่เข้าฝักในยามนี้อาจเป็นทางเลือกที่ถูกต้องและชาญฉลาด แต่เขาก็ไม่อยากทำ

“ข้ากล่าวถึงพื้นรองเท้าคู่นั้นที่ปักดอกบัวหมึกไว้บนนั้น”

ยายเฒ่ากล่าว

หัวใจหลิวรุ่ยอิ่งเต้นรัว นี่ไม่ใช่พื้นรองเท้าคู่นี้ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดเมื่อเช้านี้หรอกหรือ

เพียงแต่ดอกบัวหมึกบนพื้นรองเท้าไม่มีแล้ว ด้านสีดำชั้นนั้นเขาดึงออกจนเกลี้ยง เหลือเพียงด้ายทองและใต้ด้ายสีดำและดอกบัวสีทองใต้ดอกบัวหมักเท่านั้น

“ข้าไม่มีพื้นรองเท้าที่ปักเย็บดอกบัวหมึก”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย

แต่หวนนึกคิด ตอนนี้บนพื้นรองเท้าคู่นั้นหาได้เป็นดอกบัวหมึกจริงๆ ไม่ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจอีกครั้งในทันใด

“พ่อหนุ่ม ข้ากล่าวชัดเจนมากแล้ว คิดว่าเจ้าก็คงนึกออกแล้วเช่นกัน”

ยายเฒ่ากล่าว

น้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงความรำคาญในน้ำเสียง

“ข้าก็บอกชัดเจนแล้ว ข้าไม่มี”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

แม้ว่าเขาจะนึกบางส่วนของเมื่อคืนไม่ออก แต่นั่นไม่ได้ขัดขวางความมั่นใจที่เขาไม่เคยพบหน้ายายเฒ่าผู้นี้มาก่อนแน่นอน และไม่โผล่มาแม้แต่ในงานเลี้ยงเมื่อคืนด้วยซ้ำ

ในเมื่อไม่เคยพบนาง นางก็ไม่เคยโผล่มา เหตุใดนางจึงมั่นใจนักว่าพื้นรองเท้านี้เป็นของนาง

จะต้องมีผู้อื่นมอบมันให้เขา แต่หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ออกว่าคนผู้นี้เป็นใคร

เขาจะไม่มอบมันให้กับผู้ใดจนกว่าจะรู้ชัดเจนว่าพื้นรองเท้าในนั้นมาจากที่ใด

ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพานพบ

“นั่นไม่ใช่ของท่าน”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“แม้ว่าข้าไม่ได้เป็นคนให้กับเจ้าตรงๆ แต่พื้นรองเท้าคู่นั้นเป็นของข้า”

ยายเฒ่าดึงดันยิ่งนักและไม่ยอมรามือ

“ท่านไม่ได้ให้ข้า ทำไมจึงเป็นของท่านได้เล่า”

หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ

“เพราะว่า…”

ก่อนที่ยายเฒ่าจะกล่าวจบ จู่ๆ ก็ล้มตึงลงไปข้างหน้า

หลิวรุ่ยอิ่งตกตะลึง!

มองรอบกายอย่างลนลาน รู้สึกว่าต้องมีปรมาจารย์อาวุธลับซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งใกล้ๆ เมื่อยายเฒ่ากำลังจะกล่าวสิ่งสำคัญจึงปลิดชีพในคราวเดียว

ร่างกายยายเฒ่ายังคงล้มไปเช่นนั้น

หลิวรุ่ยอิ่งมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยรอบกายใดๆ

ยามนี้ท้องฟ้าสว่างแจ่มใส ดวงอาทิตย์อยู่สูง ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางป่าไม้ก็หาได้มีที่ให้ผู้คนหลบซ่อนไม่

แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับเห็นตำรารูปทรงประหลาดอยู่ด้านนอกท่ามกลางป่าไม้

มันคือต้นหลิว

ต้นหลิวกิ่งย้อย

ต้นหลิวกิ่งย้อยชนิดอื่น กิ่งก้านพริ้วไหวไปตามสายลม

แต่กิ่งก้านต้นหลิวกิ่งย้อยต้นนี้กลับงอกเขียวชอุ่มผิดปกติ

แต่ละกิ่งก้านหนายิ่งนัก ใบหลิวเรียงชิดติดกันหนาแน่นจากบนลงล่าง

ฮวงจุ้ยไม่สั่นไหว น้ำสาดไม่เข้า

เช่นเดียวกับร่มมหึมา โอบล้อมต้นหลิวครึ่งบนไว้ในนั้นอย่างแน่นหนา

นี่เป็นสถานที่ร่มเงาที่ดีที่สุด

หากขอให้หลิวรุ่ยอิ่งเลือก เขาก็ย่อมเลือกเกาะอยู่บนต้นไม้โดยไม่ลังเลแน่นอน จากนั้นแหวกกิ่งหนาทึบของต้นหลิวกิ่งย้อยเงียบๆ และสังเกตทุกสิ่งอยู่ที่นี่

หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นต้นไม้นี้ได้ ตำแหน่งและมุมมองที่ต้นไม้ต้นนี้อยู่ย่อมมองเห็นหลิวรุ่ยอิ่งได้เช่นกัน

ระยะทางไม่ไกลนัก ต่อให้จะใช้แรงเด็กน้อยโยนหินกระดอนผิวน้ำ ก็สามารถเขวี้ยงหินจากต้นไม้ต้นนั้นกระแทกศีรษะหลิวรุ่ยอิ่งได้

แต่ทว่า ในเมื่อกิ่งก้านต้นหลิวเขียวชอุ่มราวกับร่มเงา เช่นนั้นต่อให้อาวุธลับจะเหาะออกมา เดาว่าคงจะยากลำบากยิ่ง

……………………………………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท